กรมคุมประพฤติ เข้าพบ "ทักษิณ" แจงขั้นตอนพักโทษ ย้ำเงื่อนไข 5 ห้าม 5 ให้ ไม่มีข้อห้ามทำงานการเมือง ขณะที่กำหนดนัดรายงานตัวอีกครั้งเดือนหน้า
จากกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ โดยเข้าพักบ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งเป็นสถานที่ควบคุมระหว่างพักโทษ ล่าสุดวันนี้ (23 ก.พ.67) พ.ต.ท.มนตรี บุณยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา อธิบดีกรมคุมประพฤติ ได้มอบหมายให้ผู้บริหารกระทรวง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 1 ซึ่งเป็นสำนักงานที่รับผิดชอบในพื้นที่เขตดังกล่าว เดินทางเข้าพบนายทักษิณและผู้อุปการะ พร้อมแจ้งเงื่อนไข ข้อกำหนดการพักโทษและนัดหมายรายงานตัวในครั้งถัดไปในเดือน มี.ค.67 โดยช่วงเวลาดังกล่าวหากนายทักษิณ ยังต้องพักรักษาตัว หรือมีการตรวจรักษากับแพทย์ เจ้าหน้าที่คุมประพฤติจะประสานติดต่อกับผู้อุปการะว่าสะดวกให้เข้าพบบ้านจันทร์ส่องหล้าในวันเวลาใด หรือถ้ายังไม่สะดวกในเดือนนั้นๆ ก็สามารถแจ้งเลื่อนได้ แต่ถ้าอดีตนายกรัฐมนตรี มีอาการดีขึ้น สะดวกเดินทาง ก็สามารถไปรายงานตัวที่สำนักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร 1 เองได้
อย่างไรก็ตาม หลักการโดยรวมของการรายงานตัวผู้ถูกคุมความประพฤติ คือ ต้องรายงานตัวทุกเดือน โดยในแต่ละเดือนสามารถขยับวันเวลาบวกลบได้ เช่น ขยับวันเวลาการรายงานตัวเข้ามาเร็วขึ้น เพียงแค่ต้องไม่เกินปฏิทินในเดือนนั้น และถ้ารายงานตัวครบ 4 เดือน ครั้งถัดไปก็สามารถลดหย่อนได้เป็น 2 เดือนค่อยรายงานตัว ซึ่งก็เป็นไปตามเกณฑ์ที่ถูกใช้กับผู้ถูกคุมประพฤติรายอื่นๆ
พ.ต.ท.มนตรี ระบุต่อว่า สำหรับผู้ได้รับการพักโทษกรณีมีเหตุพิเศษฯ จะต้องปฏิบัติตามหลัก "5 ห้าม 5 ให้" ประกอบด้วย 5 ให้ คือ 1.ให้รายงานตัวกับกรมคุมประพฤติภายใน 3 วัน 2.ให้อยู่ในความดูแลของผู้อุปการะ 3.ให้ปฏิบัติตามกฎหมายระเบียบแบบแผน หากฝ่าฝืนหรือมีปัญหาใดให้ผู้ถูกคุมความประพฤติรายงานให้ผู้คุมประพฤติรับทราบ ส่วนการจะผิดเงื่อนไขหรือไม่ ผู้คุมประพฤติจะตรวจสอบและวินิจฉัย หากผิดเงื่อนไขก็ต้องส่งตัวกลับเข้าเรือนจำฯ 4.ให้ประกอบอาชีพสุจริต ถ้าเปลี่ยนอาชีพก็ต้องแจ้งผู้คุมประพฤติรับทราบ และ 5.ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำของพนักงานคุมประพฤติ
ส่วน 5 ห้าม คือ 1.ห้ามออกนอกเขตจังหวัด หากมีกิจธุระจำเป็นต้องแจ้งผู้คุมประพฤติเพื่อขออนุญาต และต้องแจ้งกำหนดเวลาการไป-กลับ อยู่ยาวเป็นเดือนไม่ได้ 2.ห้ามประพฤติเสื่อมเสีย เช่น เล่นการพนัน หรือดื่มสุราจนมีอาการมึนเมาจนก่อให้เกิดความเสียหาย ส่วนจะดื่มไวน์หรือไปสังสรรค์เล็กน้อย ไม่ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่สังคมสามารถทำได้ 3.ห้ามเกี่ยวข้องกับสารระเหยหรือยาเสพติด 4.ห้ามไปเยี่ยมผู้ต้องขังอื่นที่ถูกคุมขังภายในเรือนจำ/ทัณฑสถาน และ 5.ห้ามคบค้าสมาคมกับผู้ที่จะนำไปสู่การกระทำความผิดซ้ำ
เมื่อถามว่า การไปดำรงตำแหน่งนั่งบอร์ดกรรมการ หรือไปเป็นที่ปรึกษาในทางการเมือง สามารถทำได้ในระหว่างการพักโทษหรือไม่ พ.ต.ท.มนตรี อธิบายว่า ตนมองว่าในฐานะผู้ได้รับการพักโทษที่เตรียมจะกลับเข้าสู่สังคม เมื่อได้รับการพ้นโทษนั้น ระหว่างนี้ก็สามารถทำหน้าที่ต่างๆ ได้ แต่สิ่งสำคัญคือต้องไปดูว่าบอร์ดกรรมการนั้นๆ หรือตำแหน่งที่ปรึกษาในทางการเมืองนั้นๆ มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะไปดำรงตำแหน่งโดยมีข้อยกเว้นประการใดหรือไม่ เช่น มีข้อห้ามไม่ให้ผู้ที่เป็นผู้ต้องขังเด็ดขาดมาดำรงตำแหน่งหรือไม่ เป็นต้น คล้ายลักษณะของบุคคลใดที่จะไปสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ก็จะมีข้อห้ามกำหนดไว้ว่าต้องไม่เป็นผู้ที่ต้องคำพิพากษาของศาลมาก่อน ดังนั้น ระหว่างการพักโทษจึงไม่มีการห้ามในเรื่องของงานทางการเมือง เพราะอย่างไรแล้วผู้ได้รับการพักโทษ เมื่อพ้นโทษก็จะได้ใช้ชีวิตปกติ และมีสิทธิในฐานะคนไทยตามรัฐธรรมนูญทุกประการ
ส่วนเรื่องการติดกำไล EM ในส่วนของผู้ได้รับการพักโทษแบบปกติ จะต้องติดกำไล EM เกือบทุกราย ยกเว้นมีอาการเจ็บป่วยหนัก หรือต้องเอกซเรย์จากการประสบอุบัติเหตุ หรือมีความจำเป็นต้องถอดออกเพื่อการรักษาพยาบาล กรมคุมประพฤติก็จะทำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการพักการลงโทษเพื่อถอดกำไล EM ให้ได้ ส่วนผู้ได้รับการพักโทษแบบกรณีมีเหตุพิเศษฯ ถ้าเจ็บป่วยและสูงอายุจะเข้าเงื่อนไขยกเว้นไม่ต้องติดกำไล EM ซึ่งทั้งหมดเป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการพักการลงโทษได้กำหนดไว้ โดยสอดรับกับกฎกระทรวง ว่าด้วยการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรืออุปกรณ์อื่นใดในการติดตามตัวผู้ถูกคุมความประพฤติตามเงื่อนไขที่ศาลหรือเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจสั่ง พ.ศ. 2560