จากกรณีโซเชียลเผยแพร่คลิปดราม่าวงการตำรวจ เมื่อตำรวจยศ พ.ต.อ. ท่านหนึ่ง ก้มกราบ ตำรวจยศ พ.ต.ท. ที่เข้ามาเยี่ยมเยียนผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก ที่บริเวณภายในห้องสำนักงาน ซึ่งภายในมีทางเข้าห้องผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก
โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดระหว่างที่ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายกได้เรียกตำรวจ 3 นาย เข้ามาสอบถามถึงการร้องเรียน พ.ต.อ. คนดังกล่าว กรณีที่มีการข่มขู่ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไปเรียกรับผลประโยชน์ (ส่วย)
ซึ่งระหว่างนั้น พ.ต.อ. ท่านนี้ ได้ดักรอและก่อความวุ่นวายอยู่ที่บริเวณด้านหน้าห้อง ของผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก ทั้งยืนเคาะประตูหน้าห้อง ตะโกนเรียก จนทำให้ทางผู้บังคับบัญชาต้องให้สายตรวจมาเชิญตัวออกไปจากหน้าห้อง แต่เจ้าตัวไม่ยอมไป แถมยังแสดงพฤติกรรมข่มขู่ผู้บังคับบัญชาด้วย ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นดังที่ปรากฏในคลิป นั้น
ต่อมา จึงมีหนังสือคำสั่งตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวน พ.ต.อ. คนดังกล่าว กรณีการถูกร้องเรียนเรื่องเรียกเก็บส่วยประชาชนในพื้นที่ เข้าข่ายความผิดวินัยร้ายแรงฐาน "ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้หรือเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย"
ล่าสุด วันที่ 23 ก.พ. 2567 มีรายงานว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้ว่า การตรวจสอบมีขั้นตอนอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ต้องให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก เป็นผู้ตรวจสอบก่อนเบื้องต้นและรายงานขึ้นมาตามลำดับชั้น ซึ่งบ้านตนเองก็ต้องเก็บกวาดให้ดี ตนก็ได้มอบอำนาจในการบริหารให้แล้ว
ส่วนที่มีข้อมูลว่า พ.ต.อ. คนดังกล่าว เคยมีพฤติกรรมแบบนี้ในหลายพื้นที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ระบุว่าเรื่องนี้ตนยังไม่ทราบ ขอตรวจสอบก่อน ตำรวจกว่า 200,000 นาย จะรู้พฤติกรรมของทุกนายไม่ได้ แต่ถ้ามีพฤติกรรมไม่ดีก็ต้องตรวจสอบก่อน นิ้วไหนร้ายก็ต้องตัดนิ้วนั้น หมดยุคที่จะมารีดไถพี่น้องประชาชนแล้ว ปัจจุบันองค์กรที่จะตรวจสอบตำรวจมีเยอะอยู่แล้ว
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 เดินทางตรวจสอบที่บริเวณกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก พบบรรยากาศเป็นไปด้วยความเงียบเหงา โดยไม่สามารถติดต่อตำรวจทั้ง 3 นาย ที่ร้องเรียน พ.ต.อ. คนดังกล่าว ส่วนที่บริเวณชั้นสองซึ่งเป็นห้องของ พ.ต.อ. ปิดเงียบ ไม่มีคนอยู่ เช่นเดียวกับตำรวจที่ร้องเรียน พบว่าห้องปิดเงียบเช่นเดียวกัน
จากการสอบถามกับทางตำรวจ ซึ่งอยู่ภายในกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก ให้ข้อมูลว่า ตลอดทั้งวันนี้ยังไม่เห็นทั้งคู่เข้ามาที่ทำงานแต่อย่างใด ส่วน พ.ต.อ. พบว่ายังไม่มีความเคลื่อนไหวหรือเข้ามาเก็บของภายในกองกำกับการสืบฯ โดยเมื่อสอบถามถึงพฤติกรรมของ พ.ต.อ. ท่านนี้ว่าทำจริงหรือไม่ ทางตำรวจนายดังกล่าวพูดแค่เพียงว่า ไม่ทราบและไม่เคยได้ยินเรื่องนี้
ขณะเดียวกันมีข้อมูลว่าทาง พ.ต.อ. คนดังกล่าว เพิ่งจะย้ายมาประจำการเป็นผู้กำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครนายกได้ประมาณ 2 เดือน และปกติจะเดินทางไปกลับโดยไม่มีบ้านพักอยู่ที่แฟลตตำรวจ
ต่อมาทางทีมข่าวได้พูดคุยกับ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือ ทนายคลายทุกข์ ในประเด็นนี้ ได้เผยว่า ในความรูสึกของตนมันก็ทุเรศ ไม่คิดว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะตกต่ำขนาดนี้ และไม่เชื่อว่าคนที่เป็นผู้กำกับจะไปสั่งลูกน้องให้เก็บส่วยจนต้องไปกราบเท้าลูกน้อง
ตนมองว่ามันอัปยศมาก และจริง ๆ จะย้ายอย่างเดียวไม่ได้ ต้องไล่ออกจากราชการ เพราะพฤติกรรมแบบนี้ก็ถือว่าแย่มากแต่เชื่อว่าโรงพักนี้ไม่ใช่โรงพักสุดท้าย ยังมีอีกหลายโรงพักที่มีพฤติกรรมในการบังคับลูกน้องให้ไปเก็บส่วยแบบนี้
ซึ่งเรื่องการเก็บส่วยนั้น คล้าย ๆ ธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายตำแหน่งหรือการทำงานต่าง ๆ และเมื่อซื้อสำเร็จก็ต้องมีการถอนทุนคืนอยู่ดี ซึ่งเรื่องแบบนี้มันไม่มีหลักฐานพิสูจน์ยาก แต่ก็ยังเชื่อว่าตำรวจส่วนใหญ่น่าจะเป็นคนดีไม่เกี่ยวกับระบบของวงการ แต่มองว่ามันคือสันดานของบุคคล หรือตำรวจบางคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้และมันแก้ยาก เพราะมันอยู่คู่กับตำรวจมานาน และมันไม่ควรแค่สั่งย้าย มันควรจะไล่ออกออกจากราชการแล้วก็ดำเนินคดีอาญาเพราะว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบโดยทุจริต แล้วไปเรียกรับทรัพย์สินโทษประหารชีวิต มาตรา 149 ก็ควรจะดำเนินคดีอย่างจริงจัง
สิ่งที่อยากฝาก คือ ให้รัฐบาลปฏิรูปอย่าให้มีการรับส่วยหรือการซื้อขายตำแหน่ง ต้องพยายามสกัดกั้น ต้องทำการเปลี่ยนโครงสร้างแต่มันเป็นอะไรที่ยาก เพราะมันคือการเอื้อผลประโยชน์กัน ระหว่างตำรวจสีเทาและวงการสีเทา ไม่ว่าจะเป็นบ่อนการพนันออนไลน์ แรงงานเถื่อนผิดกฎหมาย ของหนีภาษี ซ่องโสเภณี สินค้าเถื่อน ยาเสพติด มันมีอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายทุกวันนี้มีโซเชียลมีเดีย วงจรปิด และเครื่องบันทึกเสียง วันหนึ่งก็ไม่น่าจะรอด ควรเลิกพฤติกรรมแบบนี้ได้แล้ว ไม่ใช่ยังทำอยู่