จากกรณีเมื่อเวลา 18.30 น.วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2567 ร.ต.อ.เอกชัย เภาชา รองสว.(สอบสวน) สภ.แวงน้อย รับแจ้งจากศูนย์วิทยุ 191 ว่า มีประชาชนไปพบโครงกระดูกมนุษย์ถูกเผาที่บ่อหมู่บ้านหนองดู่ หมู่ 4 ต.ละหานนา อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น อยู่ในลักษณะขด ลำตัวถูกเผา รอบโครงกระดูกพบลวดยางรถยนต์ สภาพโครงกระดูกถูกเผามาหลายวันแล้ว
ล่าสุดความคืบหน้าคดีดังกล่าว ตำรวจสามารถจับกุมตัวคนร้ายได้แล้วก็คือ น.ส.ไพจิตร หรือนางไก่ อายุ 39 ปี ซึ่งเป็นคนในหมู่บ้านใกล้กับบ่อขยะ ส่วนผู้ตาย คือ น.ส.เบญญาภา หรือเป้ อายุ 47 ปี เป็นคนสมุทรปราการ
โดยจากการสืบสวนหาข่าวของตำรวจ ทราบว่าในหมู่บ้านหนองดู่ หมู่ 4 ใกล้จุดเกิดเหตุมีผู้หญิงต่างถิ่นมาพักอาศัยอยู่กับผู้ต้องหาได้หายตัวไปจึงได้เข้าตรวจสอบที่บ้านพักของผู้ต้องหาพบผู้ต้องหาพร้อมรถยนต์ฯ ฮอนด้าแจ๊สสีขาว จอดอยู่บ้านพัก จึงเชิญตัวมาสอบถาม จนกระทั่ง น.ส.ไพจิตร ผู้ต้องหา ให้รับสารภาพว่าก่อนเกิดเหตุทั้งคู่ได้มาพักอาศัยอยู่ด้วยกันได้ 7 ปีและในวันที่ 12 ก.พ.67 ได้พากันเดินทางไปบ้านพักของ น.ส.เบญญาภา ผู้ตาย ที่สมุทรปรากการ หลังรับประทานเที่ยง น.ส.เบญญาภา ผู้ตาย ได้ชักกระตุกและหมดสติ น.ส.ไพจิตร ผู้ต้องหา จึงได้เข้าช่วยเหลือแต่ น.ส.เบญญาภา ถึงแก่ความตายจึงได้ห่อศพนำร่างน.ส.เบญญาภา ขึ้นรถเก๋งฯกลับมาที่บ้านพักอำเภอแวงน้อย และถึงวันที่ 13 ก.พ.67 น.ส.ไพจิตร ผู้ต้องหาได้หายางรถยนต์เก่าในหมู่บ้านและซื้อน้ำมันเบนชิน 95 จำนวน 1 แกลลอน ราคา 100 บาทที่ปั๊มริมถนนสายแวงน้อย-ชัยภูมิ
จนกระทั่งต่อมาถึงเวลาประมาณ 16.00 น.ได้ขับรถเก๋งฯนำร่างของน.ส.เบญญาภาฯไปเผาที่บ่อขยะฯจุดเกิดเหตุแล้วกลับบ้านจนถึงวันที่ 24 ก.พ.68เวลา 15.00 น.ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพบและเชิญตัวมาสอบถามรายละเอียดน.ส.ไพจิตรได้ให้การรับสารภาพพร้อมนำชี้จุดเกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ ซึ่งมีหลักฐานตามสมควรเชื่อว่าน.ส.ไพจิตรได้กระทำผิดจริง จึงได้ยื่นคำร้องขอหมายจับน.ส.ไพจิตรฯต่อศาลจังหวัด และในวันที่ 25 ก.พ.67 จึงได้ร่วมกันจับกุมตัวน.ส.ไพจิตรฯในความผิดฐาน ลักทรัพย์หรือรับของโจร ช่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิด การตายหรือเหตุแห่งการตาย นำตัวฝากขังต่อศาลจังหวัดตามกฎหมายต่อไป
จากนั้นในเวลา 13.35 น. ตำรวจได้มีการคุมตัว น.ส.ไพจิตร ออกมาจากห้องสืบสวน โดยขณะที่ตำรวจคุมตัวลงบันไดเพื่อนำตัวไปขึ้นรถไปชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ทีมข่าวได้มีโอกาสสอบถามกับ น.ส.ไพจิตร ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่ น.ส.ไพจิตร ไม่ยอมปริปากพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว กระทั่งทางรองผู้การฯ จึงได้มีการขอให้ทีมข่าวหยุดถามเนื่องจากเกรงว่า น.ส.ไพจิตร จะเกิดอาการเครียดจนไปชี้จุดทำแผนไม่ได้
จากนั้นเมื่อตำรวจคุมตัว น.ส.ไพจิตร ไปขึ้นรถกระบะ ทางตำรวจอีกคนจึงได้มีการขับรถยนต์ ฮอนด้าแจ๊สสีขาว ที่ใช้ในการก่อเหตุขับออกจากโรงพัก เพื่อนำไปใช้ในการชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพ
โดยทันทีที่ตำรวจคุมตัว น.ส.ไพจิตร ไปถึงบ่อขยะ ตำรวจได้ทีการให้ น.ส.ไพจิตร จำลองเหตุการณ์ในการห่อศพผู้ตายขึ้นรถ พร้อมกับจำลองเหตุการณ์ในการนำยางรถและน้ำมันไปขึ้นรถ ซึ่งในเหตุการณ์การจำลองห่อศพ น.ส.ไพจิตร รับสารภาพกับตำรวจว่า หลังผู้ตายนอนแน่นิ่ง น.ส.ไพจิตร ได้มีการนำผ้าปูที่นอนไปห่อศพ พอห่อเสร็จได้มีการนำผ้าขาวม้าไปมัดหัวมัดท้าย จากนั้นก็มีการพับขาผู้ตายขึ้นมาก่อนจะนำเชือกไปมัดขาติดกับหัวผู้ตายในลักษณะงอตัวก่อนที่จะลากศพไปที่ท้ายรถ จากนั้นเมื่อถึงท้ายรถได้เดินไปพับเบาะหลังลงทั้งสองฝั่ง ซึ่งพอพับเสร็จจึงได้มีการอุ้มศพไปใส่ไว้ที่ท้ายรถ ซึ่งตรงท้ายรถนอกจากจะมีศพผู้ตาย ยังมีกล่องใส่เสื้อผ้าของผู้ตายวางอยู่ท้ายรถกับศพ ซึ่งเหตุการณ์ในการห่อศพ น.ส.ไพจิตร รับสารภาพเป็นคนลงมือเพียงคนเดียว
ส่วนการจำลองเหตุการณ์นำยางขึ้นรถ น.ส.ไพจิตร ได้ให้การว่า หลังจากขับรถตระเวนหายางเจอ เจ้าตัวได้มีการพับเบาะกลับไปอยู่ในลักษณะเดิมทั้งสองฝั่งก่อนที่จะนำยางขึ้นไปวางไว้ที่เบาะหลังคนขับทั้งสองเส้น ส่วนเรื่องนำมันที่ไปซื้อใส่แกลลอน น.ส.ไพจิตร ให้การว่า หลังจากซื้อมาแล้วได้นำแกลลอนน้ำมันไปวางไว้ตรงที่พักเท้าด้านเบาะข้างคนขับ ซึ่งตรงเบาะข้างคนขับมีลูกบุญธรรมนั่งอยู่ด้วย
ส่วนเหตุการณ์นำศพมาเผานั่งยางที่บ่อขยะ ในการทำแผนชี้จุด น.ส.ไพจิตร ให้การว่า เมื่อมาถึงบ่อขยะ ได้มีการเปิดท้ายรถอุ้มศพลงมา จากนั้นก็ลากศพไปตรงขอบบ่อขยะ แล้วก็เดินไปเปิดรถด้านขวานำยางเส้นแรกมาวางข้างศพ จากนั้นก็ไปนำยางเส้นที่สองลงมาวางข้างศพเช่นกัน ซึ่งเมื่อวางศพกับยางไว้ตรงขอบบ่อขยะแล้ว น.ส.ไพจิตร จึงได้มีการเดินไปหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าของผู้ตายไปวางตรงศพ แล้วก็ค่อยๆกลิ้งยางลงไปในบ่อขยะทีละเส้น ซึ่งเมื่อกลิ้งยางลงไปแล้ว ก็ได้มีการกลิ้งศพตามลงไปพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าของผู้ตาย
ซึ่งหลังจากนำศพและยางพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้าผู้ตายลงไปในบ่อขยะแล้ว น.ส.ไพจิตร ก็ได้เดินไปหยิบแกลลอนน้ำมันที่หน้ารถมากลิ้งลงไปที่บ่อขยะ
จากนั้นพอเตรียมอุปกรณ์เสร็จ ก็ได้เดินลงไปนำศพมาวางบนยางเส้นแรก พอวางเสร็จก็นำยางอีกเส้นพร้อมกับกระเป๋ามาวางทับ แล้วก็นำน้ำมันมาราดที่ยางกับศพก่อนจะจุดไฟเผา ซึ่งหลังจากจุดไฟเผาเรียบร้อยก็เดินขึ้นไปบนขอบบ่อขยะแล้วก็ขับรถกลับบ้านทันที
เปิดนาทีแห่ศพทั่วเมือง ซื้อน้ำมัน-หายางเผาอำพราง
ส่วนภาพวงจรปิดในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ก่อนที่ น.ส.ไพจิตร จะนำร่างของผู้ตายไปเผา กล้องวงจรปิดจำนวน 4 มุมภายในปั๊มน้ำมัน จะเห็นว่าในเวลา 13.27 น. น.ส.ไพจิตร ได้มีการขับรถยนต์ฮอนด้าแจ๊สสีขาวเข้าไปภายในปั๊มน้ำมัน ซึ่งเมื่อไปถึงจะเห็นว่า น.ส.ไพจิตร ไม่ได้เปิดประตูลงมาจากรถ แต่เปิดกระจกลงมาเล็กน้อยเพื่อยืนแกลลอนน้ำมันให้กับพนักงานของปั๊ม
จากนั้นภาพมุมอื่นๆก็จะเห็นว่า เมื่อพนักงานปั๊มถือแกลลอนไปเติมน้ำมันให้ จะมีผู้จัดการปั๊มน้ำมันอีกคนเดินไปเก็บเงิน จะเห็นว่าในตอนที่ผู้จัดการปั๊มเดินไปเก็บเงิน น.ส.ไพจิตร ก็ไม่ได้เดินลงจากรถมาจ่ายเงิน และหลังจากเติมน้ำมันเสร็จ พนักงานปั๊มก็ได้มีการนำแกลลอนไปส่งให้กับ น.ส.ไพจิตร
จากนั้น น.ส.ไพจิตร ก็ขับรถออกจากปั๊ม ซึ่งจะมีกล้องอีกมุมที่จับภาพเห็น น.ส.ไพจิตร เลี้ยวขวาออกไปจากปั๊ม แล้วก็มุ่งหน้าไปที่บ้าน ซึ่งในขณะที่อยู่ในปั๊มศพของผู้ตายอยู่ที่ท้ายรถตลอดเวลา
ส่วนวงจรปิดอีกมุม ซึ่งจุดนี้ช่อง 8 เคยได้มาแล้ว จะเห็นว่า หลังจาก น.ส.ไพจิตร ขับรถออกจากปั๊ม ในเวลา 13.50 น. น.ส.ไพจิตร มีการขับรถออกไปยังทางเข้าบ่อขยะอีกทาง ซึ่งตามข้อมูล น.ส.ไพจิตร ขับรถออกไปตระเวนหาซื้อยางรถยนต์ในตัวอำเภอแวงน้อย
จากนั้นเมื่อ น.ส.ไพจิตร เห็นว่าตามร้านขายยาง มีกล้องวงจรปิดทุกร้าน น.ส.ไพจิตรจึงมีการ ขับรถย้อนกลับไปหายางตามบ้าน ซึ่งภาพวงจรปิดตัวเดิมจะเห็นรถของ น.ส.ไพจิตร ขับผ่านเข้ามาหน้ากล้องเพื่อมุ่งหน้ากลับเข้าไปในหมู่บ้านในเวลา 14.35 น.
ทีมข่าวได้มีโอกาสไปเจอกับคุณตั๊ก อายุ 52 ปี เป็นผู้จัดการปั๊มน้ำมันที่อยู่ในเหตุการณ์ เปิดใจกับทีมข่าวว่า ก่อนที่ น.ส.ไพจิตร จะเข้ามาซื้อน้ำมัน ตนเองกับพนักงานเติมน้ำมันกำลังนั่งคุยกันอยู่ กระทั่งเวลาประมาณบ่ายโมงกว่าๆ รถยนต์ของ น.ส.ไพจิตร ก็ขับเข้ามาจอดในปั๊มแต่ไม่ได้จอดเทียบตรงหัวจ่ายน้ำมัน กระทั่งเมื่อพนักงานเต็มน้ำมันเดินเข้าไป น.ส.ไพจิตร ก็แง้มกระจกลงเล็กน้อยแล้วยื่นแกลลอนน้ำมันออกมา โดยขอซื้อน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 จำนวน 100 บาท
จากนั้นในขณะที่พนักงานอีกคนเดินไปเติมน้ำมัน ตนเองจึงได้เดินเข้าไปขอเก็บเงินกับ น.ส.ไพจิตร ซึ่งในขณะที่ไปเก็บเงิน น.ส.ไพจิตร แง้มกระจกลงมาเล็กน้อย แล้วก็ยื่นแบงค์ร้อยออกมาโดยมีท่าทางไม่อยากให้เห็นหน้า ซึ่งเท่าที่สังเกตเข้าไปในรถ ตนเองยืนยันว่าในขณะนั้น ไม่มีเด็กนั่งมาในรถด้วย ส่วนเรื่องกลิ่นถามว่าได้กลิ่นศพบ้างหรือไม่ ยืนยันว่าไม่ได้กลิ่นเพราะ น.ส.ไพจิตร จะเปิดกระจกลงมาในตอนที่ยื่นแกลลอนน้ำมันกับตอนที่จ่ายเงินและตอนที่รับแกลลอนน้ำมันกลับเข้าไปในรถเท่านั้น
ซึ่งส่วนตัว ยอมรับว่าที่ผ่านมาเติมน้ำมันให้กับ น.ส.ไพจิตร บ่อย แต่ไม่ได้สังเกตว่าเป็นคนในหมู่บ้านที่อยู่ใกล้กับปั๊มน้ำมัน ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้น ยอมรับว่ารู้สึกตกใจ ที่มาทราบภายหลังว่าวันนั้นในขณะที่ น.ส.ไพจิตร เข้ามาเติมน้ำมัน มีศพของท้ายรถตลอดเวลา
ทีมข่าวได้ภาพของไพจิตร เป็นคลิปขณะนั่งอยู่ในรถวันที่ 15 ก.พ. 67 หลังเกิดเหตุ ไพจิตรได้ร้องเพลงพร้อมอัดคลิปลงโซเชียลโดยมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีความกังวลแต่อย่างใด
ส่วนคนในครอบครัวของ น.ส.ไพจิตร วันนี้ทีมข่าวได้มีโอกาสไปเจอกับ นางแจ๋ว (นามสมมติ) อายุ 68 ปี ซึ่งเป็นแม่ของ น.ส.ไพจิตร เปิดใจกับทีมข่าวว่า ส่วนตัวแม่ รู้จักกับผู้ตายมาประมาณ 10 ปี เนื่องจากเมื่อปี 58 ตัวแม่เองกับลูกสาวก็คือไพจิตร ได้เดินทางไปขายอาหารทะเล ที่ตลาดนัดทุ่งสองห้อง ในกรุงเทพฯ จากนั้นเมื่อแม่กับไพจิตร ไปรู้จักกับผู้ตายที่กรุงเทพฯ ในปี 60 ก็คือเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ผู้ตายได้ขอมาเป็นลูกบุญธรรมของแม่ เนื่องจากเขาให้เหตุผลว่า แม่ของเขาไม่รัก ซึ่งผู้ตายมีอาการป่วยเป็นโรคเส้นเลือดสมองตีบ จึงอยากมีครอบครัวดูแล แม่กับลูกสาวก็คือไพจิตร จึงชวนผู้ตายมาใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดขอนแก่น
ซึ่งทีมข่าวก็ถามกับแม่ตรงๆว่า ในช่วงระยะเวลาที่ผู้ตายมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวแม่ ผู้ตายได้คบหากับ น.ส.ไพจิตร หรือไม่ โดยแม่ยืนยันกับทีมข่าวว่า ทั้งคู่คบหากันแบบพี่น้อง ซึ่งลูกของแม่ ดูแลผู้ตายมาโดยตลอด
ส่วนประเด็นที่ ทำไมลูกสาว ต้องพาผู้ตายกลับไปที่จังหวัดสมุทรปราการ ก็เป็นเพราะว่า ผู้ตายต้องการกลับไปทำความสะอาด และเขาทั้งสองก็ไปๆมาๆที่สมุทรปราการและขอนแก่นเป็นประจำอยู่แล้ว
ซึ่งวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ตัวแม่เองก็รู้ว่าเขาพากันกลับไปบ้านที่สมุทรปราการ และวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ที่แม่ไม่เห็นผู้ตายกลับมาด้วย แม่ก็ถามกับลูกนะว่าผู้ตายอยู่ไหน ซึ่งลูกก็ตอบว่า ผู้ตายรออยู่ที่บ้านสมุทรปราการ เดี๋ยววันสองวันจะกลับไปรับ จากนั้นลูกก็ใช้ชีวิตตามปกติ กระทั่งตำรวจเข้ามารวบตัวเมื่อวานนี้
ซึ่งในขณะที่ตำรวจนำตัวไปโรงพัก แม่ก็ถามกับลูกว่า ไปฆ่าเขาทำไม โดยลูกร้องไห้และบอกกับแม่ว่า เขาไม่ได้ฆ่า และที่ต้องนำศพกลับมาจากสมุทรปราการ ตอนแรกลูกบอกว่า ตั้งใจจะนำศพกลับมาปรึกษากับแม่ แต่กลัวแม่ช็อก ก็เลยนำศพไปเผา