ทนายวัฒนาเปรย ลูกความเครียดคดีบุกรุก และมีโรคประจำตัว ก่อนเสียชีวิต ชี้ฝ่ายตรงข้ามใช้สื่อกดดัน ด้านทนายกุ้ง โต้ไม่ได้กดดัน ทำตามหน้าที่ปกป้องลูกความ ดำเนินการตามกฎหมาย
วันที่ 26 ก.พ. 2567 จากกรณีมีผู้เสียชีวิตจากการทำร้ายตัวเองภายในบ้านพัก ย่านรามอินทรา ทราบภายหลังชื่อนางสาวภานุมาศ หรือนุ อายุ 52 ปี ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ผู้ต้องหาบุกรุกบ้านของอากู๋เหม ที่ปรากฏเป็นข่าวการฟ้องร้องครอบครองปรปักษ์นั้น
น.ส.จิณห์นิภา บัวแสงใส ผู้สื่อข่าวออนไลน์ช่อง 8 ได้โทรศัพท์สอบถามไปที่นายวัฒนา เรืองแก้ว ทนายความของฝ่ายผู้เสียชีวิต ได้เปิดเผยว่า นางภาณุมาศ เคยมาตัดพ้อกับตนเองว่า รู้สึกเครียดจากกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จนเกิดความกดดัน อีกทั้งมีสื่อมวลชนไปทำข่าวเป็นจำนวนมาก ประกอบกับมีโรคประจำตัวร้ายแรงอยู่ด้วย ส่วนตัวมองว่า การที่ทนายความฝ่ายตรงข้ามมีสื่ออยู่ในมือและพยายามกดดัน ทำให้เจ้าตัวเกิดอาการเครียดจนโรคประจำตัวกำเริบ มีอาการจิตตก ที่ผ่านมา ตนเองก็ได้พูดคุยให้กำลังใจอยู่บ้าง ล่าสุดตอนนี้ได้พูดคุยกับญาติผู้เสียชีวิตแล้ว และจะเดินทางไปพบญาติในเร็วๆ นี้ ส่วนหลังจากนี้จะดำเนินการอย่างไร ต้องรอให้ญาติตัดสินใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถ้ามีการไกล่เกลี่ยและคืนที่ดินที่มีข้อพิพาทอยู่จะเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นหรือไม่ นายวัฒนากล่าวว่า ในทางกฎหมายมีข้อต่อสู้อยู่ แต่ทางฝั่งลูกความตนเองถูกดำเนินคดีอาญาไปด้วย ประกอบกับทนายความฝั่งตรงข้ามมีชื่อเสียง และใช้สื่อเป็นตัวนำ
นอกจากนี้ ในช่วงของการไกล่เกลี่ย ฝั่งคู่กรณีก็ตั้งราคาบ้านสูงเกินไป ลูกความของตนเองจึงใช้กฎหมายต่อสู้ให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน เนื่องจากว่าคดีมีข้อเท็จจริง และมีข้อกฎหมายรองรับอยู่ แต่กลับถูกฝั่งตรงข้ามใช้สื่อมวลชนเป็นตัวนำ สุดท้ายจึงเกิดเรื่องสลดขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ส่วนหนึ่งมาจากการปรึกษาทนายในเรื่องของการครอบครองปรปักษ์ จนเรื่องบานปลาย นายวัฒนายืนยันว่า เพราะมีข้อกฎหมายที่เปิดช่องให้ต่อสู้ได้ ซึ่งเพื่อนบ้านก็ยอมเป็นพยานในคดีดังกล่าวด้วย ถ้าใช้ขั้นตอนทางศาลน่าจะไกล่เกลี่ยสำเร็จไปแล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่การยุยงส่งเสริม
ขณะเดียวกันที่ สน.คันนายาว น.ส.อำนวยพร มณีวรรณ์ หรือทนายกุ้ง เปิดเผยว่า วันนี้ตอนเดินทางมาตรวจสอบหลังได้รับทราบข่าวว่า 1 ใน 5 ผู้ต้องหาผูกคอเสียชีวิตภายในบ้านพักย่านรามอินทรา เป็นผู้ต้องหาในคดีแรก คือ คดีบุกรุก ซึ่งส่งสำนวนไปอัยการมีนบุรีแล้วเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เกี่ยวข้องกับคดีครอบครองปรปักษ์ ส่วนคดีรอบที่สอง ที่ยื่นคำร้องขอครอบครองปรปักษ์ ผู้ต้องหาคือคุณศรีพรรณ และในคดีนี้ได้แจ้งความคุณศรีพรรณเพียงคนเดียว
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเรื่องการพูดคุยกับผู้ต้องหารายอื่นๆ ที่เหลือ ทนายกุ้งเปิดเผยว่า ขณะนี้ตนยังไม่ได้พูดคุยกับใครเลยแม้กระทั่งผู้เสียหาย ต่างคนก็ต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเลยมาตรวจสอบในวันนี้ ซึ่งในส่วนของผู้ต้องหาที่เสียชีวิตอัยการก็ต้องจำหน่ายคดีไป
ส่วนประเด็นที่มีการติดต่อขอถอนฟ้องร้องนั้น ตนทราบมาว่า มีผู้ต้องหาบางรายจะไปถอนคดีครอบครองปรปักษ์ที่ศาลมีนบุรี เนื่องจากยอมรับผิด แต่ตนได้ให้ทนายไปตรวจสอบแล้ว ก็พบว่ายังไม่ได้มีการถอนแต่อย่างใด
ทั้งนี้ หลังจากที่ตำรวจส่งสำนวนไปให้อัยการมีนบุรีแล้ว ทราบมาว่า มีผู้ต้องหาบางรายติดต่อผ่านทนายเดชาเพื่อขอเจรจา แต่ประเด็นตอนนั้นยังมีการพูดคุยกับทางด้านของอากู๋ ซึ่งผู้ตายไม่ได้เข้ามาเจรจาแต่อย่างใด และแน่นอนว่าตอนนั้นอากู๋ยังรู้สึกโกรธเนื่องจากมีการทำแล้วทำอีก และก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันต่อ
หลังจากเกิดเหตุการณ์ในวันนี้ แนวโน้มในการไกล่เกลี่ยจะเป็นอย่างไรต่อ ทนายกุ้งเปิดเผยว่า จริง ๆ แล้วขบวนไกล่เกลี่ยสามารถทำได้ในทุกขั้นตอนอยู่แล้ว ซึ่งตนทราบมาจากรอง ผกก.สน.โคกคราม ว่าเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ที่ผ่านมา นางสาวนุยังโทรมาปรึกษาว่าเครียดในเรื่องคดีบุกรุก โดยในตอนแรกที่มีการแจ้งความนั้น น.ส.นุ ได้มาไกล่เกลี่ยที่ สน.โคกคราม แต่ตกลงเรื่องตัวเลขกันไม่ได้ และเรื่องก็จบไปแล้ว ด้านผู้ต้องหาก็ได้ขนย้ายทรัพย์สินออกไปเมื่อวันที่ 17 ก.ย. 67 ก่อนที่ต่อมา 2 เดือน หนึ่งในผู้ต้องหา คือ นางศรีพรรณ ยื่นคำร้องต่อศาลขอครอบครองปรปักษ์บ้านหลังดังกล่าว แต่ตอนนี้ไม่ทราบว่ามีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่ จากนั้นต่อมาทางคุณซันหลานอากู๋มาพบว่าหน้าบ้านหลังดังกล่าวมีการติดป้ายว่า “บ้านหลังนี้ได้มาโดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว” และมีการติดป้ายร้านไก่ทอด ทั้ง ๆ ที่บ้านยังอยู่ในระหว่างชั้นศาลเลย ประเด็นต่อมาคือทางฝั่งผู้ต้องหามาตัดกุญแจ บุกรุกเข้าไปใหม่ครั้งที่ 2 เลยมีการไปแจ้งความกับคุณศรีพรรณคนเดียว
ส่วนประเด็นที่ทนายผู้ตายบอกว่า ฝั่งตนใช้สื่อในการกดดัน ตนมองว่า ตนนี้ในฐานะทนายความก็ทำหน้าที่ของตน ส่วนสื่อก็ทำหน้าที่ของสื่อ เสนอข่าวตามข้อเท็จจริงที่ตนพูดออกไป เพราะตามกฎหมายตนก็ต้องปกป้องลูกความของตนตามกฏหมาย ไม่ได้กดดันอะไร
สำหรับค่าเสียหายในคดีครอบครองปรปักษ์นั้น ตนได้ฟ้องแย้ง ฟ้องขับไล่ เรียกร้องค่าเสียหายเป็นค่าเช่าเดือนละ 20,000 บาท ย้อนหลัง 6 ปี
สุดท้ายนี้ ตนอโหสิกรรมให้ และตนเชื่อว่าอากู๋ก็อโหสิกรรมเหมือนกัน และขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต