จากกรณี ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนและตำรวจสภ.แวงน้อย ร่วมกันจับกุม น.ส.ไพจิตร หรือไก่ อายุ 39 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดี ลักทรัพย์หรือรับของโจร ช่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิด การตายหรือเหตุแห่งการตาย เพราะก่อเหตุเผานั่งยาง นางสาว เป้ หรือ น.ส.เบญญาภา อายุ 47 ปี นั้น

 

หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวน นาวสาวไก่ รับสารภาพว่า ไม่ได้ฆ่า แต่ในช่วงที่พา นส.เป้ กลับไปดูบ้านที่จ.สมุทรปราการนั้น รับประทานข้าวเที่ยงแล้ว นส.เป้ เกิดสำลักอาหารแล้วหมดสติ สิ้นใจตาย จึงห่อศพกลับมาที่บ้าน โดยที่ไม่ได้บอกพ่อแม่แต่อย่างใด กลัวความผิดจึงเผานั่งยางศพเป้ ในบ่อขยะ และยืนยันว่า ทำคนเดียว

 

ขณะที่พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ รองผบก.ภ.จว.ขอนแก่น และ พ.ต.อ.สมมาตย์ มั่งไธสง ผกก.สภ.แวงน้อย พ.ต.อ.พรศักดิ์ งามดี ผกก.สส.ภ.จว.ขอนแก่น ต่างก็ยังไม่เชื่อในคำให้การของผู้ต้องหา เพราะยังมีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่คลี่คลาย เพราะหลังจากส่งโครงกระดูกคนตายที่พบในบ่อขยะให้แพทย์ นิติเวช รพ.ศรีนครินทร์ ชันสูตรศพและศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 4 พิสูจน์หาอัตลักษณ์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ยืนยันได้ว่าเป็นเพศหญิง อายุประมาณ 35 ปี สูงประมาณ 160 ซม.และมีบาดแผลถูกของมีคมที่แผนหลัง ซึ่งต้องทำการสืบสวนขยายผลต่อ หากพบบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มและดำเนินคดีตามกฎหมายกับบุคคลรายดังกล่าว

 

ล่าสุดเมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 ที่สภ.แวงน้อย น.ส.ไพจิตร คนคิด หรือไก่ อายุ 39 ปี ร้องขอเจ้าหน้าที่ตำรวจขอพบสื่อมวลชน ซึ่งจากการพูดคุยกับนางสาวไก่นั้น นางสาวไก่ ร่ำไห้ผ่านลูกกรง กล่าวว่า คิดถึงพ่อกับแม่และลูกชาย อยากให้มึนเข้าไปช่วยดูแลพ่อแม่ เพราะแม่ป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ ร่างกายไม่แข็งแรง ส่วนพ่อ ป่วยเบาหวาน ความดันสูงและไต ต้องฟอกไตที่บ้าน วันละ 4 ครั้ง หลังถูกตำรวจจับ ไม่มีคนดูแลพ่อแม่และลูกชาย จึงอยากขอความช่วยเหลือจากผู้มีใจบุญกุศล ช่วยดูแลครอบครัวให้ด้วย

 

นอกจากนี้ นส.ไก่ยังเปิดเผยถึงความสัมพันธ์ ของตัวเองกับนส.เป้ว่า ในช่วงอายุประมาน 32 ปี ทำมาค้าขาย ขายผักที่ตลาดเคหะทุ่งสองห้อง หลักสี่ ได้รู้จักกับ นส.เป้ ขณะนั้นอายุ 40 ปี มาทำความรู้จัก จากนั้นก็คบหากันเป็นแฟน อยู่ประมาณ 3 เดือน พี่ชายเสียชีวิต จึงต้องกลับมาดูแลพ่อแม่ที่บ้าน นส.เป้ จึงขอตามมาอยู่ด้วยที่บ้าน โดยบอกว่า ตัวคนเดียว ไม่มีญาติพี่น้อง ขอมาอยู่ด้วยและจะช่วยเลี้ยงดูครอบครัว จึงตัดสินใจมาอยู่ด้วยกันที่บ้านในอ.แวงน้อย จากนั้นก็ช่วยกันทำมาหากิน และรับลูกของญาติพี่น้องมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม จนถึงปัจจุบัน

 

“เมื่อประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา ตนได้รู้จักกับเสี่ยกล้วย เจ้าของร้านขายอุปกรณ์แก๊สหุงต้ม ในพื้นที่ บางซื่อ กทม. ผ่านทางโซเชียล และมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งการพูดคุยและมีความสัมพันธ์กับเสี่ยกล้วยนั้น นส.เป้ รับรู้มาตลอด แต่ไม่เคยมีปัญหากัน เสี่ยกล้วยได้ไถ่ถอนที่ดินบ้านที่ติดจำนองให้ตนและครอบครัว จะได้อาศัยอยู่โดยไม่มีหนี้สิน นอกจากนี้ หลังจากเผานั่งยางนส.เป้เมื่อเย็นวันที่ 13 ก.พ.2567 แล้วนั้น วันที่ 14 ก.พ.2567 ได้ขับรถเก๋งยี่ห้อ ฮอนด้า แจ๊ส สีขาว เข้าไปหาเสี่ยกล้วยที่กรุงเทพฯ เพื่อพูดคุยในเรื่องของการซ่อมแซมบ้านหลังเก่า ที่อยู่ในหมู่บ้าน เพราะบ้านที่อาศัยอยู่กับพ่อแม่นั้น หน้าฝนน้ำท่วม ไม่มีที่อยู่ เสี่ยจึงจะซ่อมบ้านหลังเก่าให้ หลังจากพบเจอกันแล้วก็กลับมาที่บ้าน และมาทำความสะอาดบ้าน รอเสี่ยโอนเงินมาให้ จะได้ติดต่อว่าจ้างช่างมาซ่อมบ้าน แต่ยังไม่ได้ทำ ก็ถูกตำรวจจับได้ก่อน จึงเป็นห่วงพ่อแม่มาก อยากให้มีคนใจบุญมาดูแลพ่อแม่ และอยากติดต่อกับเสี่ยกล้วย เผื่อจะช่วยพ่อกับแม่ได้”

 

ในขณะที่ พ.ต.อ.สมมาตย์ มั่งไธสง ผกก.สภ.แวงน้อย กล่าวว่า ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อว่า นส.เป้ สิ้นใจตายเอง จึงต้องสืบสวนขยายผลในประเด็นดังกล่าวต่อไปอีก หากการสืบสวน เชื่อมโยงถึงใครก็จะเรียกมาสอบสวน หากพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องในการทำความผิด ก็จะดำเนินการตามกฎหมาย ในขณะเดียวกันช่วงนี้วันหยุดติดต่อกันหลายวัน จึงยังต้องควบคุมตัวผู้ต้องหาต่อ ถึงวันที่ศาลเปิดก็จะส่งตัวผู้ต้องหาฝากขังตามขั้นตอนของกฎหมาย

 

นายอุดม อายุ 63 ปี พ่อของ น.ส.ไก่ ผู้ต้องหา ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า เป็นตามที่ลูกพูดทุกอย่าง แต่มาพูดหลังจากเกิดเรื่องแล้วจึงมาเล่าให้ฟัง ย้อนไป 4-5 ปีไม่รู้มาก่อน ไก่มาเล่าให้ฟังว่าเสี่ยกล้วยเป็นคนไถ่ที่ดินออกมา และไม่รู้ว่าไก่เอาที่ดินไปจำนอง มารู้ทีหลังบอกว่าเอาที่ดินไปจำนองมารักษาเป้ เนื่องจากเป้ป่วยออดๆแอดๆ ซึ่งป่วยตั้งแต่แรกที่เห็นกัน เป็นเส้นเลือดในสมองตีบ อัมพฤกษ์ซีกซ้ายไม่สามารถใช้งานได้ ผอม ตัวเหลือง ป่วยมาเรื่อง จนกระทั่งมาเกิดเหตุ หยิบจับของได้เพียงข้างขวา โดยจะมีไก่เป็นคนดูแลมาตลอดทุกอ่างตั้งแต่อุจจาระราด ปัสสาวะ หุงหาอาหาร ก็ทำให้กิน ดูแลแม้กระทั่งแกะก้าง เลาะกระดูกออกให้เป้เหมือนดูแลเด็ก จนพ่อบอกว่าเอาคนมารับผิดชอบแบบนี้ได้ยังไงทำไมไม่เอาคนอื่นที่จะมารับผิดชอบตัวเอง แต่ทำไมถึงเอาตัวเองไปรับผิดชอบคนอื่น ซึ่งพ่อก็พูดมาตั้งแต่แรกแต่ไก่ก็ ไม่ตอบโต้ พ่อแม่พูดอะไรไม่โต้ตอบ ไม่เถียง แม้แต่เป้เองก็เช่นกัน เป้เป็นคนอารมณ์ร้อน ไก่ก็จะคอยเป็นน้ำเย็นนิ่งเฉยและเหตุการณ์ก็จะสงบไป การช่วยเหลืองานบ้านเป้เองก็ช่วยไม่ได้ ล้างจานคือแตกหมด

 

ในส่วนของไก่นั้น พอจะมีเงินเก็บช่วงที่ค้าขายด้วยกันกับตนเอง ตนเองขายปลา ลูกขายผัก อยู่กทม.ด้วยกัน 3 คนมาตลอด พอมีเงินเก็บบ้างก่อนจะย้ายมาที่ขอนแก่น 3-4 ปีมานี้คือไม่ได้หา คือใช้กินใช้จ่ายอย่างเดียว จะไปไหนก็ไม่ได้ต้องดูแลครอบครัว ป่วยก็ป่วยกันทั้งครอบครัว แม่ก็เป็นเส้นเลือดในสมองตีบเช่นกัน ตอนนี้ครอบครัวพออยู่ได้ด้วยเงินชราของตนเองและของภรรยา แต่ของตนเองจะได้เพิ่มในส่วนของคนพิการมาด้วย ก็พออยู่ได้

 

เรื่องที่ไก่ไปรักใคร่ชอบพอกับเสี่ยกล้วยนั้นไม่รู้ มารู้เพียงแค่ว่าคบหากันเป็นเพื่อนเมื่อปีที่แล้ว โดยบอกว่ามาดูความเป็นอยู่ของไก่ว่าครอบครัวอยู่อย่างไร และพากันไปไหว้พระก่อนจะกลับมา และสั่งแทงค์น้ำมาติดตั้งให้ที่บ้านเพื่อให้ใช้น้ำได้อย่างสะดวก แต่เรื่องส่วนตัวอื่นๆไก่ก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง และตนเองก็ไม่ไปถามจุกจิกปล่อยให้ลูกใช้ชีวิต ในวันที่ไปสมุทรปราการนั้น ไก่กับเป้ก็บอกพ่อว่าจะไปทำความสะอาดบ้าน ช่วงนี้หญ้าเริ่มรก พร้อมทั้งบอกลูกว่าจะไปทำงานนะลูกเดี๋ยวกลับมา ซึ่งก็เป็นปกติ ไปๆมาๆ และเป้เองก็บ่นอยากไปตามหาพ่อแม่ที่ไม่ได้เจอกันเลยตั้งแต่มาอยู่ขอนแก่น จึงพากันทำความสะอาดบ้านไว้ เตรียมจะต่อน้ำต่อไป เผื่ออยากไปตามหาแม่ และแม่เป้ตนเองก็ไม่เคยรู้จักไม่เคยเห็น ไม่เคยมีข้อมูลของครอบครัวฝ่ายเป้ แต่ส่วนตัวก็รักเหมือนลูก เป้กับไดก่อยู่บ้านช่วยกันดูแลพ่อแม่ และดูแลกันเอง เวลานอนก็นอนแยกกันคนละห้อง ถ้าคนไม่รู้ก็จะคิดไปทำนองเป็นสามีภรรยากัน แต่ทั้งคู่อู่ใครอยู่มัน ทั้งคู่เป็นผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ทอม และไม่มีใครมาจีบด้วย

 

ในช่วงหลังจากที่ไก่กลับจากสมุทรปราการนั้น พอลงรถถึงบ้าน พ่อถามว่าเป้ไม่มาเหรอ ไก่บอกว่าเป้รออยู่ที่สมุทรปราการ ก็พูดเท่านั้นเพราะคิดว่าลูกมาถึงบ้านแล้วสบายใจแล้วตนเองก็นอน ส่วนจะมีศพหรือมีอะไรในรถไม่ได้ไปสนใจ และก็ไม่เห็นว่ามีพิรุธอะไร หลังเกิดเหตุตำรวจมาบ้าน มาจับลูกสาว พ่อไม่ได้ถามลูกสาวสักคำ เพราะยังตั้งสติไม่ได้ พูดไม่ออก มันตื้อในหัวไปหมด ไม่คิดว่าลูกจะทำแบบนั้นได้ ส่วนตัวไม่เชื่อว่าลูกทำ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ตอนนั้นไม่รู้จะถามอะไร อีกใจก็กลัวจะเป็นการทับถมลูกเกินไป จึงเงียบเฉย เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย

 

พ่อไม่เชื่อว่าลูกจะฆ่าคนได้ แม้แต่เถียงพ่อแม่ก็ไม่เคย เป็นคนสนุกสนาน ชอบเล่นกับเพื่อน ไม่ใช่คนใจดำอัมหิต ไม่เคยด่าหรือเคียดแค้นอาฆาตใคร จะไม่ค่อยพูดจะเป็นคนเงียบๆเวลาอยู่กับพ่อแม่

 

ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้เดินทางไปยังบ้านอีกหลังของ น.ส.ไพจิตร ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวจะอยู่กลางหมู่บ้านหนองดู่ ซึ่งห่างจากบ่อขยะประมาณ 4 กิโลเมตร และตามข้อมูล ตำรวจบอกว่า น.ส.ไพจิตร ได้นำยางรถออกมาจากบ้านหลังหนึ่ง โดยวันนี้เท่าที่ทีมข่าวไปสังเกตภายในบ้านของ น.ส.ไพจิตร พบว่าในบ้านมียางรถทิ้งเอาไว้ที่ข้างบ้านและหน้าบ้านจำนวน 2 เส้น และจะมีถุงเสื้อผ้า ที่ญาติได้เข้ามาทำความสะอาดไปเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

ไขปมตาย! สาวหล่อเผานั่งยางคนรัก พิรุธหนัก เพื่อนสำลักข้าวตายไม่แจ้งตำรวจ