จากกรณีเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2567 ร.ต.อ.วิรัตน์ เมณฑ์กูล รอง สว.(สอบสวน) สน.คันนายาว รับแจ้งเหตุมีคนผูกคอเสียชีวิตภายในหมู่บ้านมัณฑนา รามอินทรา-วงแหวน ถ.กาณจนาภิเษก (คู่ขนาน) แขวงและเขตคันนายาว กทม. จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบก่อนรุดไปตรวจสอบพร้อมแพทย์นิติเวชฯ รพ.ตำรวจ อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู

 

พนักงานสอบสวน คาดว่าสาเหตุของการเสียชีวิตน่าจะมาจากการผูกคอโดยใช้ผ้าปูเตียงฉีกและตัดเป็นเส้นมัดกับราวกั้นในห้องน้ำ และภายในห้องนอนกับห้องน้ำไม่พบร่องรอยการต่อสู้ จึงนำร่างส่งชันสูตรพลิกศพ นิติเวชฯ รพ.ตำรวจ เพื่อหาสาเหตุการตายที่แท้จริงต่อไป

 

มีรายงานว่า น.ส.ภาณุมาศ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหา ที่ถูกแจ้งความในคดี บุกรุกบ้านอากู๋ และมีเรื่องฟ้องร้องบ้านครอบครองปรปักษ์ กรณี เข้าไปครอบครองบ้านของอากู๋ จนกลายเป็นประเด็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมเป็นอย่างมาก

 

ล่าสุดนายวัฒนา ทนายความ เดินทางมาร่วมงานศพนางสาวภานุมาศที่วัดบางเตยก่อนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า หลังจากเกิดความสูญเสียขึ้น ยังไม่มีการได้พูดคุยในเรื่องของคดีความกับลูกความของตัวเองเลย แต่ได้มีการพูดคุยเบื้องต้นก่อนหน้านี้ แล้วซึ่งตอนนี้ในส่วนของคดีอยู่ในชั้นศาลแล้ว ก็ต้องให้เป็นเรื่องของผู้ร้อง คือนางสาวศรีพรรณพี่สาวผู้เสียชีวิต ที่เป็นผู้ร้องคดีครอบครองปรปักษ์

 

ส่วนที่ผู้ร้องคดีครอบครองปรปักษ์ต้องการจะถอนฟ้องในคดีนี้ นายวัฒนา บอกว่า ต้องขึ้นอยู่กับเจตนาความประสงค์ของผู้ร้องเองว่ายังไงก็ต้องว่าอย่างนั้น

 

ขณะที่ผู้เสียชีวิตก่อนหน้านี้ที่มีกระแสข่าวว่าพยายามที่จะร้องขอให้ทนายถอนฟ้องคดีครอบครองปรปักษ์  นายวัฒนา บอกว่าเป็นเพราะตัวผู้เสียชีวิตเองมีอาการป่วย เราก็เห็นใจเขา ที่อาจจะมีความต้องการแบบนั้น แต่ผู้ร้องคนอื่นๆอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป แล้วทุกคนคิดว่าน่าจะมีบทสรุปและทางออกที่ดีร่วมกันได้ ขณะที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตนไม่เคยได้พูดคุยกับทางฝั่งของอากู๋เลย

 

ส่วนกรณีที่ทนายเดชามีการแถลงตอบโต้กรณีที่ตนแสดงความคิดเห็นว่าเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสื่อมวลชนกดดัน นายวัฒนา บอกว่า อยากให้ทุกคนกลับไปทบทวน ตั้งสติว่าที่ผ่านมา ตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ และอย่าคิดว่าจะปกป้องตัวเองโดยที่ไม่รับผิดชอบอะไร เพราะตนเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนมีที่มาที่ไป และคดีนี้เริ่มต้นด้วยสื่อมวลชนก่อนมีการแจ้งความตำรวจด้วย ซึ่งช่วงแรกยังไม่ได้มีการเจรจาพูดคุยกันในคดีครอบครองปรปักษ์ เพราะฉะนั้นอาจมีทางออกที่ไม่ขัดแย้ง ทางออกที่ไม่เกิดปัญหา และถ้าไม่มีสื่อมวลชนมาทำข่าวอย่างต่อเนื่องก็อาจไม่เกิดเรื่องขึ้น การมาเจอคู่กรณีฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ได้มีปัญหาอะไรมาก และไม่ได้ร้ายแรงอะไรหากเทียบกับคดีครอบครองปรปักษ์ที่อื่น ร้ายแรงกว่านี้เยอะ

 

ส่วนการถูกดำเนินคดีอาญา ที่มีกระแสข่าวว่าทนายให้เข้าไปตัดโซ่ จนเป็นที่มาของข้อหาบุกรุกครั้งที่ 2 นายวัฒนา ระบุว่า เค้าก็ไม่เคยครอบครองมาก่อน ในรูปแบบคดี เพียงแต่เค้าเอาอะไรมาคล้องประตูไว้ อีกฝ่ายก็ยอมรับเองว่าเอามาคล้อง ซึ่งตอนแรกตนก็ยังไม่ทราบด้วยซ้ำว่าใครเอามาคล้องไว้ อีกอย่างคุณศรีพรรณก็ยังไม่สละการครอบครองปรปักษ์ ซึ่งเขามีสิทธิ์มาก่อนหน้านี้แล้ว ก่อนที่จะมีคดีอาญา และก็มีความตั้งใจว่าจะมียื่นคำร้องต่อศาลอยู่แล้ว จนบังเอิญว่ามีคดีอาญาเข้ามาแทรกก่อนซึ่งตามสิทธิ์ ก็ได้กรรมสิทธิ์ตามผลกฎหมายแล้ว

 

“แต่ในมุมชาวบ้านไม่ได้มองเรื่องกฎหมาย แต่มองเรื่องของศีลธรรม ทำให้เกิดอารมณ์ความเกลียดชังกันในสังคมผ่านสื่อมวลชน สื่อฯก็ทำหน้าที่เผยแพร่ข้อเท็จจริง แต่ก็ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเป็นธรรม มีความรับผิดชอบมากขึ้น เพราะเรื่องมันก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไร ทำไมจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตได้”

 

ส่วนประเด็นเรื่องผู้เสียชีวิตไปกราบเท้าตนข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้น นายวัฒนา บอกว่า ก็ไม่ถึงกับกราบเท้า แต่ก็ขอให้ไปถามคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ถ้าตนเองพูดเองเดี๋ยวจะไม่มีน้ำหนัก นางสาวศรีพรรณผู้ร้องก็อยู่ ผู้เสียชีวิตก็ขอร้องไม่อยากมีปัญหากับใคร ไม่ว่าคดีอะไร เขาก็มารับหน้าแก้ไขปัญหา เข้าใจว่ามีความปรารถนาดีกับทุกฝ่าย ซึ่งผู้เสียชีวิตทำด้วยเจตนาดี

 

ขณะที่หลายฝ่ายระบุว่าตนเป็นผู้แนะนำให้สู้คดีต่อหรือไม่ นายวัฒนา บอกว่า เขายังไม่ได้สละการครอบครอง เมื่อสอบถามว่าเป็นการตัดสินใจของฝ่ายลูกความด้วยใช่หรือไม่  นายวัฒนา บอกว่า เป็นการตัดสินใจของเขาเอง แต่ไม่ใช่เป็นคำแนะนำของตน ลูกความไปทำอะไรขึ้นป้ายขายอะไร ตนก็ไม่รู้เรื่อง เขาทำของเขาเอง แต่ตนบอกได้อย่างเดียวว่า คุณมีสิทธิ์ ได้รับกรรมสิทธิ์ตามกฎหมาย

 

ส่วนกระแสข่าวที่ออกมาว่าแม้จะดันทุรังสู้ แม้รู้ว่าอาจจะแพ้ได้นั้น  นายวัฒนา บอกว่า อันนั้นการประโคมข่าวพูดฝ่ายเดียว เราพยามนำคดีไปสู้ที่ศาล เราจะพยามไม่พูดเยอะ แต่ว่ามันถูกดึงไปพูดบ้าง แต่ก็พยายามทำให้น้อยที่สุด

 

ขณะที่ประเด็นที่อากู๋บอกว่า หากมีตนยังว่าความให้อยู่ จะไม่ยอมรับข้อเจรจาใดๆ นั้น นายวัฒนา บอกว่า ถ้าไม่เจรจานั้น ก็เป็นสิทธิ์ของเขา เพราะว่าทุกคนก็พยามที่จะได้เปรียบในด้านคดี และเค้าจะเอาตนไปเป็นที่ตั้งไม่ได้ ถ้าลูกความบอกว่าต้องการเปลี่ยนทนาย ก็ต้องขึ้นกับลูกความ หรือตนไม่สบายใจ ตนก็ขอถอนได้ แต่ยืนยันว่าตนเองไม่ได้มีปัญหาทะเลาะกับลูกความ การที่ฝ่ายตรงข้ามคู่กรณีบอกให้เปลี่ยนทนาย มันผิดปกติ ไม่มีใครที่ไหนเขาทำกันแบบนี้ มันมีข้อต่อรองเยอะ แต่ตกลงกันไม่ได้ เคยตกลงคดีกันมารอบหนึ่งแล้ว และตัวเลขความเสียหายมันสูง

 

นายวัฒนา ยังบอกอีกว่า ตนเองไม่กังวล ยืนหยัดอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่ว่าตนเองดื้อด้าน แต่คิดว่าเราอยู่บนข้อเท็จจริง บนความจริง และความรับผิดชอบของลูกความตัวเอง นางสาวศรีพรรณเป็นลูกความตน แต่นางสาวภานุมาศไม่ใช่ลูกความคดีที่ตนเองรับผิดชอบ เป็นทนายอีกท่านหนึ่ง แต่เมื่อนักข่าวมาถามตนอย่างเดียว ตนกลายเป็นเป็นจำเลยสังคม

 

ส่วนประเด็นที่ว่าทนายเดชา มีการพูดพาดพิงถึง นายวัฒนาบอกว่าเขามีช่องสื่อส่วนตัว จะพูดยังไงก็ได้  แต่ตนเองไม่อยากให้นำตนไปชนกับคนโน้นคนนี้ คนเราพูดให้ตัวเองดูดีใครใครก็พูดได้ แต่พูดให้คนอื่นดูร้าย คนดีไม่ทำกัน

 

ขณะที่ประเด็นที่มีกระแสข่าวว่าลูกชายมีการติดต่อไปหาทางฝั่งทนายกุ้ง และทนายเดชา นายวัฒนายืนยันว่าไม่ทราบ แต่ลูกชายก็ให้กำลังใจตนเองดี และมีแต่เพียงกำชับว่าอย่าให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมากนัก

"ทนายวัฒนา" ปัดอยู่เบื้องหลังฟ้องครอบครองปรปักษ์บ้านอากู๋ โต้ไม่เคยถูกกราบเท้าให้ถอนคดี