ตำรวจ สภ.แวงน้อยคุมตัวผู้ต้องหาก่อเหตุเผานั่งยางศพหญิงในบ่อขยะ ส่งฟ้องศาลฝากขัง ดำเนินคดี 3 ข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซ่อนเร้น เคลื่อนย้ายหรือทำลายศพและลักทรัพย์หรือรับของโจร ขณะที่ตำรวจฝากถึงญาติให้มาติดต่อรับศพเพื่อรับสิทธิ์รับเงินเยียวยาตามสิทธิ์เหยื่ออาชญากรรม
จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนและตำรวจสภ.แวงน้อย ร่วมกันจับกุม น.ส.ไพจิตร หรือไก่ อายุ 39 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดี ลักทรัพย์หรือรับของโจร ช่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิด การตายหรือเหตุแห่งการตาย เพราะก่อเหตุเผานั่งยาง นางสาว เป้ หรือ น.ส.เบญญาภา อายุ 47 ปี หลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบสวน นางสาวไก่ รับสารภาพว่าไม่ได้ฆ่า แต่ในช่วงที่พา น.ส.เป้ กลับไปดูบ้านที่ จ.สมุทรปราการนั้น รับประทานข้าวเที่ยงแล้ว น.ส.เป้ เกิดสำลักอาหารแล้วหมดสติ สิ้นใจตาย จึงห่อศพกลับมาที่บ้าน โดยที่ไม่ได้บอกพ่อแม่แต่อย่างใด กลัวความผิดจึงเผานั่งยางศพเป้ ในบ่อขยะ และยืนยันว่าทำคนเดียว
ล่าสุดผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง พ.ต.อ.ปรีชา เก่งสาริกิจ รอง ผบก.ภ.จว.ขก.ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนสอบสวนคลี่คลายคดีเผานั่งยางศพดังกล่าวในบ่อขยะ กล่าวว่า ในวันนี้ทางพนักงานสอบสวนได้นำตัวผู้ต้องหาส่งฟ้องศาลฝากขัง ใน 3 ข้อหา ประกอบด้วยข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซ่อนเร้น เคลื่อนย้ายหรือทำลายศพหรือส่วนของศพเพื่อปิดบังการเกิด การตายหรือเหตุแห่งการตายและลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยได้ทำการส่งศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งในส่วนของพยานหลักฐานในการแจ้งข้อหาฆ่านั้น ทางตำรวจมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าในช่วงเกิดเหตุนั้น ผู้ก่อเหตุจะมีส่วนซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต เพราะอยู่ด้วยกัน 2 คน ไม่เชื่อว่าผู้ตายจะเสียชีวิตเอง ซึ่งในส่วนนี้ทางพนักงานสอบสวนก็จะมีการสืบสวนสอบสวนขยายผลหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม หากพบว่ามีพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงบุคลคลอื่นอีก ก็จะเรียกตัวมาสอบปากคำหากพบว่าเข้าข่ายการกระทำผิดในส่วนไหนก็จะแจ้งข้อหาตามขั้นตอนด้วย โดยในส่วนของน.ส.ไก่ผู้ก่อเหตุนั้น ยืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานเพียงพอในการแจ้งข้อกล่าวหา และยืนยันให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายในคดี
พร้อมกันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แวงน้อย ยังได้ฝากประชาสัมพันธ์ถึงญาติผู้เสียชีวิต คือ น.ส.เบญญาภา ให้มาติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แวงน้อย 043 499055 เพื่อรับศพผู้เสียชีวิตกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิด เนื่องจากตั้งแต่เกิดเหตุและทราบชื่อผู้เสียชีวิตแต่ยังไม่มีญาติมาติดต่อรับศพแต่อย่างใด และเพื่อแสดงตัวรับทราบสิทธิ์เยียวยาของทางเจ้าหน้าที่ยุติธรรมที่จะเข้ามาช่วยเหลือครอบครัวเหยื่ออาชญากรรมด้วย
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายไพรัตน์ พี่เขยของนางเป้ เบญญาภา ปาณพันธ์ประภา ที่ถูกเผานั่งยางปริศนา โดยนายไพรัตน์ ได้เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ปกติแล้วนางเป้จะไม่ค่อยกลับมาบ้านหลังนี้ แต่รู้สึกว่าช่วงนี้กำลังมีแผนมาปรับปรุงบ้านหลังนี้และเตรียมจะเข้ามาอยู่ในเร็วๆวันนี้ ซึ่งในวันที่ 12 ก.พ.ที่ผ่านมา นางเป้และนางไก่ผู้ก่อเหตุ ได้กลับมาที่บ้านหลังนี้จริง เนื่องจากได้เห็นอาหารสำเร็จรูปที่ไม่ถูกเปิด ถูกทิ้งในถังขยะ ระบุวันที่ซื้อคือวันที่ 12 ก.พ.
ซึ่งจากคำรับสารภาพของนางไก่นั้น ที่กล่าวอ้างว่านางเป้กินส้มตำแล้วติดคอจนเสียชีวิต และได้นำศพไปเผายัง จ.ขอนแก่น ตนก็พยามเดินหาถุงส้มตำหรือหลักฐานอะไรต่างๆที่เชื่อได้ว่านางเป้และนางไก่ได้นำส้มตำมากิน ซึ่งภายในบ้านนั้นไม่มีอะไรเลยที่จะเกี่ยวกับส้มตำ ทั้งถุงส้มตำ จานใส่ส้มตำ หรือแม้กระทั่งร้านส้มตำแถวหมู่บ้านก็ยังไม่มีเลย ไปดูคุ้ยในถังขยะก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับส้มตำ จนไปถึงร่องรอยของการที่มีคนชักหรือร่องรอยของการต่อสู้ภายในบ้าน ก็ไม่มีแม้แต่น้อย ตนจึงมั่นใจว่านางเป้ น่าจะถูกนางไก่สังหารที่อื่น ไม่ใช่ในบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน
และส่วนตัวยังไงก็มองเรื่องนี้เป็นเรื่องของการฆาตกรรมอย่างแน่นอน เพราะไม่ใช่แค่คนในครอบครัว แต่ก็เชื่อว่าทุกคนที่กำลังติดตามเรื่องราวนี้อยู่ ก็สงสัยเช่นกันว่าจะเป็นไปได้ยังไงกับการที่แค่คนสำลักข้าว แล้วไม่รีบนำส่งโรงพยาบาล หรือจะรีบปฐมพยาบาลเบื้องต้น แต่ปล่อยให้คนๆนั้นตาย และนำศพไปเผาอำพรางแบบนี้ มันผิดธรรมชาติ ไปบอกให้ใครฟังว่าลงมือทำแบบนี้เพราะเรื่องแค่สำลักข้าวแล้วตาย ใครๆก็คงไม่เชื่อ จึงวอนให้นางไก่รับสารภาพออกมาว่าที่ทำลงไปนั้นมีมูลเหตุอะไรกันแน่ ถึงตัดสินใจทำเรื่องเลวร้ายถึงขนาดนี้ ส่วนคนในครอบครัว ก็ไม่มีใครทราบเลยว่าทั้งนางเป้และนางไก่มีปัญหาอะไรกัน เพราะนางเป้ปกติจะเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยเล่าปัญหาอะไรให้ใครฟังเลย
สำหรับเรื่องที่นางเป้หายตัวไปนั้น ขณะนั้นไม่มีใครในครอบครัวสงสัยเลยแม้แต่น้อย เพราะปกตินางเป้จะอยู่กับนางไก่ไปไหนมาไหนก็ไม่มีใครรู้ จนมาเป็นข่าวว่าพบศพปริศนาถูกเผาที่จ.ขอนแก่น ถึงจะมารู้ว่าศพปริศนานั้นคือนางเป้ และทางครอบครัวก็มานั่งไล่ไทม์ไลน์ก่อนที่นางเป้จะหายตัวแล้วพบกันศพปริศนา คือเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา นางเป้ได้เดินทางมาพร้อมกับนางไก่ เพราะที่บ้านของป้านางเป้ เพื่อเข้ามาหาและมาเอาเอกสารเกี่ยวกับการขอน้ำขอไฟ เพื่อจะเข้ามาปรับปรุงและเข้ามาอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้อย่างถาวร
จากนั้นก็มีคนเห็นว่าในวันเดียวกันนี้ นางเป้และนางไก่ได้เข้ามาตัดต้นไม้ภายในบ้านหลังนี้ และถัดมาในวันที่ 12 ก.พ.ตามคำกล่าวอ้างของนางไก่ ก็มีหลักฐานของอาหารสำเร็จรูปที่อยู่ภายในถังขยะบ้าน ระบุวันซื้อคือวันที่ 12 ก.พ. ก็คงเข้ามากันจริงๆแต่คงไม่ได้กินส้มตำกัน
ส่วนหลังจากนี้เรื่องของการจัดงานบำเพ็ญกุศลศพนางเป้ ก็ต้องรอผลออกผลชันสูตรศพมาให้สมบูรณ์ก่อน และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแจ้งให้ทางญาติมารับศพกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป
หลังจากนั้นนายไพรัตน์ ได้พาทีมข่าวช่อง 8 เดินสำรวจภายในบ้านของนางเป้ ซึ่งภายในวันนั้นไม่มีน้ำและไม่มีไฟฟ้าใช้งาน เนื่องจากบ้านนั้นไม่ถูกใช้งานมาหลายปี และเมื่อเข้าไปในบ้าน นายไพรัตน์ ได้คุยถุงขยะที่อยู่ภายในบ้านให้กับทีมข่าวช่อง 8 ดู ก็พบว่าไม่มีเศษขยะหรืออะไรเลยที่เกี่ยวข้องกับส้มตำ มีแค่เพียงอาหารสำเร็จรูปที่ยังไม่ถูกแกะ ระบุวันซื้อคือวันที่ 12 ก.พ. ถูกทิ้งเอาไว้ในถุงขยะเท่านั้น ต่อมานายไพรัตน์ได้พาทีมข่าวช่อง 8 เข้าไปดูจุดที่นางไก่อ้างว่าเป็นจุดที่นางเป้หลังจากกินส้มตำเสร็จและเศษอาหารติดคอ ก็เกิดการชักบริเวณห้องโถง ซึ่งเมื่อตรวจดูแล้วก็ไม่มีร่องรอยของการชักเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับป้าติ๋ม อายุ 73 ปี ป้าของนางเป้ ซึ่งนางเป้นั้นได้เข้าไปหาที่บ้านเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยนางติ๋มได้เล่าให้กับทีมข่าวช่อง 8 ฟังว่า นางเป้นั้นได้เข้าไปหาที่บ้านตนเมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยมาหาลูกสาวของตนที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ซึ่งนางเป้ถามกับตนว่าลูกสาวป้าอยู่ไหม ตนก็บอกว่าอยู่ในบ้าน นางเป้ก็เดินเข้าไปหาเพื่อมาเอาเอกสารต่อน้ำและไฟฟ้าบ้านหลังดังกล่าวที่นางเป้จะเข้ามาอยู่ แล้วเมื่อคุยกันเสร็จก็เดินทางกลับ บอกแต่เพียงว่ามาจาก จ.ขอนแก่นเพื่อแวะมาเอาเอกสารเท่านั้น ซึ่งสีหน้าแววตาก็ปกติดี ไม่ได้ดูเหมือนเป็นคนมีความเครียดอย่างใด
แต่เรื่องแปลกก็คือ ทุกครั้งที่นางเป้มาหาตนและลูกสาวที่บ้าน นางเป้ก็มักจะมากับนางไก่ทุกครั้ง แต่นางไก่นั้นไม่เคยจะลงมาทักทายหรือมาพูดคุยกับญาติๆ ของนางเป้เลยแม้แต่น้อย แต่ตนก็ไม่ได้ถามสาเหตุนางเป้ว่าทำไมนางไก่ถึงไม่ยอมลงมา หรือแม้กระทั่งเรื่องของการคบหากันระหว่างนางเป้และนางไก่ ตนก็ไม่เคยถามว่าคบกันมานานหรือยัง จะมีความสุข หรือความทุกข์กันอย่างไรบ้าง รวมไปถึงตัวนางเป้เองก็ไม่เคยเอ่ยปากบอกอะไรกับใครเลยเช่นกัน เพราะญาติๆเองก็เคยถามนางเป้กันหลายรอบแล้ว นางเป้ก็ไม่เคยบอกหรือเล่าอะไรให้ฟังเลยแม้แต่น้อย
สำหรับเหตุการณ์ตามคำกล่าวอ้างของนางไก่ ตนมองว่าไม่มีความเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย เพราะหากคนสำลักข้าว ก็แค่พาไปโรงพยาบาลใกล้ ซึ่งรถตัวเองก็มีขับพาไปทันอยู่แล้ว ตนจึงมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของการฆาตกรรมเพื่อหวังจะชิงสมบัติจากนางเป้อย่างแน่นอน เพราะนางไปเองเป็นคนที่มีสมบัติมากมาย ทั้งเงินบ้านรถ รวมไปถึงที่ดินที่อยู่ที่ จ.ขอนแก่น สุดท้ายก็อยากให้นางเป้ช่วยดลจิตดลใจให้นางไก่รับสารภาพความจริงออกมาให้ปรากฏในเร็ววันนี้
ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับนายอุดม อายุ 63 ปี พ่อของนางสาวไก่ผู้ต้องหา ให้ข้อมูลกับทีมข่าวเพิ่มเติม โดยพ่อได้บอกความลับบางอย่างที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนให้ทีมข่าวช่อง 8 ฟังว่า จนถึงตอนนี้ตนเองยังเชื่อมั่นว่า ลูกสาวไม่ได้ตั้งใจลงมือฆ่าและเผานั่งยางนางสาวเป้ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างแน่นอน
แต่เชื่อว่าลูกสาว ได้ทำตามคำสั่งเสียของคนตาย ซึ่งก่อนหน้านี้ คนตายเคยมาพักอาศัยอยู่ที่บ้าน 4-5 ปีแล้ว โดยคนตายจะบอกกับพวกตนเองตลอดว่า ตัวเองป่วยเส้นเลือดในสมองตีบ , ตับไม่ดี , มีเนื้องอกในมดลูก และเป็นกรดไหลย้อน
เวลาอยู่ที่คนตายมาพักอยู่ที่บ้านกับลูกสาว ก็มักจะล้มป่วย และเคยสำลักข้าวอยู่บ่อยครั้ง เวลาสำลักทีหนึ่งก็จะอาเจียนออกมา ลูกสาวต้องเป็นคนคอยปฐมพยาบาลอยู่ตลอด
นอกจากนี้ ที่ผ่านมา คนตายจะพูดสั่งเสียกับลูกสาวอยู่บ่อยๆว่า “หากวันหนึ่งฉันตายไป ให้ช่วยทำให้ฉันหายสาบสูญไปเลยนะ ไม่ต้องจัดงานศพ หรือทำพิธีอะไรทั้งนั้น ครอบครัวฉันไม่เคยสนใจฉันอยู่แล้ว “ ซึ่งตนเองก็เคยได้ยินกับหูมาตลอด
และทำให้ตนเองเชื่อว่าลูกสาวไม่มีเจตนาฆ่าและลงมือเผานั่งยางนางสาวเป้คนตายแน่นอน แต่เป็นการทำเพื่อทำตามสัญญาเท่านั้น
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างตัวลูกสาวกับเสี่ยกล้วย ตนเองเชื่อว่าเป็นความสัมพันธ์เพียงแค่หัวหน้ากับลูกน้องเท่านั้น และเสี่ยกล้วยเคยเดินทางช่วยเหลือนำเงินมาให้ตนเองจำนวน 1,000 บาท เมื่อช่วงพฤศจิกายนปีที่แล้วเพียงครั้งเดียว ไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูอะไรขนาดนั้น
และตอนที่เสี่ยกล้วยเดินทางมาที่บ้าน นางสาวเป้คนตายก็อยู่ที่บ้านหลังนี้กับลูกสาว ทุกคนยังพูดคุยกันปกติทุกอย่าง ตนเองจึงไม่เชื่อว่า ลูกสาวลงมือฆ่านางสาวเป้เพราะปมหึงหวงอะไรแน่นอน
ยอมรับว่าหลังจากลูกสาวถูกจับตัวไป พวกตนเองสองคนตายายต้องเป็นผู้เลี้ยงลูกของลูกสาว คือน้องโชกุน อายุเพียง 4 ขวบเอง ตอนนี้ลำบาก เนื่องจาก ตนเองก็ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน โรคตับ ขาขาด จะไปทำงานที่ไหนก็ไม่ได้ แถมยังต้องฟอกไตทุกวัน วันละ 4 ครั้ง ไม่รู้ว่าจะตายวันไหน
สุดท้ายตนเองอยากขอความยุติธรรมให้กับลูกสาว และอยากให้ลูกสาวพูดความจริงกับตำรวจทั้งหมด ยังเชื่อว่าลูกสาวยังบริสุทธิ์ และตนเองจะพยายามอดทนรอจนกว่าลูกสาวจะกลับมา ซึ่งไม่รู้จะกลับมาเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่า ถึงตอนนั้นตนเองจะมีชีวิตหรือไม่