ดราม่าครูจับเด็กแข่งแก้ผ้า ด้าน อบต.นอกเมืองขอโทษ ยันไม่ให้เกิดขึ้นอีก ขณะที่ผู้ปกครองไม่ติดใจเอาความ

วันที่ 11 มี.ค.67 จากกรณีกรณี ที่มีผู้ปกครองนักเรียนระดับชั้นอนุบาล ของศูนย์เด็กเล็กแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เมือง จ.สุรินทร์ ได้โพสต์ข้อความระบุถึง การแข่งขันกีฬาสี ในเพจ “จิตวิทยาเด็กและครอบครัว ปรึกษาเรื่องเลี้ยงลูก” แสดงความไม่พอใจ กับการแข่งขัน ที่เอาเด็กขึ้นเวที โดยให้เด็กผู้ชายแก้ผ้าล่อนจ้อน ส่วนเด็กผู้หญิงเหลือแค่กางเกงใน ก่อนจะให้แข่งขันกันสวมใส่เสื้อผ้า ต่อหน้าครู ผู้ปกครอง นักเรียนและผู้ที่มาร่วมในงาน แต่กลับมีกระแสสะท้อนกลับไป และเกิดกระแสดราม่า ทำให้ผู้ปกครองคนอื่นๆต่างพากันช่วย Save ครู และอ้างว่าแม่เด็กรับรู้และรับทราบกับกิจกรรมดังกล่าว พร้อมให้ไปคุยกันในครอบครัวว่า เป็นกิจกรรมสร้างความสนุกสนาน ไม่ได้มีเจตนาลงโทษหรือกลั่นแกล้ง ให้เกิดความอับอาย จนกลายเป็นประเด็นดังกล่าวขึ้น ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนในวงกว้าง

 

โดยเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2567 เพจ “Drama-addict” โพสต์ข้อความระบุว่า “รู้แล้วว่าโรงเรียนในข่าวที่ให้เด็กเล็กแข่งเปลี่ยนเสื้อผ้าคือโรงเรียนอะไร ที่ตกใจกว่า คือ มีการเอาภาพเด็กตอนเปลี่ยนเสื้อแข่งกันมาเผยแพร่ลงเพจสาธารณะด้วย” ซึ่งเพจหน่วยงานแห่งหนึ่ง ใน จ.สุรินทร์ โดยโพสต์ข้อความ แชร์ภาพการแข่งขัน “โครงการแข่งขันกีฬาหนูน้อย ประจำปี 2567” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และปลูกฝัง ให้เด็กเล็กรักการออกกำลังกาย พัฒนาความพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ วินัย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา ให้สมกับวัย พร้อมกับแนบรูปภาพ บรรยากาศการจัดงานแข่งขันกีฬาสีหนูน้อย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีภาพ ขณะที่เด็กๆที่ต่างแก้ผ้าเพื่อแข่งขันเปลี่ยนเสื้อผ้า ภาพดังกล่าวอาจจะมีผลกับตัวเด็กโดยตรงในอนาคต ที่จะสร้างความอับอายในวัยที่เขาโตขึ้นต่อไป หากภาพยังคงถูกบันทึกอยู่ในโลกโซเชียลต่อไป

 

ทั้งนี้ หลังจากที่มีประเด็นกระแสดราม่า เพจดังกล่าว ได้ทำการลบรูปภาพ และข้อความดังกล่าวทั้งหมดออกไปแล้ว

 

จนช่วงเช้าที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยัง อบต.นอกเมือง อ.เมือง จ.สุรินทร์ หลังทราบว่ากิจกรรมดังกล่าวเกิดขึ้นภายใต้ความรับผิดชอบของ อบต.นอกเมือ งโดยได้พบกับ นายอนุชา พิสมัย ปลัด อบต.นอกเมือง ซึ่งได้เปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ก่อนอื่นต้องขออภัยกับประเด็นที่เกิดขึ้น ของการจัดกีฬาเกี่ยวกับหนูน้อยที่สร้างความไม่พอใจและลำบากใจให้กับผู้ปกครอง ซึ่งต้องขอชี้แจงว่า ทางเราไม่ได้มีเจตนา หรือนำภาพ สร้างความเสื่อเสียหรือสร้างความอับอายให้กับเด็ก กิจกรรมเราที่จัดขึ้นมา เพื่อมุ่งเน้น ในเรื่องของการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ดมัดใหญ่ ซึ่งการแข่งขันกีฬาหนูน้อยทางเราก็ได้มีการจัดขึ้นมาเป็นประจำทุกปี และประเภทกิจกรรมที่จัดเข้าไปในโปรแกรมการแข่งขันนั้น ก็เป็นกิจกรรมที่พัฒนาในเรื่องของร่างกายทุกกิจกรรม รวมทั้งการแข่งขันกีฬาประเภทการแต่งกาย นี้ด้วย ซึ่งจริงๆแล้วการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นทุกครั้ง เราจะมีการเชิญ ครูผู้ดูแลเด็กมาทำความเข้าใจ และให้เตรียมตัวนักกีฬาที่จะเข้าร่วมทำการแข่งขัน ในแต่ละประเภท ซึ่งการแข่งขันกีฬาการแต่งกายนั้น จริงๆแล้วเด็กๆที่จะร่วมแข่งขัน จะต้องได้รับการเตรียมตัว ในเรื่องของการเซฟร่างกายตนเอง อาจจะมีบ็อกเซอร์มีเสื้อกล้าม มีอะไรต่างๆแต่บังเอิญว่า ภาพที่หลุดออกไปนั้น เป็นเด็กที่ไม่ได้เตรียมไว้ ซึ่งทราบข่าวมาจากศูนย์เด็กบางศูนย์ ว่าเด็กที่เตรียมไว้หาไม่เจอ ก็เลยได้มีการจัดเด็กที่ไม่ได้เตรียมตัวมาจัดทำการแข่งขัน จึงเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ทางผู้บริหารของเราก็รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และขอยืนยันว่าไม่มีเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสื่อมเสียกับทางเด็กหรือผู้ปกครองแต่อย่างใด เราก็มีความคิดรักในเรื่องของเด็ก และก็ต้องการให้เด็กมีการพัฒนา ทั้งร่างกายจิตใจและกล้ามเนื้อ มัดเล็กมัดใหญ่อย่างเต็มอำนาจหน้าที่ของศูนย์เด็กเล็ก ซึ่งศูนย์ที่เกิดเหตุในเรื่องดังกล่าว ก็เป็นศูนย์ที่เราได้เชิญเข้ามาในปีแรก เพื่อสร้างเครือข่าย ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เป็นศูนย์นอกเขตพื้นที่ แต่ว่า เราก็ได้มีการพูดคุยกันในเบื้องต้น และก็จะได้มีการขออภัย และขอโทษอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์นี้คงจะสร้างเป็นบทเรียนให้กับทางผู้ปฏิบัติและเป็นบทเรียนในการเตรียมโครงการและกิจกรรมในโอกาสต่อไป ปลัด อบต.นอกเมืองกล่าว

 

คืบหน้าล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงาน ในช่วงบ่ายวันนี้ เวลาประมาณ 14.00 น. ทาง อบต.นอกเมือง จะได้มีการเรียกผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งเจ้าหน้าที่ ครู และผู้ปกครอง เข้ามาประชุมทำความเข้าใจ และร่วมกันขอโทษขออภัยผู้ปกครองของเด็กๆอย่างเป็นทางการ โดยมีนายสุภณัฐ ศิริทอง ผอ.กลุ่มงานกฎหมายระเบียบและเรื่องร้องทุกข์ สนง.ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น จ.สุรินทร์ พร้อมทั้งรองนายก อบต.นอกเมือง ปลัด อบต.นอกเมืองผอ.กองการศึกษา อบต.นอกเมือง ครูศูนย์เด็ก และผู้ปกครอง ร่วมประชุมชี้แจงและทำความเข้าใจกันกับเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งได้กล่าวขอโทษกับทางผู้ปกครองเด็ก ว่าจะไม่ให้มีเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นอีก ซึ่งผู้ปกครองทุกคนต่างก็พอใจ เข้าใจและไม่ติดใจเอาความ