สืบเนื่องจากผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้รับร้องเรียนจาก นางสาวมัลลิกา หรือ เจ๊ไก่ อายุ 57 ปี เจ้าของธุรกิจเช่ารถตู้และธุรกิจหอพัก หลังสามีของเธอ คือ สรายุทธ หรือ เฮียยุทธ อายุ 53 ปี ได้หายตัวปริศนาไปจากบ้านเมื่อ 5 มีนาคม 2567 และจนถึงขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อได้ โดยเธอกลัวว่าสามีจะเป็นอันตราย เพราะสามีป่วยเป็นโรคเส้นเลือดในสมองตีบ สมองสั่งการช้า ซึ่งมีทรัพย์สินติดตัวไปกว่า 1 แสนบาท เบาะแสสุดท้ายพบว่า สามีของเธอถูกแม่บ้านสาวในบ้านของเธอเองพาเข้าโรงแรมม่านรูด และพานั่งแท็กซี่ออกจากบ้านไป นั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ หลังจากเมื่อคืนที่ผ่านมาข่าวได้ถูกออกอากาศไป น.ส.สายฝน และเฮียยุทธ ได้เดินทางเข้าพบกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองปทุมธานี เพื่อยืนยันว่าตนเองไม่ได้ถูก น.ส.สายฝน พาล่อลวงไปทำร้าย แต่เกิดจากความสมัครใจของตนเองที่ต้องการหนีภรรยา เนื่องจากทนไม่ไหวที่ถูกดุด่ามาตลอด 2 ปี บอกว่าตนเองป่วยและเป็นตัวถ่วง จึงได้วางแผนหลบหนีออกจากบ้าน
โดยระหว่างที่ทั้งคู่กำลังให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่อยู่นั้น ทางมัลลิกา หรือ เจ๊ไก่ ภรรยาของเฮียยุทธ ได้เดินทางมาที่โรงพักด้วย และมีการเดินไปต่อว่า น.ส.สายฝน บอกว่า "กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา" ทำให้ น.ส.สายฝน สวนกลับทันทีว่า "ไม่เคยได้กินเลย" จากนั้นทางตำรวจได้พยายามเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกันเพราะหวั่นเหตุการณ์จะบานปลาย จนทางเจ๊ไก่ยอมออกจากห้องสืบสวนไป
น.ส.สายฝน เปิดเผยว่า ตนไม่เคยได้คุยกับเฮีย วันเกิดเหตุเฮียยุทธเป็นคนมาหาตนเองที่ร้าน ตอนที่อยู่ด้วยกันที่บ้าน ตอนที่ตนเองเป็นลูกจ้างก็ดูแลเฮียทุกอย่าง ยืนยันไม่เคยพูดให้เฮียออกมา มีแต่เฮียที่ระบายออกมาว่า ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว และตลอด 2 เดือนที่ตนเองไปเป็นลูกจ้าง ตนเองได้ค่าตอบแทนบ้างรวม 2,000 บาท และย้ำว่า ตอนดูแลเฮียยุทธ ตนเองดูแลในลักษณะลูกจ้างดูแลนายจ้าง คือตอนนี้ยังไม่เคยมีอะไรกัน
ขณะที่นายสรายุทธ หรือเฮียยุทธ เปิดเผยว่า ในวันที่ 5 มีนาคม ช่วงเย็นตนเองเป็นคนเรียกแท็กซี่เองเพราะแท็กซี่เข้ามาส่งลูกค้าในหมู่บ้านพอดี โดยตนเองให้ไปส่งที่ซอยวัดเสด็จ อ.เมืองปทุมธานี เพื่อเดินทางไปหา น.ส.สายฝน เพื่อขอยืมเงินในการหนีออกจากบ้านเพราะที่ตนเองต้องทำเช่นนี้เพราะเบื่อไม่ไหว เนื่องจากภรรยาด่าด้วยคำหยาบทุกวัน
โดยทรัพย์สินที่ตนเองติดตัวมามีสร้อยและพระเลี่ยมทอง ซึ่งสร้อยตนเองนำไปขายแล้ว เพื่อใช้ในการเดินทาง สำหรับเงินที่มีการโอนให้กับญาติของ น.ส.สายฝน เพราะตนยืมมาใช้ในการเดินทาง ยืนยันก่อนหน้านี้ไม่มีการนัดมาก่อน ทุกอย่างเป็นความคิดของตนเอง จากวันที่ออกไปตนเองไปอยู่หลายที่ แต่ที่ไม่ติดต่อกลับมาหาภรรยาเพราะไม่อยากคุยด้วย โดยภรรยาคนนี้อยู่ด้วยกันมากว่า 10 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน
ปัญหาที่ตนเองอัดอั้นตันใจเพราะ 1-2 ปีมานี้ หลังจากที่ตนเองป่วยด้วยเส้นเลือดสมองทำให้แขนซ้ายอ่อนแรงไม่สามารถใส่เสื้อเองได้ จึงต้องเป็นภาระภรรยาที่ต้องคอยใส่ให้ เมื่อใส่ก็จะกระชากตนเอง โดยภรรยามีการทำกรมธรรม์ไว้กับประกันภัยบริษัทหนึ่ง หากตนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุภรรยาจะได้รับเงิน 10 ล้านบาท วันนี้ที่ตนเองมาพบตำรวจเพราะต้องการแสดงให้เห็นว่า น.ส.สายฝน อดีตลูกจ้างไม่ใช่คนล่อลวงตนเองออกจากบ้านไป ตนเองอายุ 53 ปี ไม่มีใครล่อลวงตนเองได้ ทุกอย่างอยู่ที่ตนเองไม่มีใครสอน
ส่วนที่ภรรยาบอกว่าตนมีอาการป่วยทางสมองหลงลืม ยืนยันว่าตนเองมีความจำที่ดีสามารถขับรถจาก กทม. ไปกระบี่ได้ ทุกวันนี้ยังรู้เรื่องทุกอย่าง วันนี้ตนเองต้องการแยกทางกับภรรยาก็ต้องไปหาอาชีพที่ได้เงินหางานทำ จากนี้หาก น.ส.สายฝน พร้อมที่จะดูแลตนเองก็จะไปอยู่ด้วย และตนเองยืนยันว่าจะไม่ขอกลับไปคืนดีกับภรรยาอีก เพราะที่ผ่านมาเคยไล่ตนเองออกจากบ้าน ไล่ตนเองไปนอนบ้านน้องสาวที่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายแมน (นามสมมติ) หลานชายของ น.ส.สายฝน ซึ่งเป็นคนเกลี่ยกล่อมให้ น.ส.สายฝน และเฮียยุทธ เดินทางเข้าพบตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า น.ส.สายฝน น้าสาว ไม่ได้เป็นคนลักพาตัวหรือล่อลวงเฮียยุทธไป แต่เกิดจากความสมัครใจของเฮียยุทธเองที่ต้องการหนีออกจากชีวิตภรรยา
นายแมน เล่าต่อว่า ช่วงค่ำของวันที่ 5 มีนาคม วันที่เฮียยุทธนั่งแท็กซี่หนีออกจากบ้าน เฮียยุทธได้เดินทางมาที่หน้าบ้านของตนเองเพื่อมาพบกับ น.ส.สายฝน โดยต้องการให้น้าสาวช่วยเหลือดูแลชั่วคราว เนื่องจากไม่อยากใช้ชีวิตอยู่กับเจ๊ไก่ ภรรยา ของเฮียยุทธอีกต่อไปแล้ว
โดยเฮียยุทธได้ขอเข้ามาพักอาศัยที่บ้านของตนเอง แต่ขณะนั้นตนเองเห็นว่าไม่เหมาะสมและกลัวว่าเจ๊ไก่จะตามมาเอาเรื่อง จึงได้ปฏิเสธไม่ให้เฮียยุทธมานอนที่บ้าน ทำให้เฮียยุทธและน.ส.สายฝน ได้นั่งอยู่หน้าบ้านของตนเองสักพัก ก่อนที่จะเดินทางไปเปิดโรงแรมม่านรูด แต่การไปพักดังกล่าว ก็ไม่ได้แปลว่าจะต้องมีอะไรกัน เรื่องมันก็มีแค่นี้ ตามภาพจากกล้องวงจรปิด
กระทั่งวันต่อมาเจ๊ไก่ได้ส่งตำรวจชุดสืบสวนมาที่บ้านของตนเอง เนื่องจากไล่กล้องวงจรปิดพบว่า เฮียยุทธได้นั่งแท็กซี่มาลงที่บ้าน จากนั้นตำรวจสืบสวนได้เข้ามาขอตรวจค้นโทรศัพท์ของตนเองและแม่ เพื่อที่จะสืบว่าครอบครัวของตนเองมีส่วนช่วยเหลือหรือเป็นขบวนการล่อลวงเฮียยุทธไปหรือไม่
กระทั่งเมื่อวานนี้ ตนเองได้พยายามติดต่อ น.ส.สายฝน และเฮียยุทธ โดยได้พูดเรียกกล่อมให้น้าสาวและเฮียยุทธไปแสดงความบริสุทธิ์ใจกับตำรวจ เนื่องจากกลายเป็นข่าวดังแล้ว และไม่อยากให้ครอบครัวถูกสังคมเข้าใจผิดว่ามีส่วนรู้เห็น พร้อมกับได้พาทั้งสองคนไปพบกับตำรวจ เมื่อช่วง 5 ทุ่มคืนที่ผ่านมา
ระหว่างทางเฮียยุทธได้ตัดพ้อกับตนเองว่า ตอนแรกอยากหายไปจากชีวิตภรรยาไปเลย แต่เมื่อภรรยาไปแจ้งความเป็นข่าว ทำให้เฮียยุทธไม่อยากให้ น.ส.สายฝน เดือดร้อน หรือตกเป็นจำเลยสังคม จึงยอมเดินทางมาลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานว่า เจ้าตัวไม่ได้ถูกล่อลวงไปอย่างที่เจ๊ไก่ร้องทุกข์ไว้
เฮียยุทธพูดคำหนึ่งว่า “ไก่อยากได้อะไร ทรัพย์สินมรดกทุกอย่างเอาไปเลย กูยกให้ แต่ขอชีวิตกูคืนมาก็พอแล้ว” ซึ่งตนเองพอได้ฟังเฮียยุทธแล้วก็รู้สึกสงสาร และเชื่อว่าเฮียยุทธคงทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของเจ๊ไก่จนถึงที่สุดแล้ว ยอมแม้กระทั่งทิ้งสมบัติทุกอย่างออกมาเพียงแค่ตัวเท่านั้น