“ไอ้นาย” เงินขาดมือ ตามตอแย “น้องสา” จนวันฆ่า
ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับนายวิน (นามสมมติ) อายุ 28 ปี แฟนของสา (ผู้เสียชีวิต) โดยนายวินได้เผยว่า ตนกับนางสานั้นจะไม่ก้าวก่ายหรือพูดคุยถึงเรื่องในอดีตของอีกฝ่าย แต่จะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่สาเริ่มเข้ามาปรึกษาเพราะได้มีผู้ชายชื่อว่า “นาย” ส่งข้อความมาขอเงิน แต่นางสานั้นไม่ได้ให้พร้อมกับบอกด้วยความรำคาญให้ผู้ชายคนนั้นไปทำงานหาเงินเอง “มีมือมีเท้าก็ต้องทำงานบ้าง ไม่ใช่จะขอเงินจากผู้หญิงอย่างเดียว” เพราะที่ผ่านมานางสาก็เคยให้เงินไปลงทุนทำธุรกิจแล้วครั้งหนึ่งแต่ก็ไปไม่รอด ซึ่งที่ผ่านมานางสาได้ยืนยันกับตนว่าได้เลิกราและขาดการติดต่อกับนายไปแล้ว แต่ดูเหมือนว่านายจะไม่ยอมและยังคงทักขอยืมเงินอยู่หลายครั้ง
ซึ่งในวันที่ 3 มี.ค.67 นางสาก็ได้บอกตนว่าจะไปทวงเงินจากผู้ชายคนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้หายสาบสูญไปอย่างปริศนา โดยตนก็เคยเข้ามาตามหาภายในวัดหลายครั้งแต่ก็ไร้วี่แวว จนกระทั่งช่อง 8 ได้เข้ามาเจอศพที่อยู่ภายในบ่อน้ำ ตนก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมากเพราะเชื่อว่าถ้านักข่าวไม่มาเจอศพก็คงต้องรอไปอีกหลายวัน กว่าใครสักคนจะเดินผ่านไปเจอ ที่ผ่านมาทุกคนนั้นรู้สึกเครียดและเป็นห่วงนางสาเพราะทุกคนรักสา สาเป็นคนดี นิสัยร่าเริง อยู่กับใครก็มอบแต่ความสุขให้กับคนรอบข้าง
นายวินยังบอกอีกว่าพฤติกรรมการก่อเหตุของผู้ชายคนนั้นเกินไปมาก ที่ผ่านมาก็เห็นแค่ในข่าวยังรู้สึกว่าการฆ่าคนการทำร้ายคนนี่เป็นเรื่องอำมหิตอย่างมาก พอมาในวันนี้ต้องมาเจอกับตัวเองก็รู้สึกว่ามันโหดร้าย มันเกินคำว่าคน เพราะหากอยากได้ทรัพย์สินเงินทองก็อยากให้เอาแค่ส่วนนั้นไปเลย เงินทองมันหากันเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องฆ่ากันแล้วก่อเหตุน่าสะเทือนใจแบบนี้ นายวินจึงอยากฝากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามตัวคนร้ายให้เร็วที่สุด ตนยังคงเชื่อในฝีมือของตำรวจไทย เชื่อว่าอีกไม่นานคนร้ายจะต้องถูกลงโทษอย่างเหมาะสม
“ไอ้นาย” เลือดเย็นชิงทองจากศพ “น้องสา” แถมใส่ร้ายคนตาย
ต่อมาทีมข่าวได้เดินทางไปที่ร้านทองแห่งหนึ่งในอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นร้านทองที่ทางด้านของนายพิทญาได้แวะเข้าไปในวันที่ 4 มีนาคม 2567 โดยทางด้านเจ้าของร้านทองได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ในเวลาประมาณ 09:00 น. นายพิทญา ได้ขี่รถจักรยานยนต์มาพร้อมกับลูกสาววัยเด็กประมาณ 3-4 ขวบ พร้อมกับนำสร้อยทองจำนวน 2 บาท 2 สลึง มาจำนำที่ร้านโดยเจ้าของร้านก็ได้ให้เงินสดไปจำนวน 75,000 บาท แต่หลังจากนั้นเพียง 2 ชั่วโมง ในเวลา 10.28 น. นายพิทญาได้ขี่รถจักรยานยนต์กลับมาที่ร้านอีกครั้ง ซึ่งในครั้งนี้เขาบอกว่า “ผมขอขายเลยได้ไหมครับ ผมจะนำเงินไปลงทุนเปิดร้านกับแม่” ทางร้านทองเลยจ่ายเงินสดให้อีก 5,000 บาท หลังจากนั้นทางด้านของนายพิทญาก็ได้บ่นออกมาว่า “ผมเครียดมากเลย ผมจับได้ว่าแฟนนอกใจ เขามีคนอื่น” เจ้าของร้านได้ยินดังนั้นก็ปลอบใจบอกให้นึกถึงหน้าลูกเอาไว้ คิดเสียว่าอยู่เพื่อดูแลลูก แต่ทางด้านของนายพิทญานั้นเหมือนจะไม่รับฟังและตอบกลับมาว่า “ผมไม่ไหวแล้ว ผมเลิกแล้ว ผมปลงแล้ว“ จากนั้นเขาก็ได้เดินออกจากร้านไปในทันที
“น้องสา” ตายทารุณ เจอแผลถูกแทงคอ ลึกถึงกระดูก
โดยทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายสุเทพ มานพ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่แผนกบรรเทาสาธารณภัยมูลนิธิมหากุศลใต้เต็กเซี่ยงตึ๊ง เผยว่า เมื่อวานนี้ตนได้รับแจ้งว่ามีสิ่งต้องสงสัยคล้ายกับศพมนุษย์อยู่ในบ่อน้ำ เมื่อมาถึงในที่เกิดเหตุก็รู้สึกได้ในทันทีว่ากลิ่นดังกล่าวคือกลิ่นศพจริงเหมือนที่ทีมข่าวช่อง 8 ได้บอกในตอนแรก และเมื่อมีการส่งเจ้าหน้าที่โรยตัวลงไปก้นบ่อน้ำเพื่อทำการดูวัตถุปริศนาใต้ผ้าจีวร ก็ปรากฏเป็นภาพของศพหญิงสาวที่กำลังตามหาจริง ซึ่งสภาพศพนั้นค่อนข้างหดหู่เป็นอย่างมาก หากนึกภาพไม่ออกให้นึกถึงท่ารำของมโนราห์ที่มีการโค้งตัวไปด้านหลัง (ท่าสะพานโค้ง) ลักษณะของศพถูกดัดเป็นท่านั้นเลย จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการหย่อนตัวไปเป็นรอบที่สองเพื่อทำการใช้เชือกผูกกับขาของร่างผู้เสียชีวิต ก่อนจะทำการดึงชักรอกขึ้นมาจากบ่อน้ำ ซึ่งจากการชันสูตรพลิกศพในเบื้องต้น ผลปรากฏว่า ตามร่างกายของนางสาวนั้นมีรอยช้ำบริเวณหน้าอก นอกจากนี้บริเวณคอยังมีรอยข่วนและรอยถูกคอมีคมแทงลึกถึงกระดูกจำนวน 3 แผล
นอกจากนี้นายสุเทพยังเล่าเรื่องราวแปลก ๆ ให้กับทีมข่าวฟังอีกว่า ขณะที่มีการถ่ายภาพร่างผู้เสียชีวิตเพื่อประกอบการบันทึกผลการชันสูตรพลิกศพ เจ้าหน้าที่ได้ทำการใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายภาพร่องรอยบาดแผลตามจุดต่าง ๆ แต่เมื่อเปิดดูรูปภาพทั้งหมดก็ต้องผงะ เนื่องจากทุกรูปนั้นจะเป็นเพียงจอสีดำที่ไม่มีภาพอะไรเลย แต่หลังจากที่ทำการนำร่างผู้เสียชีวิตออกจากโรงพยาบาล ภาพทั้งหมดก็เปิดได้ตามปกติ จึงเป็นเรื่องราวที่น่าพิศวงที่เจ้าหน้าที่ได้เจอในเหตุการณ์นี้ โดยทีมข่าวได้มีการถามถึงลักษณะของผ้าจีวรที่อยู่ในบ่อน้ำกับร่างของนางสา เจ้าหน้าที่ได้ให้ข้อมูลว่าผ้าจีวรนั้นไม่ได้ถูกมัดกับร่างผู้เสียชีวิต แต่มีลักษณะลักษณะเหมือนกับการคลุมและห่อเท่านั้น จากประสบการณ์การทำงานมากกว่า 30 ปี ยอมรับเลยว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้นั้นเป็นสิ่งที่น่าตกใจ นับวันสังคมไทยยิ่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ตนจึงตั้งข้อสงสัยว่าสังคมในตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น
“ไอ้นาย” โผล่หาเพื่อนเก่า ของานก่อนปิดเกม
โดยทีมข่าวได้เจอกับนางสาวส้ม (นามสมมติ) เธอเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของนายนาย ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคมเวลาประมาณ 16:00 น. ที่ผ่านมา นายนายได้ขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างมาหาตัวเองที่ร้าน ก่อนจะยกมือไหว้และถามทุกข์สุขกับตัวเอง จากนั้นเขาก็ถามตัวเองว่ามีงานที่เขาทำบ้างหรือไม่ ตัวเองก็บอกเขาไปว่าช่วงนี้ที่ร้านยังไม่มีมีงานมีงานให้ทำ แต่ถ้าตัวเองหางานได้ตัวเองก็จะรีบบอกเขา จากนั้นนายนายก็ได้แลกเบอร์โทรศัพท์กับตัวเอง เพราะหากตัวเองหางานได้ก็ให้รีบโทรไปหาเขาที่เบอร์ดังกล่าว ก่อนที่เค้าจะขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างออกไปจากร้านตัวเอง ยอมรับว่าตอนนั้นสีหน้าของนายนายก็ปกติ ไม่ได้มีพิรุธอะไร
กระทั่งเมื่อวานตอนเช้า ตัวเองถึงมาทราบว่าเขาเป็นผู้ต้องหาในการไปก่อเหตุฆ่าสาวเมียนมา ก็จะหลบหนีมายังที่อำเภออ่าวนางจังหวัดกระบี่ และมอเตอร์ไซค์พ่วงข้างที่เค้าขับมาหาตัวเองที่ร้าน ก็เป็นรถของคนรู้จักอีกคนที่เค้าไปหยิบยืมมา
โดยตอนนี้ตัวเองเชื่อว่านายนายยังอยู่ในพื้นที่อำเภอเอาจังหวัดกระบี่ ถ้าเขาอยู่ก็อยากให้เขารีบมามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพราะตอนนี้เบอร์โทรศัพท์ที่เขาได้ให้ตัวเองไว้ก็ไม่สามารถติดต่อได้แล้ว
ตัวเองรู้จักกับนายนายเมื่อประมาณสามปีที่แล้ว ซึ่งตอนนั้นเคยทำงานที่เดียวกัน ที่ผ่านมาเค้าก็เป็นคนนิสัยปกติทั่วไป ไม่เคยมีพฤติกรรมรุนแรง ส่วนแรงจูงใจในการเห็นครั้งนี้ตัวเองก็ไม่แน่ใจว่ามาจากอะไร
แฉแผน “ไอ้นาย” เตรียมหนี หลังช่อง 8 ออกข่าว
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายบอส นามสมมติ กลุ่มเพื่อนนายนาย ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากนายนายไปก่อเหตุมา เขาได้มาขออาศัยอยู่กับนายอาร์ท ซึ่งเป็นเจ้าของบ้านเช่า แต่ตัวเองจำไม่ได้ว่าเค้ามาขออาศัยอยู่วันที่เท่าไหร่
ซึ่งนายนายได้ให้เหตุผลกับนายอาร์ทว่า สาเหตุที่เขามาขออาศัยอยู่ด้วยนั้น เนื่องจากเค้าหนีหนี้มาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช ด้วยความที่เพื่อนๆเป็นห่วง จึงให้อาศัยอยู่ด้วย กระทั่งนายนาย ได้ตกเป็นบุคคลต้องสงสัยในข่าว ช่วงเช้ามืด ซึ่งตัวเองไม่มั่นใจว่าเป็นเช้ามืดวันเสาร์หรือเช้ามืดวันอาทิตย์ ในไหนก็ได้เก็บกระเป๋าออกไปจากบ้านเช่าของนายอาร์ท ก่อนที่เค้าจะหลบหนีออกไป ในตอนนี้ตัวเองก็ไม่ทราบว่านายนายเค้าไปอยู่ที่ไหน เพราะตัวเองก็ติดต่อเขาไม่ได้เช่นเดียวกัน
ด้านนายซัน นามสมมติ เพื่อนบ้านของบ้านเช่าหลังที่นายนายมาขออาศัยอยู่ ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองเจอนายนายเมื่อเวลาประมาณทุ่ม แต่จำไม่ได้ว่าคืนวันศุกร์หรือคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ตอนนั้นนายนายนั่งอยู่อยู่ที่หน้าบ้านของนายอาร์ท ลักษณะนั่งก้มหน้า สีหน้าเครียด ไม่เหมือนกับทุกครั้งที่เขาเจอกับตัวเอง เขาจะยกมือไหว้ตัวเองตลอดเวลา หลังจากวันนั้นมาตัวเองก็ไม่เจอนายนายอีกเลย ไม่รู้ว่าเค้าหายไปไหน แต่ทักมาทราบว่าเค้าเป็นผู้ต้องหาในการฆ่าสาวเมียนมา ตอนที่ทราบข่าวตอนแรกตัวเองรู้สึกงงมาก เพราะที่ผ่านมานายนายเขาก็ เป็นคนนิสัยปกติทั่วไป ซึ่งตัวเองก็เคยทำงานอยู่กับเขามาเหมือนกัน เมื่อประมาณสามปีที่แล้ว
“ไอ้นาย” สารภาพฆ่าเพราะรัก แทงคอ “น้องสา” ลากศพโยนบ่อ
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสอบปากคำและตรวจสอบร่างกายของนายพิทญาในเบื้องต้น ก็ได้มีการนำตัวออกจากห้องสืบสวนชั้น 3 เพื่อพาเข้าไปในห้องขังชั้น 1 ซึ่งทีมข่าวได้พยายามสอบถามนายพิทญาอีกครั้งถึงปมเหตุฆ่านางสา โดยนายพิทญาก็ตอบเพียงสั้น ๆ ว่า “มีแค่เรื่องหึงหวงครับ ไม่มีปมอื่น” ซึ่งนายพิทญาก็เล่าว่า ที่ผ่านมานางสานั้นทำเหมือนว่ายังรักตน คือมีการไปมาหาสู่ที่บ้านของตนเป็นประจำ ซึ่งตนก็เข้าใจว่าตัวเองกับนางสายังคงเป็นแฟนกันอยู่ แต่สุดท้ายตนมาจับได้ว่านางสามีแฟนอีกคนจึงทำให้ตนโกรธและพลั้งมือฆ่า ยืนยันเหมือนเดิมว่าลงมือทุกอย่างเพียงคนเดียว มีการแทงคอแค่ครั้งเดียวแล้วนางสาก็แน่นิ่งไปเลย จากนั้นทีมข่าวก็ถามว่า “ตัวเล็กกว่าผู้หญิง แล้วลากเขาไปไหวหรอ” นายพิทญาก็ไม่ตอบอะไร
จากนั้นทีมข่าวได้ถามว่า “อยากบอกอะไรแม่ไหมเมื่อเช้าแม่ไหว้พระขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลให้ลูกมอบตัว เรารับรู้บ้างไหม” นายพิทญาก็พยักหน้าพร้อมกับพูดว่า ”น้องขอโทษนะแม่ น้องยอมรับผิดแล้ว“ แต่เมื่อทีมข่าวถามว่า “รักพี่สาไหม อยากบอกอะไรพี่สาไหม” นายพิทญาก็พยักหน้าแต่ก็ไม่พูดอะไร จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้คุมตัวเข้าห้องขังในทันที