จากกรณีที่สภ.ลำปาว จ.กาฬสินธุ์ ได้รับแจ้งเหตุมีคนพบศพถูกแทงเสียชีวิตทิ้งศพลอยอยู่ริมเขื่อนลำปาวห่างจากฝั่งประมาณ 30-50 เมตร เหตุเกิดที่ ห่างจากจุดโรงสูบน้ำเขื่อนลำปาวล็อค 17 บ้านโนนศาลา หมู่ 13 ต.ภูดิน อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ประมาณ 200 เมตร จึงพร้อมด้วยเจ้าสมาคมกู้ภัยร่วมใจกาฬสินธุ์ จุดบริการสหัสขันธ์ ตรวจสอบที่เกิดเหตุ บริเวณกระต๊อบ 3 หลัง ริมเขื่อนลำปาว พบคราบเลือดติดอยู่บริเวณกระต๊อบหลังขวามือสุด บริเวณพื้นดินมีร่องรอยลากศพและรอยเลือดเป็นทางยาวลงไปที่ริมเขื่อน ก่อนจะพบศพลอยอยู่ในน้ำเขื่อนลำปาวห่างจากฝั่งประมาณ 30-50 เมตร เจ้าหน้าที่จึงนำศพขึ้นฝั่งเพื่อตรวจสอบ พบว่าผู้ตายเป็นหญิงมีร่องรอยถูกแทงตามลำตัว 7 แผล และที่ลำคอมีร่องรอยถูกเชื่อกรัดเพื่อลากศพไปทิ้งในน้ำเขื่อนลำปาว
ล่าสุดเช้านี้ (14มี.ค.67) ผู้สื่อข่าว เดินทางไปติดตามคดีดังกล่าว ที่ สภ.ลำปาว พบว่านายสำราญถูกนำตัวออกจากห้องขังเพื่อมาเค้นสอบปากคำ ที่ห้องสอบสวน จากการสังเกตนายสำราญ มีสีหน้าเรียบเฉย ดูไม่สะทกสะท้าน แต่อย่างใด
ต่อมาเจ้าที่พิสูจน์หลักฐานตำรวจ ได้เข้าตรวจสอบของกลาง เก็บดีเอ็นเอ จากอาวุธมีดปลายแหลมที่ใช้ก่อเหตุ รวมทั้งเสื้อผ้า ผ้าขาวม้า และโทรศัพท์มือถือของนายสำราญอย่างละเอียด เพื่อนำไปประกอบสำนวนทางคดี
เจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับผู้นำชุมชนสามารถจับกุมตัวนายสำราญได้แล้วเมื่อช่วง 23.00 น.ที่ผ่านมาที่พื้นที่บ้านศรีบุญเรือง ต.เสาเล้า อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ หลังจากกำลังจะไปขอหลบซ่อนตัวที่บ้านเพื่อนที่บ้านคำน้อยดอนม่วย ต.เสาเล้า แต่ถูกจับก่อน พร้อมของกลางอาวุธมีดที่ใช้ก่อเหตุ และเสื้อผ้าเปื้อนเลือด ซึ่งเบื้องต้นเจ้าตัวรับว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุจริง ส่วนสาเหตุเบื้องต้นคาดว่าเกิดจากความหึงหวงและหวาดระแรงว่าภรรยาจะไปมีคนอื่น และขณะนี้อยู่ระหว่างควบคุมตัวไว้ เพื่อสอบปากคำที่สภ.ลำปาว ซึ่งพล.ต.ต.ตรีวิทย์ ศรีประภา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ จะลงพื้นที่ไปสอบปากคำอย่างละเอียดในช่วงสายวันนี้
ด้านพล.ต.ต.ตรีวิทย์ ศรีประภา ผบก.ภ.จว.กาฬสินธุ์ ให้ข้อมูลระบุว่า เบื้องต้นสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยได้มีการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบ ตามตรวจสอบในพื้นที่ต่างๆและสามารถควบคุมจับควบคุมตัวเขาได้ในขณะที่เขากำลังหลบหนีโดยขับขี่รถจักรยานยนต์ ไปในพื้นที่ บ้านศรีบุญเรือง ต.เสาเล้า อ.หนองกุงศรี จ.กาฬสินธุ์ หลังจากกำลังจะไปขอหลบซ่อนตัวที่บ้านเพื่อนที่บ้านคำน้อยดอนม่วย ต.เสาเล้า แต่ถูกจับก่อน พร้อมของกลางอาวุธมีดที่ใช้ก่อเหตุ และเสื้อผ้าเปื้อนเลือด
ซึ่งทางด้านผู้ต้องหานั้นได้ให้การรับสารภาพระบุว่า ก่อเหตุลงไปเนื่องจากได้ยินแฟนสาวพูดคุยโทรศัพท์กับชายอื่นโดย เปิดลำโพง และได้ยินเสียงฝ่ายชายจึงทำให้เกิดบันดาลโทสะโมโห ใช้เชือกมัดคอ ก่อนที่ฝ่ายหญิงจะฮึดสู้ และ ใช้อาวุธมีดที่พกติดตัวมากระหน่ำแทงจนเสียชีวิต ซึ่งบริเวณลำคอไม่ได้ถูกอาวุธมีดปาดคอแต่อย่างใด เพียงแค่เชือกที่รัดคอเอาไว้นั้นรัดแน่น และทำให้เกิดรอยแผล
หลังจากก่อเหตุเสร็จนั้นก็ได้ลากตัวผู้เสียชีวิตลงไปทิ้งเอาไว้ภายในเขื่อนลำปาวใกล้ที่เกิดเหตุและมัดเอาไว้กับต้นไม้ไปในเขื่อน และหลบหนี
โดยเบื้องต้นนั้นผู้หาให้การเป็นประโยชน์รับสารภาพทั้งหมด อีกทั้ง ผู้ต้องหาเองได้ให้การปฏิเสธที่จะทำแผนประกอบคำรับสารภาพเนื่องจากว่ากังวลกลัวญาติของผู้เสียชีวิต จะมาดักรอดูการทำแผน ประกอบคำรับสารภาพ เกรงกลัวว่าจะไม่ปลอดภัยต่อตัวเขา ซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาทางเจ้าหน้าที่พนักงาน ไม่สามารถดำเนินการหรือบังคับให้ไปทำแผนได้
โดยเบื้องต้นได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาด้วยกันถึง 3 ข้อหา คือ ” ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาพกพาอาวุธมีดและอำพรางซ่อนเร้นศพ”
ต่อมาเราได้ภาพจากกล้องวงจรปิดบ้านของนางสมเพชร เพื่อนบ้าน ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 500 เมตร พบว่า ก่อนก่อเหตุ 1 วัน คือ วันที่ 12 มีนาคม 67 เวลาประมาณ 18.31 น. จะเห็นนายสำราญ ผู้ต้องหา สวมเสื้อแขนยาวสีเทาดำ สวมกางเกงขาสั้นลายพรางและใส่หมวกแก๊ป และสะพายกระเป๋าคาดอกสีดำ เดินถือมีดดาบยาวกว่าศอก เดินเข้ามาหานางสมเพชรที่บ้าน และได้บอกนางสมเพชร “ตนเองจะฆ่า นาง สมพิศ ไม่ใครก็ใคร จะต้องตายไปข้างหนึ่ง” ซึ่งตามคำบอกเล่านางสมเพชร ที่ระบุว่า ได้พยายามห้ามไม่ให้นายสำราญก่อเหตุ เพราะเพิ่งจะออกจากคุกมา โดยในคลิปจะเห็นว่านายสำราญก็ยังถือมีดดาบอยู่ตลอดเวลา จนไม่นานนายสำราญค่อยวางมีดลงที่แคร่ไม้ แต่ก็ยังยืนพูดคุยและระบายเรื่องเกี่ยวกับเมียให้นางสมเพชรฟัง
ต่อมาเราได้ภาพจากกล้องวงจรปิดตัวเดิมที่บ้านของนางสมเพชร ในวันเกิดเหตุ ช่วงเช้าเวลา 08.34น.วันที่ 13 มีนาคม 67 ก่อนนางสมพิศถูกฆ่า พบว่า นางสมพิศที่สวมใส่เสื้อแขนยาวสีน้ำเงิน สวมหมวกสีน้ำเงินและสะพายกระเป๋าสีดำ ได้เดินมาคุยกับนางสมเพชรที่บ้าน และในระหว่างนั้นนางสมเพชรได้เตือนคนตายให้ระวังตัว เพราะนายสำราญสามีขู่จะฆ่า
หลังจากคุยกับนางสมเพชรได้สักพักนางสมพิศก็เตรียมตัวที่จะออกไปเลี้ยงควาย แต่ระหว่างนี้ที่นางสมพิศ ยังคงยืนคุยกับนางสมเพชร และได้ระบายให้นางสมเพชรฟังว่าถูกสามีตามหึงหวงและระแวงอยู่ตลอด พร้อมกับยังบอกเลยว่านายสำราญเป็นบุคคลอันตราย
ส่วนกล้องตัวเดียวกันหลังเกิดเหตุ เวลา 09.34 น.ของวันที่ 13 มีนาคม 67 กล้องวงจรปิดบ้านของนางสมเพชรสามารถจับภาพของนายสำราญ สวมเสื้อแขนยาวสีดำ สวมกางเกงขาสั้น และในมือถือผ้าขาวม้าที่ห่อมีดที่ใช้ฆ่านางสมพิศ เดินมาที่บ้านของนางสมเพชร และได้วางผ้าขาวม้าที่พันมีดไว้วางไว้ที่แคร่ ก่อนจะเดินมากินน้ำที่กระติกหน้าบ้าน และในระหว่างนั้นนายสำราญได้ถามหานางสมเพชร แต่หลานนางสมเพชรบอกว่ายายไม่อยู่ โดยคาดว่านายสำราญน่าจะมาบอกนางสมเพชรว่าฆ่านางสมพิศตายแล้ว ก่อนที่นายสำราญจะเดินถือมีดที่หอด้วยผ้าขาวม้าออกจากบ้านนางสมเพชรไป
ภาพวงจรปิดต่อมา จับภาพ ผู้ต้องหา เดินออกจากบ้านหลังดังกล่าว แล้วเดินเท้าเพื่อไปเอารถซาเล้ง ขับรถไปหาบ้านพี่ชายของผู้ต้องหา ก่อนจะหลบหนี
ต่อมาเราได้ พูดคุยกับ นาง สมเพชร อายุ 61 ปี คนเตือนผู้ตาย เผยว่า ในวันก่อนหน้า เมื่อวันที่ 12 มีนาคมช่วงเวลา ประมาณ 6 โมงเย็น เป็นต้นไป เนื่องจากว่า ผู้ต้องหานั้นเดินอยู่บริเวณพื้นที่ริมเขื่อนลำปาว ขณะนั้นตนเองก็กำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ จู่ๆผู้ต้องหาได้เดินเข้ามาหาตนเองที่บ้านพร้อมถืออาวุธมีด ยาวประมาณหนึ่งศอก เดินออกมาสีหน้าท่าทางขึงขังจริงจังเดินมาบอกกับตนเองบอกว่าเดี๋ยว “ตนเองจะฆ่า นาง สมพิศ ไม่ใครก็ใคร จะต้องตายไปข้างหนึ่ง”
ซึ่งตนเองก็คาดคิดว่าบุคคลที่เขาพูดถึงนั้นจะต้องเป็นนางสมพิศและ นาย อาทิตย์ (ลูกชายผู้ตาย ) อย่างแน่นอน ตอนนั้นตนเองก็ได้เพียงแต่พยายามห้ามปรามไม่อยากให้เกิดเหตุดังกล่าวเกิดขึ้น ซึ่งเขาก็อยู่ที่บ้านตนเองประมาณเกือบ 10 นาทีก่อนเขา จะออกไป
จนกระทั่งในวันที่ 13 มีนาคมช่วงเวลาประมาณ 8 โมงเช้า นางสมพิศ ผู้เสียชีวิต ก็ได้เดินทาง ผ่านมายังบ้านตนเองเข้ามาพูดคุยกับตนเองซึ่งตนเองก็ได้รีบพูดบอกไปทันทีว่า “ ให้ระวังตัวเอาไว้เนื่องจากว่าผู้ต้องหา เขาพูดข่มขู่กับตนเองมาเมื่อวาน ว่าจะฆ่านางสมพิศและลูกชาย ต้องคนใดคนหนึ่งตายอย่างแน่นอน“
ซึ่งตนเองบอกว่าเขาเดินทางมาพร้อมอาวุธมีดมาหาตนเองที่บ้านเมื่อวาน หน้าตาเขาจริงจังมากและเหมือนเขาเตรียมการเอาไว้แล้วว่าจะมาฆ่า นางสมพิศ ให้ได้
ซึ่งเมื่อตนเองบอกไปแล้วนั้น ทางด้านผู้เสียชีวิตนั้นก็ไม่ได้กังวลหรือกลัวอะไรก็คิดเพียงแค่ว่า อาจจะไม่ได้มีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นจริง
และเขาเองก็ได้ขับรถไปที่ร้านเลี้ยงควายของเขา ระหว่างนั้นตนเองก็กลับเข้ามาภายในบ้านไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งช่วงเวลาผ่านไปประมาณช่วง 9 โมงครึ่งก็มาทราบว่า นาย สำราญ อายุ 59 ปี (ผู้ต้องหา) ได้เดินออกมาจากที่เกิดเหตุ หลังจากก่อเหตุฆ่านางสมพิศ มาพร้อมผ้าขาวม้าและอาวุธมีด มาดื่มน้ำที่บ้านของตนเองและพูดคุยกับหลานชายตนเองนิดหน่อยก่อนที่เขาดื่มน้ำเสร็จก็ได้เดินออกไปจากบ้านตนเองหายไป ซึ่งจุดที่เดินไปอ้อมบริเวณดังกล่าวซึ่งเป็นจุดที่สามารถอ้อมไปตามหาลูกชายของผู้เสียชีวิตคือนายอาทิตย์
ซึ่งคาดว่าทางด้านนายสำราญ ผู้ต้องหา นั้นอาจจะเดินอ้อมไปหวังเพื่อที่จะตามหาลูกชายผู้ตาย และไปก่อเหตุฆ่าลูกเมีย หลังจากฆ่าเมียไปแล้ว
ซึ่งตนเองทราบมาก่อนว่า นาย สำราญ (ผู้ต้องหา )ฐานะพ่อเลี้ยง และ นายอาทิตย์ (ลูกผู้ตาย ) ฐานะลูกเลี้ยง ผู้ต้องหา คู่นี้ก็ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่เนื่องจากว่าลูกเลี้ยงเองไม่ค่อยอยากจะยอมรับพ่อเลี้ยงคนนี้เนื่องจากว่าเป็นคนคุกที่เคยก่อเหตุพยายามฆ่าคนอื่นมาก่อนจึงจึงอยากให้แม่เขามีผู้ชายที่ดีเข้ามาในชีวิต และเขาทั้งสองคนนั้นก็มีปัญหามีปากเสียงกันมาโดยตลอด และเคยทราบมาก่อนว่าผู้ต้องหาก็เคยขู่จะฆ่า นายอาทิตย์ ลูกชายผู้ตาย มาอยู่ตลอด
อีกทั้งทางด้านผู้ต้องหาและผู้ตายนั้นเขาก็คบหากันมาได้ระยะหนึ่งแต่ไม่ได้นอนบ้านเดียวกันก็จะเป็นไปมาหาสู่กัน ทั้งคู่ก็จะมีปากเสียงมีการทะเลาะตบตีกันอยู่เสมอ ผู้ต้องหาเคยเปรยกับชาวบ้านกับคนสนิทไว้หลายคนว่าอยากจะฆ่าสองแม่ลูกคู่นี้
หลังสอบปากคำนานกว่า 3 ชม. เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวนายสำราญ สิงสุวรรณ ผู้ต้องหา เข้าไปควบคุมภายห้องขัง ซึ่งในระหว่างนี้นักข่าวได้พยายามสอบถามผู้ต้องหาถึงปมในการก่อเหตุฆ่าภรรยา ซึ่งผู้ต้องหาไม่ตอบคำถามนักข่าว ก่อนที่ตำรวจจะควบคุมตัวเข้าห้องขังทันที
ส่วนนายอาทิตย์ ลูกชายของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ แม่จะตีตัวออกห่างจากนายสำราญมานานแล้ว เพราะนายสำราญเป็นคนแบบนี้ เหมือนงูเห่าที่ต้องฆ่าให้ตายไม่อย่างนั้นมันจะหวนมาฆ่าเราคืน ที่ผ่านมาตนทราบมาดีตลอดว่าทั้งคู่มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่แม่ไม่เคยมาบอกหรือเล่าระบายอะไรให้ตนฟัง แม่ทำหน้าที่เป็นแม่ให้ตนอย่างดีที่สุดเสมอมา
ส่วนเหตุการณ์เมื่อวานนี้ ตนเห็นแม่เอาควายออกไปเลี้ยงแต่เช้า จากนั้นสายๆ แม่ก็ยังไม่กลับมาบ้าน จึงผิดสังเกต โทรศัพท์ไปก็ไม่รับสาย ตนจึงขี่รถจยย.ออกไปตามหา แต่ก็ไม่เจอ ก่อนที่ต่อมาชาวบ้านที่เป็นคนพบศพ จะมาบอกตนว่า แม่ถูกฆาตกรรมเสียชีวิต ศพถูกรัดคอไว้กับต้นไม้ริมเขื่อน บอกว่าก่อนหน้า เห็นแม่กับนายสำราญนั่งทะเลาะกันอยู่ตรงแถวกระต๊อบจุดเกิดเหตุ เมื่อพบศพแม่ ตนได้แต่เสียใจ สงสัยว่านายสำราญฆ่าแม่ทำไม ตนมีแม่คนเดียวที่คอยดูแล ขนาดตากับยายโทรศัพท์ไปหาแม่ว่า ไม่มีเงิน ไม่มีอะไรกิน จะไปโรงพยาบาล ก็มีแต่แม่ของตนนี่แหละที่คอยช่วยเหลือ พาไปโรงพยาบาลจ่ายค่ายาต่างๆนาๆให้ ดังนั้นแม่จึงเป็นเสาหลักของครอบครัว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว เพราะเพื่อนบ้านมาเล่าให้ตนฟังว่า นายสำราญวางแผนจะฆ่าตนกับแม่ แต่แม่ตนไม่ยอมเชื่อ แม่ไม่ยอมหนี ซึ่งคนในพื้นที่มาบอกตนว่า เห็นนายสำราญเตรียมการลับมีดมากว่า 2 วันแล้วด้วยซ้ำ หากแม่ไม่เสียชีวิตก็อาจจะเป็นตนที่ถูกนายสำราญฆ่าตาย
อย่างไรก็ตาม ก่อนคบแม่จะตัดสินใจคบหากับนายสำราญ ตนก็เคยเตือน เคยห้ามแม่ตลอด เพราะนายสำราญเพิ่งพ้นคดีออกจากคุก แต่ตอนนั้นเขาชอบแม่มาก ตั้งใจจะแต่งงาน ตนบอกสินสอดไม่ต้องมากมายก็ได้ แต่ตอนนั้นก็ยอมรับว่าไม่ได้ไว้ใจในตัวนายสำราญมาก แต่ห้ามอะไรไม่ได้ กระทั่งคบกันมาพักหนึ่ง ก็กระทบกระทั่งกันมาตลอด ตนบอกแม่ว่า คนแบบนี้เห็นแก่ตัว อยู่บ้าน กินข้าวที่บ้าน เรื่องเงินไม่เคยช่วยเหลืองานการไม่ทำ ตนจึงคิดว่านี่มันไม่ใช่แล้ว
สุดท้ายสิ่งที่นายสำราญทำนั้น โหดเหี้ยมเกินมนุษย์ อยากให้กฎหมายปรับปรุง “ฟ้ามีตา เวรกรรมมีจริง” อยากให้กฎหมายเอาผิดให้หนัก ให้ถึงขั้นประหารชีวิตไปเลย และขอให้แม่เป็นคนสุดท้าย อย่าให้มันกรณีแบบนี้ขึ้นอีกเลย