กรณีเมื่อเวลาประมาณ 01.30 น.วันที่ 17 มีนาคม ศูนย์วิทยุ สภ.ขุนทะเล อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี รับแจ้งมีเหตุรถยนต์ตกข้างทาง ไฟลุกไหม้บริเวณริมถนนทางหลวงสาย 44 สุราษฎร์ธานี-กระบี่ (เซาท์เทิร์น ซีบอร์ด) ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 110+400 ฝั่งเข้าเมือง หมู่ 4 ต.ขุนทะเล
ที่เกิดเหตุพบรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นแคมรี่ สภาพรถตกอยู่ริมขอบถนนเพลิงกำลังโหมลุกไหม้ทั้งคันอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถเข้าช่วยผู้ที่ติดอยู่ในรถได้ทัน เจ้าหน้าที่ดับเพลิงเร่งใช้น้ำฉีดสกัดใช้เวลาประมาณ 20 นาทีจึงสามารถควบคุมเพลิงได้ สภาพรถเสียหายทั้งคัน ภายในรถมีผู้เสียชีวิต 1 ราย ทราบชื่อนายวัชรินทร์ หรือเสี่ยติ่ง อายุ 55 ปี เป็นเจ้าของร้านทองในตลาดบ้านนาเดิม สภาพไหม้เกรียมทั้งตัว
วันนี้ 20 มีนาคม 2567 ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมาพบกับนางสาวโบว์ (นามสมมติ) ภรรยาคนที่ 2 ของเสี่ยติ่ง ซึ่งเธอยอมออกมาเปิดใจกับทีมช่าวช่อง 8 เพราะเห็นว่าการตายของสามีตัวเองนั้น มีเงื่อนงำและพิรุธหลายอย่าง
นางสาวโบว์ ให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเองรู้จักกับเฮียติ่งที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ก่อนจะได้พูดคุยกัน และคบหากันเป็นเวลากว่า 5 ปี ตอนแรกๆ ตัวเองไม่รู้ว่าเฮียติ่งมีภรรยามาแล้ว เพราะเขาปิดบังไว้
กระทั่ง 1 เดือนก่อนเกิดเหตุ เฮียติ่งมาบอกตัวเองว่า “เขาทราบแล้วนะ” ตัวเองก็ถามเฮียติ่งไปว่า “ใครทราบ” เขาก็บอกว่าคนที่บ้าน ตัวเองก็ถามเขาไปอีกว่า “ไหนพี่บอกว่าไม่มีใคร” จนกระทั่งเฮียติ่ง ได้สารภาพว่าเขามีครอบครัวมาแล้ว และมีลูก 2 คน
ซึ่งเฮียติ่งยังบอกตัวเองอีกว่า วันที่ภรรยาของเขาทราบว่าเฮียติ่งแอบคบหากับตัวเอง เฮียติ่งถูกภรรยาพยายามใช้มีดฟัน แต่เฮียติ่งแย่งมีดได้ทัน จึงถูกแค่ภรรยาทำร้ายตบตี ซึ่งตอนนั้นเฮียติ่งก็ได้รับบาดเจ็บ มีรอยช้ำที่ร่างกาย แล้วตัวเองก็ได้ทำแผลให้กับเฮียติ่งอีกด้วย
นางสาวโบว์ เล่าต่อว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 เวลาประมาณ 02.00 น. เฮียติ่ง ได้ขับรถกระบะคันสีดำประสบอุบัติเหตุ ยางระเบิด (คนละคันกับที่โดนเผา) ในพื้นที่ อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งคาดว่าตอนนั้นเสี่ยติ่งน่าจะขับรถกลับบ้านเช่นเดียวกัน พอเอารถไปซ่อม ช่างก็บอกว่ายางแตก ทั้งที่เฮียติ่งเพิ่งไปเปลี่ยนยางรถและเช็กสภาพรถมา รถก็ไม่มีปัญหา ตอนนั้นตัวเองก็ได้แค่คุยหารือกับเฮียติ่ง เรื่องยางรถ แต่ยังไม่ได้เอะใจอะไร
กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์เฮียติ่ง เสียชีวิตอยู่ในรถยนต์ครั้งล่าสุดนี้ ยิ่งทำให้ตัวเองสงสัยว่า เฮียติ่งน่าจะโดนฆาตกรรม และคนร้ายน่าจะวางแผนก่อเหตุตั้งแต่ครั้งแรกที่รถเฮียติ่งยางแตกแล้วแต่ไม่สำเร็จ เขาจึงมาก่อเหตุครั้งที่ 2
เพราะหากนึกถึงเฮียติ่ง คนที่เคยประสบอุบัติเหตุครั้งแรกไม่กี่วันก่อนเกิดเหตุ เขาต้องมีสติมากกว่าเดิม ระมัดระวังมากกว่าเดิม ไม่ปล่อยให้ตัวเองประสบอุบัติเหตุรอบ 2 แน่นอน ถ้าคนอื่นไม่ทำให้เขาตาย และคิดว่าเหตุการณ์ครั้งแรกและครั้งที่ 2 คนทำก็น่าจะเกี่ยวข้องกัน
นางสาวโบว์ ยังบอกพิรุธอีกอย่างให้ทีมข่าวฟัง ก่อนจะเกิดเหตุ ช่วงเช้าวันที่ 16 มีนาคม 2567 เฮียติ่งมาหาตัวเองที่บ้าน แล้วบอกกับตัวเองว่า “ช่วงนี้ต้องระมัดระวังการใช้ชีวิตของตัวเองให้เยอะๆ นะ เพราะว่ามีคนตามหาตัวน้องอยู่ มีคนตามหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราอยู่” ซึ่งก็เป็นสิงที่เฮียติ่งพูดกับตัวเองไว้ก่อนเกิดเหตุ จากนั้นตัวเองก็ไม่เจอกับเฮียติ่งอีกเลย จนกระทั่งมาทราบข่าวการเสียชีวิต
นางสาวโบว์ บอกกับทีมข่าวว่า ตัวเองสงสัยในท่าทางการเสียชีวิตของเฮียติ่ง และเรื่องของระยะเวลาที่เฮียติ่งขับออกมาจากร้านอาหาร ทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนั้น และตัวเองขอยืนยันว่า นิสัยของเฮียติ่งเขาไม่จอดรถนอนข้างทางหรือทานยาก่อนขับรถแน่นอน เขาเป็นคนแข็งแรง และออกกำลังกายเป็นประจำ
และเรื่องของทรัพย์สินที่หายไปจากศพ ปกติแล้วเฮียติ่งจะสวมทรัพย์สินติดตัว 4 อย่าง คือ แหวนเพชร, นาฬิกา, ต่างหูเพชร และสร้อยคอโรสโกลด์ ซึ่งสิ่งที่หายไปนั้น ก็คือแหวนเพชร ตัวเองจึงอยากรู้ว่า แหวนเพชรของเฮียติ่งหายไปได้อย่างไร ทั้งที่เขาจะสวมแหวนอยู่ตลอด
ทีมข่าวก็สอบถาม นางสาวโบว์ว่า แล้วเช้าวันที่ 16 มีนาคม 2567 ที่เฮียติ่งไปหาโบว์ เขาได้สวมแหวนเพชรหรือไม่ นางสาวโบว์ก็ตอบว่า วันนั้นเฮียติ่งสวมเสื้อแขนยาว ตัวเองจึงไม่ได้สังเกต แต่เชื่อว่าเฮียติ่ง สวมแหวนติดตัวตลอด จะไม่ค่อยถอดแหวน
ส่วนช่วงคืนเกิดเหตุนั้น ตัวเองยืนยันว่าไม่ได้โทรศัพท์ไปหาเฮียติ่งแม้แต่สายเดียว นางสาวโบว์ ยังให้ข้อมูลอีกว่า สำหรับเฮียติ่ง หากเป็นเวลาดึกๆ เขาจะไม่รับสายแปลกๆ หรือสายโทรศัพท์คนอื่นๆ นอกจากคนสนิทหรือคนในครอบครัวเท่านั้น ซึ่งตัวเองก็ไม่รู้ว่าคืนนั้น ใครโทรหาเฮียติ่งบ้าง
อยากฝากถึงตำรวจให้ช่วยติดตามคดีให้กับเฮียติ่งเพื่อให้ความจริงปรากฏโดยเร็ว
ตัวเองอยากบอกดวงวิญญาณของเฮียติ่งว่า ถ้าใครทำอะไรพี่ก็ให้พี่มาสื่อสารน้อง หรือญาติๆ ที่พี่ไว้ใจ เพื่อจะได้ช่วยเหลือพี่ได้
ต่อมา ทีมข่าวช่อง 8 ได้รับคลิปวีดีโอจากครอบครัวผู้เสียชีวิตว่า ช่วงเช้าของวันนี้ นายเตอร์ (นามสมมติ) ลูกชายของเสี่ยติ่ง ได้ไปเจอแหวนเสี่ยติ่งอยู่ในลิ้นชัก
นายเตอร์ ให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงเช้าวันนี้ แม่ของตัวเองบอกว่า “ไปดูแหวนพ่อให้หน่อย” ตัวเองจึงไปค้นหาแหวนในตู้ของพ่อ ก็ไปเจอแหวนวางอยู่ในลิ้นชัก ทำให้ตัวเองหายสงสัยเรื่องแหวน คิดว่าพ่อน่าจะไม่ได้สวมแหวนในวันเกิดเหตุ ส่วนเรื่องคดี ตำรวจก็ยังไม่แจ้งความคืบหน้าให้ตัวเองทราบแต่อย่างใด
ด้านนางสาวสุวภัทร อายุ 52 ปี ภรรยาของผู้เสียชีวิต วันนี้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตอนแรกตัวเองติดใจสาเหตุการตาย และสงสัยว่าทำไมรถสามีถึงระเบิดได้ จากนั้นตัวเองจึงเอาความสงสัยติดใจไปสอบถามตำรวจชุดสืบสวน ซึ่งก็ให้คำตอบว่า ตอนเกิดเหตุนั้น ไม่มีรถต้องสงสัยที่ก่อเหตุ มีแต่รถมอเตอร์ไซค์คนไปกรีดยางพารา
จากนั้นตัวเองก็ถามตำรวจอีกว่า แล้วทำไมรถถึงไหลลงไปในคูได้ ตำรวจก็บอกว่า รถของสามี เกียร์อยู่ที่ N ไม่ได้อยู่ที่ตัว P จึงทำให้มีโอกาสที่รถจะไหล และรถคันดังกล่าวก็อายุใช้งาน 21 ปีแล้ว ตำรวจยังบอกอีกว่า ตอนที่รถไปกระแทก รถอาจเกิดระเบิดได้ พอตัวเองฟังเหตุผลจากตำรวจชุดสืบสวนแล้วก็คลายข้อสงสัย แต่อย่าใช้คำว่าไม่ติดใจสาเหตุการตาย มันทำให้ตัวเองเสียหาย ซึ่งตัวเองสูญเสียสามี สังคมจะมองตัวเองอย่างไร
ทีมข่าวจึงถามภรรยาผู้เสียชีวิตอีกว่า ที่ผ่านมา ผู้เสียชีวิตมีปัญหาเรื่องชู้สาวหรือไม่ เจ้าตัวก็ตอบว่า สามีตัวเองไม่มีเรื่องชู้สาว เพราะที่ผ่านมา เขาก็ไปเที่ยวตามปกติ ไปดื่มเหล้าปกติ
และยืนยันว่า 3 วันก่อนเกิดเหตุ สามีได้ไปขับรถประสบอุบัติเหตุมาแล้ว แต่เป็นรถคนละคัน แล้วสามีก็ไปซื้อยามาทานเอง กระทั่งมาเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นครั้งที่ 2
ตอนนี้ ตัวเองก็รอผลพิสูจน์หาสาเหตุการตายของสามี จากเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่เหมือนกัน ส่วนประเด็นแหวนของสามี คิดว่าเขาน่าจะไม่ได้ใส่ไปในวันเกิดเหตุ เพราะเมื่อเช้าลูกชายตัวเองก็มาเจอแหวนในลิ้นชักแล้ว ก็คลายข้อสงสัยแล้ว เรื่องแหวน
ส่วนรถต้องสงสัยที่ข่าวไปออก ตัวเองก็ถามตำรวจแล้ว เขาก็บอกว่า น่าจะเป็นรถของชาวบ้านที่เขาเห็นเหตุการณ์ แล้ววนรถมาดู
ทีมข่าวช่อง 8 ได้กล้องวงจรปิด ก่อนเกิดเหตุมา พบว่า เวลา 18.18 น. เสี่ยติ่ง ผู้ตาย เดินลงจากรถมาซื้อเบียร์ที่ร้านขายของชำ ก่อนจะมีการพูดคุยกับเจ้าของร้าน
และเวลา 18.20 น. ผู้ตาย ได้เดินออกจากร้าน โดยทีมข่าวพยายามซูมไปที่มือด้านขวาของเสี่ยติ่ง ก็ปรากฏว่า ไม่เห็นเสี่ยติ่งสวมแหวนเพชรที่นิ้วมือแต่อย่างใด ซึ่งก็เป็นแค่การสังเกตเบื้องต้นตามในกล้อง แต่กล้องวงจรปิดดังกล่าวภาพไม่ค่อยชัด และจับภาพเสี่ยติ่งค่อนข้างไกลอีกด้วย
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังจุดเกิดเหตุ พร้อมได้จำลองเหตุการณ์ โดยจอดรถยนต์ริมถนนในจุดที่เสี่ยติ่งจอดรถ ห่างจากจุดที่เจอศพประมาณ 15 เมตร จากนั้น ทีมข่าวได้เข้าเกียร์ N และไฟกระพริบไว้ตลอด เหมือนกับคำให้การของชาวบ้านที่เห็นรถเสี่ยติ่งก่อนเกิดเหตุ
ต่อมาทีมข่าวได้ขยับตัวไปมาอย่างแรง เพื่อทดสอบว่า ตอนที่ทีมขยับตัวไปมาแล้วเข้าเกียร์ N นั้น รถทีมข่าวจะเคลื่อนที่ไปได้ไกลขนาดไหน
จากการจำลองเหตุการณ์ดังกล่าว พบว่ารถของทีมข่าว ไม่มีการขยับหรือไหลไปด้านหน้าแต่อย่างใด แต่รถคันดังกล่าวจะมีการโยกไปมาเล็กน้อยเท่านั้น หรืออาจจะเป็นเพราะว่า รถที่ทีมข่าวทำการจำลองนั้นเป็นรถยนต์กระบะ ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่ารถเก๋ง จึงอาจให้รถไม่ได้เคลื่อนที่ไปไกล
ส่วนสภาพพื้นผิวที่เสี่ยติ่งจอดรถนั้น พบว่าจอดอยู่บนข้างทางซึ่งมีพื้นเรียบปกติ ไม่ได้มีความลาดชันแต่อย่างใด
ด้านนายสุชาติ เจ้าของอู่ศุภกิจการช่าง ให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับรถคันดังกล่าว เป็นไปได้ยากที่รถจะตกจากริมถนนไปคูน้ำดังกล่าว แล้วเกิดการระเบิด และมีเพลิงไหม้ เพราะการที่รถจะระเบิดได้นั้นจะต้องมีการชนอย่างรุนแรง หรือแม้บางคันขนาดชนรุนแรงก็ไม่ถึงกับระเบิด
ตัวเองก็ยังแปลกใจอยู่เหมือนกันว่า ทำไมรถคันดังกล่าวถึงระเบิดได้ ลักษณะของจุดที่ตกไปก็ไม่ได้มีความลึก และไม่ได้ชนกับอะไรที่เป็นวัตถุขนาดใหญ่ อีกอย่างตัวเองก็ได้ยินข้อมูลมาว่า ก่อนเกิดเหตุรถของผู้ตายได้จอดอยู่ข้างทาง ไม่ได้ชนกับอะไรอีกด้วย
แต่การที่ไฟจะติดได้ทั้งคันขนาดนั้น ตัวเองก็ไม่อยากพูดไปมากกว่านี้ว่าเกิดจากอะไร แต่เชื่อว่าไม่ได้เกิดจากการที่รถตกแน่นอน
ทีมข่าวได้วงจรปิดใกล้จุดเกิดเหตุอีกมุม พบว่า เวลา 01.01.11 น. จับภาพรถกระบะต้องสงสัยคันสีขาวขับออกจากจุดเกิดเหตุ ส่วนจุดเกิดเหตุนั้น ยังไม่มีเปลวไฟ
กล้องตัวที่ 2 เวลา 01.13.40 น. จะเริ่มเห็นควันไฟ ตรงจุดเกิดเหตุที่เสี่ยติ่งเสียชีวิต