จากกรณีที่ชุดสืบนครบาล ร่วมกับ ศอปส.ตร. (ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยา เสพติดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ) ได้นำกำลังบุกทลายแหล่งมั่วสุมยาเสพติดและมั่วเซ็กซ์ โดยมีการรวบตัว “นายเก่ง” หรือ นายเศรษฐยศ อายุ 42 ปี หัวหน้าแก๊งระดับหัวจ่าย ซึ่งเป็นข้าราชการครูระดับรองผู้อำนวยการของโรงเรียนชื่อดังย่านปากเกร็ด พร้อมกับสมุนเอก “นายท็อป” หรือ นายกฤตฌาน์พัฒน์ อายุ 37 ปี โดยมีการสวมรอยเป็นหมอตำรวจอายุรกรรมโรคหัวใจ ตระเวนสร้างสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบชายรักชายกับเหยื่อบุคลากรทางการแพทย์ ให้เสพติดจนสิ้นเนื้อประดาตัว
โดยทั้งสองถูกแจ้งข้อหาว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ( เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์ ) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้าและก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และเสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ( เมทแอมเฟตามีนหรือยาไอซ์) โดยผิดกฎหมาย”
ตรวจยึดของกลาง จำนวน 10 รายการ
1.ยาเสพไอซ์ ประมาณ 100 กรัม (ลักษณะใส่ถุงเตรียมแบ่งขาย)
2.คีตามีน จำนวน 2 ถุง
3.เงินสด 31,500 บาท
4.สมุดบัญชีธนาคาร 5 เล่ม (พบเงินหมุนเวียน 1.3 ล้านบาทใน 3 เดือนที่ผ่านมา)
5.ถุงยางอนามัย จำนวน 200 ชิ้น
6.เจลหล่อลื่นบรรจุซอง จำนวน 100 ซอง
7.ไวอากร้า จำนวน 50 ซอง
8.เข็มฉีดยาพร้อมสายยังรัด จำนวน 100 เข็ม
9.Eternal drive จำนวน 6 อัน (บรรจุหนังลามกประเภทชายรักชายรวม 6 TB)
10.อุปกรณ์การเสพยาเสพติดและเครื่องชั่งอีกหลายรายการ
ในชั้นจับกุม นายเศรษฐยศฯ หรือเจ๊เก่ง ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ปัจจุบันตน ประกอบอาชีพรับราชการครูตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งย่านปากเกร็ด สอนวิชาการงานอาชีพให้แก่เด็กชั้นประถมศึกษา โดยตนเริ่มเสพยาตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2566 และเริ่มสั่งยาเสพติดมาจากทวิตเตอร์มาขายในช่วงต้นปี พ.ศ. 2567 ซึ่งนำมาขายให้เพื่อน , วัยรุ่น และข้าราชการ ย่านรัตนาธิเบศ จนถึงปัจจุบันตนยังคงรับราชการครูอยู่และยังขายยาเสพติดไปด้วย และได้รู้จักกับเกย์ท็อป เมื่อประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 โดยนายท็อปได้ไปไปมามาที่ห้องของตนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งตนได้นำยามาขายให้กับนายท็อป และให้นำไปขายเรื่อยมา”
ในชั้นจับกุม นายกฤตฌาน์พัฒน์ฯ ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “ตนเกิดที่กรุงเทพฯและโตที่กรุงเทพฯ เข้าเรียนชั้นอุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านรังสิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ เมื่อจบการศึกษาได้ออกมาประกอบอาชีพออแกไนซ์จัดงานเป็นระยะเวลา 1 ปี จึงได้เรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชื่อดังย่านปทุมวันจนจบปริญญาโท ได้ประกอบอาชีพอยู่ที่บริษัทประกัน จากนั้นตนเริ่มใช้ยาเสพติด เกี่ยวข้องกับยาเสพติดต่อเนื่องมาจนชีวิตเริ่มดำดิ่ง กระทั่งถูกดำเนินคดีขณะเสพยาอยู่กับกลุ่มเพื่อนในปี พ.ศ. 2557 ติดคุกอยู่ 1 ปี 3 เดือน หลังจากออกมาจากเรือนจำในปี พ.ศ.2558 ตนพยายามหางานเพราะไม่ต้องการเป็นภาระของทางบ้านแต่ไม่สามารถหางานได้เนื่องจากตนเคยติดคุกมา เมื่อไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ ตนจึงได้หวนกลับมาในเส้นทางเดิมโดยการเริ่มขายยาเสพติด จนเริ่มคบหาดูใจกับแฟนหนุ่มซึ่งประกอบอาชีพแพทย์มา 2 คน และได้เลิกรากันโดยยืนยันว่าตนเองไม่ได้ไปหลอกลวงเหล่าแพทย์ชาย แต่เพราะพวกหมอเหล่านั้นติดยาเสพติดที่ตนเอาไปให้เอง และต่อมาได้มารู้จักกับครูเก่ง และตนก็มารับยาจากครูเก่งไปขายเป็นประจำ โดยขายให้กับกลุ่มเพื่อน จนในที่สุดตนได้ถูกออกหมายจับ และถูกจับกุมตัวส่งศาลแต่ได้รับอนุญาตให้ประกันตัว ตนจึงได้หลบหนีในขณะที่ศาลให้ประกันตัวเป็นระยะเวลา 2 ปี จนมาถูกจับในวันนี้”
หลังจับกุมตัว ได้นำตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ จ.นนทบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. กล่าวว่า “กลุ่มผู้ต้องหาเป็นคนที่มีตำแหน่งหน้าที่ทางสังคม มีความรู้ และยังมีการสร้างเครือข่ายโดยการใช้ความเชื่อมโยงทางจิตใจเพราะเป็นกลุ่มที่มีรสนิยมเดียวกัน และส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้าราชการเจ้าหน้าที่ และที่น่ากลัวที่สุดคือระดับหัวหน้าขบวนการเป็นครูที่ต้องเป็นแม่พิมพ์ให้กับเหล่าอนาคตของชาติ และยังมีตำแหน่งระดับสูงในโรงเรียน ถือเป็นภัยต่อเยาวชนที่ยังศึกษาอยู่ในโรงเรียนอย่างยิ่ง เราจะขยายผลให้ถึงที่สุด จึงขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน หากผู้ใดมีเบาะแส โปรดแจ้งข้อมูลมาที่เพจ “สืบนครบาล IDMB” เรามีเจ้าหน้าที่พร้อมตลอด 24 ชั่วโมง
ต่อมาทางด้านของ นายประสิทธิ์ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน กล่าวว่า นายเศรษฐยศนั้นมีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการที่โรงเรียนจริง แต่ที่ผ่านมาเขาก็ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างสักเท่าไหร่ เนื่องจากนายเศรษฐยศนั้นมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูงและมักมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องกลิ่นตัวของตัวเอง จึงไม่ค่อยอยากให้ใครเข้าใกล้ ซึ่งลักษณะของนายเศรษฐยศก็เป็นเหมือนครูปกติทั่วไป ไม่ได้มีผลงานหรือรางวัลโดดเด่นอะไร แต่ในส่วนของเรื่องส่วนตัวหรือพฤติกรรมส่วนตัวนั้นตนก็ยืนยันว่าไม่ทราบ เนื่องจากนายเศรษฐยศไม่ได้ทำตัวน่าสงสัยหรือแปลกอะไร จะมีก็แต่โรคประจำตัวที่นายเศรษฐยศบอกว่าเป็นแพนิคไม่อยากให้ใครเข้าใกล้ก็เท่านั้น ซึ่งในตอนนั้นตนก็มีการแนะนำว่าให้ไปรักษาที่โรงพยาบาล และนายเศรษฐยศก็อ้างว่าอยู่ระหว่างการรักษาตัว
แต่ในส่วนของการไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ทางด้านนายประสิทธิ์ (ผู้อำนวยการ) ก็ยืนยันว่าไม่เคยทราบมาก่อนและนายเศรษฐยศก็ไม่มีพฤติกรรมอะไรให้เห็นเลย แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนก็มองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควร ซึ่งตนก็รู้สึกตกใจเช่นเดียวกัน แต่หลังจากนี้จะเอาอย่างไรต่อก็ต้องรอดูเนื้อหาความเป็นจริง ต้องรอดูทิศทางของคดีว่าจะจงลงอย่างไร เพราะตอนนี้ตนก็ยังไม่ทราบรายละเอียดเท่าที่ควร บางเรื่องที่ได้ยินมาก็อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้
หลังจากนี้ก็จะมีการกำชับคุณครูภายในโรงเรียนให้มากขึ้นเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเพราะเป็นข้าราชการ แต่คงไม่ต้องถึงขั้นเรียกตรวจปัสสาวะคุณครูภายในโรงเรียน เพราะคุณครูทุกคนก็ไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างว่า ซึ่งส่วนตัวตนก็ยังเชื่อว่านายเศรษฐยศไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเด็กนักเรียน เชื่อว่าคงไม่มีการหลอกล่อหรือชักจูงให้เด็กนักเรียนไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดแน่นอน
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นช่วงนาทีที่ชุดสืบนครบาลได้ทำการบุกเข้าร่วมตัวนายเศรษฐยศและนายกฤตฌาน์พัฒน์ / โดยในวันที่ 26 มีนาคม 2567 เวลาประมาณ 16.40 น. จะเห็นว่าเจ้าหน้าที่ชุดสืบจำนวน 3 คน ได้มายืนรออยู่บริเวณด้านหน้าของคอนโดที่ทั้งสองผู้ต้องหาพักอาศัย จากนั้นไม่นานทางด้านของนายกฤตฌาน์พัฒน์ (นายท็อป) ซึ่งสวมเสื้อสีเหลืองก็ได้เดินออกมาจากคอนโด เพื่อออกมารับอาหารจากไรเดอร์ และหลังจากนั้นทางด้านชุดสืบก็เดินปรี่เข้าไปแสดงตัวพร้อมกับทำการจับกุมนายกฤตฌาน์พัฒน์ (นายท็อป) ในทันที จากนั้นก็ได้พาตัวเข้าไปภายในคอนโดอีกครั้ง เพื่อให้นำทางไปหานายเศรษฐยศที่ห้องพัก