สืบเนื่องจากที่ทีมข่าวช่อง 8 ได้รับข้อมูลการโทรศัพท์ของเจ๊อ้วนกับนายชัย หลังวันที่เสี่ยหมาสหายตัวไป (1 กุมภาพันธ์) ซึ่งเจ๊มีการติดต่อกับนายชัยไม่ต่ำกว่า 15 สาย ช่วงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ แต่เจ๊อ้วนกลับอ้างว่า ตัวเธอไม่เคยพูดคุยกับนายชัยหลังเสี่ยหายเลย มีเพียงการส่งข้อความพูดคุยกับนางสาวอิง ซึ่งเป็นเมียของนายชัยเท่านั้น และข้อความที่พูดคุยกับนางสาวอิง ก็เป็นข้อความที่นางสาวอิง เป็นห่วงเจ๊อ้วน และคอยส่งข้อความถามหาเสี่ยหมาส ว่า เจอรถเสี่ยหรือยัง รงมถึงมีการโทรศัพท์คุยกัน อ้างว่า คุยเรื่องตามหารถเสี่ย


ล่าสุดทีมข่าวได้หลักฐานเพิ่มเกี่ยวกับพิกัดการใช้สัญญาณโทรศัพท์ ใกล้กับบริเวณพื้นที่บ้านพักของเสี่ยหมาส ต.เขาค่าย อ.สวี จ.ชุมพร พบว่า วันที่ 31 มี.ค. 2567 และ 1 ก.พ. นายสุทีป มีการใช้โทรศัพท์ในพื้นที่ดังกล่าว รวมถึงนายพฤหัสอีกด้วย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าทั้งคู่มีการโทร. คุยกัน ช่วงรอยต่อคืนที่เสี่ยหมาสหายตัวไป




ขณะที่ก่อนหน้านี้ เมื่อ 2-3 วันก่อน ทีมข่าวได้เคยได้ขอตรวจสอบโทรศัพท์มือถือของเจ๊อ้วน ที่ตำรวจได้ส่งคืนมาให้เจ๊อ้วนแล้ว หลังนำไปตรวจสอบ โดยเจ๊อ้วนได้เปิดโทรศัพท์ให้ดู พร้อมกับอ้างว่า ตนเองที่ได้ส่งข้อความไปหานางสาวอิง เมียของนายชัยให้ยกเลิกภารกิจ ตั้งแต่ 25 มกราคม แล้ว รวมถึงพูดคุยกับนางสาวอิง ถึงการติดตามหารถที่พาเสี่ยหมาสไป




แต่ปรากฎว่า เมื่อทีมข่าวขอตรวจสอบกลับพบว่า แชตที่เจ๊อ้วนคุยกับนางสาวอิง เมียของนายชัย กลับไม่มีประวัติการสนทนาอยู่แล้ว โดยเจ๊อ้วนอ้างว่า ก่อนหน้านี้เจ๊อ้วนมีโทรศัพท์ทั้งหมด 3 เครื่อง และตำรวจได้เก็บไปตรวจสอบทั้งหมดแล้ว โดยมีการส่งคืนกลับมาให้ตนเอง 1 เครื่อง ซึ่งเป็นเครื่องหลักที่เจ๊อ้วนใช้ และเมื่อได้โทรศัพท์คืนมา เจ๊อ้างว่า ไม่รู้ว่าประวัติการคุยกับอิง ภรรยาของนายชัย ซึ่งมีชื่อในไลน์ว่า “อิง ซาน” ประวัติถูกลบหายไปไหนไม่รู้ และเจ้าตัวยืนยันว่า ตนเองไม่ได้ลบข้อความการคุย


ซึ่งการที่เจ๊อ้วนอ้างว่าประวัติแชตระหว่างนางสาวอิงหายไป โดยโยนว่าตำรวจเอาไปตรวจสอบแล้วหายไปไหนไม่รู้ ขัดแย้งกับสำนวนการสืบสวนของตำรวจ ที่มีการระบุโทรศัพท์ของเจ๊อ้วนเครื่องหลักที่คุยกันนางสาวอิง ประวัติการคุยถูกลบไปก่อนที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบด้วยซ้ำ




ทั้งนี้ หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกมายืนยันว่า จุดที่เสี่ยหมาสถูกทำร้ายจนเสียชีวิตนั้น อยู่ภายในบ้านพักของเสี่ยหมาสและเจ๊อ้วนกลางสวนทุเรียนเอง ก่อนที่จะมีนายชัยและพวกขนศพไปทิ้ง นั่นอาจหมายความว่า เจ๊อ้วนอาจจะรู้เห็นทุกอย่าง และเป็นคนคอยสั่งการให้ทีมงานจับมัดมือเท้าก็เป็นไปได้ตามคำให้การของนายชัย




ล่าสุดทีมข่าวได้ลองย้อนภาพเก่า ซึ่งเป็นภาพที่ทีมข่าว เคยได้นั่งเปิดภาพศพของเสี่ยดหมาสให้เจ๊อ้วนดูในคืนวันที่เจอศพวันแรก ซึ่งในคืนวันนั้น เจ๊อ้วนได้นั่งดูช่อง 8 แต่ภาพศพยังถูกเบลอจากโทรทัศน์ จึงเห็นศพของเสี่ยไม่ชัด


ในวันนั้นเจ๊อ้วนจึงได้ขอให้ทีมข่าวช่วยเปิดภาพศพของเสี่ยหมาสให้เจ๊ดู ซึ่งทีมข่าวสังเกตว่า ทันทีที่เจ๊ได้เห็นศพของเสี่ยครั้งแรก เจ๊กลับไม่ร้องไห้ หรือ รู้สึกตกใจกับสภาพศพของเสี่ยในตอนนั้นเท่าไรนัก ซึ่งเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ๊อาจจะรู้อยู่แล้วว่าศพเสี่ยมีสภาพอย่างไร เพราะเจ๊เป็นคนสั่งให้ทำตั้งแต่ในบ้านที่เกิดเหตุเอง




นอกจากนี้ ทีมข่าวได้รับข้อมูลจากตำรวจหลังไปแกะรอยจากรถฟอร์จูนเนอร์เสี่ยหมาสที่ถูกนำไปขายที่ จ.พนครพนม ตำรวจดันไปเจอว่าระหว่างเส้นทางที่กลุ่มที่เอารถเสี่ยไปขายนั้น นอกจากจะเห็นภาพชายปริศนาใส่แว่นเป็นคนขับรถเสี่ยไปแล้วนั้น ปรากฏว่ามุมภาพที่ทางตำรวจตรวจสอบเจอเมื่อเวลา 21.29 น. ของวันที่ 1 ก.พ. (วันที่เสี่ยหายตัว) พื้นที่ อ.ละแม จ.ชุมพร กำลังมุ่งหน้าไป จ.สุราษฎร์ธานี พบว่าในภาพนอกจากเป็นชายใส่แว่นยังปรากฏเป็นชายปริศนาอีกคน นั่งฝั่งข้างคนขับ โดยสวมหมวกไว้


ประกอบกับกับคำให้การของนายชัย ที่บอกว่ามีการสั่งให้ตนเองเอารถเสี่ยไปขาย ทำให้คาดว่าชายปริศนาอีกคนที่ใส่หมวกอาจเป็นนายชัยหรือไม่ ส่วนชายใส่แว่นที่เป็นคนขับรถเสี่ย หากว่าตามรายงานสืบสวนอาจเชื่อมโยงขบวนการซื้อรถเถื่อนใช่หรือไม่ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องแกะรอยอีกคดีเพิ่มอีกด้วย

 

พิรุธ "เจ๊อ้วน" แชตวันสั่งตาย "เสี่ยหมาส" หาย ไร้น้ำตาในวันที่เจอศพเสี่ย