จากกรณีเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2567 พ.ต.อ.นิวัฒน์ การสิทธิ์ ผกก.สภ.โคกตูม จ.ลพบุรี พร้อมกำลังตำรวจฝ่ายสืบสวนได้ร่วมกันจับกุมตัวนายไพรบูรณ์ อายุ 58 ปี ผู้ต้องหาหลังให้การับสารภาพว่าได้ลงมือฆ่านางสุนันทา อายุ 47 ปี ภรรยาของตนเอง แล้วนำร่างไปฝังดินไว้อยู่ในสวนหลังบ้าน
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอสนับสนุนกำลังเจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญู และรถแบ็กโฮมาทำการขุดดินบริเวณหลังบ้านผู้ต้องหาตามคำให้การโดยใช้เวลาขุดหาประมาณ 1 ชั่วโมง จนกระทั่งขุดลึกลงไปประมาณ 1 เมตร พบถุงกระสอบแบบ 7 สี เมื่อเปิดออกดูพบโครงกระดูกศีรษะถูกคลุมด้วยถุงพลาสติกดำ จึงแจ้งให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานลพบุรีมาตรวจสอบ พบร่างผู้ตายลักษณะผมยาว คาดว่าจะเป็นนางสุนันทา ถูกนายไพรบูรณ์ สามีฆ่าตายฝังศพอำพรางไว้นานร่วม 8 เดือน
ซึ่งก่อนหน้านี้วันที่ 27 มีนาคม นายเสกสรร อายุ 44 ปี น้องชายผู้ตายได้แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.โคกตูม ให้ช่วยติดตามาตัวนางสุนันทา ซึ่งปกติจะอยู่กินกับนายไพรบูรณ์ ที่บ้านผู้ต้องหาแบบสามีภรรยามา 2 ปี แต่เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2566 พี่สาวตนได้โทรศัพท์ให้ตนมารับพากลับบ้าน แต่พอตนมารับพี่สาวที่บ้านนายไพรบูรณ์ ปรากฏว่าไม่พบพี่สาว พอสอบถามนายไพรบูรณ์ อ้างว่าพี่สาวตนหนีออกจากบ้านไป
จากนั้นก็ไม่พบหน้าพี่สาวตนและไม่สามารถติดต่อได้อีกเลย จึงทำให้สงสัยว่านายไพรบูรณ์ จะมีความลับซ่อนเร้นเกี่ยวกบตัวพี่สาวหายตัวไป ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามหาให้ด้วย หลังรับแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว จนกระทั่งวันที่ 29 มี.ค. เจ้าหน้าที่ได้นำกำลังมาที่บ้านนายไพบูรณ์ ปรากฏว่าพอนายไพรบูรณ์เห็นตำรวจก็วิ่งหลบหนีทันทีแต่ถูกควบคุมตัวเอาไว้ได้ ก่อนนำตัวไปสอบปากคำจนรับสารภาพว่าเป็นฆ่าเมียฝังดินเอาไว้หลังบ้าน
ทั้งนี้ นายไพรบูรณ์ ให้การสารภาพเล่าให้ตำรวจฟังว่า ตนเองมีเมียมาแล้ว 4 คน แต่เลิกกันไปหมดแล้วผู้ตายเป็นเมียคนที่ 5 อยู่กินกันมาถึง 2 ปี อยู่กินกันช่วงแรกก็มีเงินใช้จ่ายไม่ขาดมือ แต่มาภายหลังเงินทองที่ใช้จ่ายก็เริ่มร่อยหรอไป วันเกิดเหตุวันที่ 1 สิงหาคม 2566 นางสุนันทา ภรรยา มีปากเสียงกับตนอยู่หลังบ้าน และใช้คำพูดกับตนว่า “มึงหมดตัวแล้วก็ไม่มีความหมายกับกู กูจะไปหาผัวใหม่แล้ว แน่จริงจึงมึงฆ่ากูเลย ถ้ามึงไม่ฆ่ากู กูจะฆ่ามึง” ตนฟังแล้วทำให้ตนเองรู้สึกเก็บกดมาก แถมยังมาถูกเมียรักกัดเข้าที่คอตนเจ็บมาก จึงหยิบเอาค้อนที่วางอยู่ในสวนตีเข้าที่ท้ายทอยก่อน และตีซ้ำ ๆ ไปที่หัวอีกนับสิบครั้งจนนิ่งไป แล้วตนใช้ผ้าคลุมร่างไว้
จากนั้นตนได้กลับเข้าไปนั่งในบ้านวางแผนคิดว่าจะเอาศพใส่รถพ่วงข้างไปทิ้งข้างทาง หรือจะเอาใส่ถังโบกปูนดี คิดไปคิดมาจนตัดสินใจเอาศพฝังไว้ที่จุดเกิดเหตุหลังบ้านดีกว่า ก่อนจะไปนั่งกินข้าวเอาแรง 1 ชาม จากนั้นเริ่มขุดดินเตรียมฝังศพไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้มีใครสงสัยหรือเห็นก็คิดว่าตนขุดดินปลูกต้นไม้ โดยขุดลึกลงไปประมาณ 1 เมตร ขุดเสร็จประมาณ 5 โมงเย็นวันเดียวกัน นำร่างเมียใส่ถุงกระสอบเอาถุงดำคลุมหัวปิดกระสอบฝังกลบไป หลังผ่าไปประมาณ 1 เดือน ตนยังคิดถึงเมียที่ฝังอยู่ตกกลางดึกจะแอบไปนั่งกินเหล้าอยู่บนดินหลุมฝังศพเมียทั้งน้ำตาคิดว่าตนทำผิดพลาดไป บอกเมียขอให้อภัยตนด้วย
หลังจากสอบสวนปากคำแล้วจึงนำตัวนายไพรบูรณ์ ไปชี้จุดเกิดเหตุ พร้อมถ่ายภาพทำแผน นำตัวมาแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วนร่างผู้ตายมอบให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิร่วมกตัญญูนำส่งสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังจุดพบศพของนางสุนันทา โดยบริเวณดังกล่าวนั้นเป็นแปลงผักที่อยู่ติดกับหลังบ้านของนายไพรบูรณ์ (ผู้ต้องหา) ซึ่งระหว่างตัวบ้านของนายไพรบูรณ์กับพื้นที่แปลงผักนั้นจะมีรั้วปูนและสังกะสีสร้างขั้นกลางเอาไว้ โดยมีความสูงประมาณ 1.4 เมตร แต่บางตุดของรั้วก็มีการสร้างประตูที่สามารถเปิด-ปิดได้ โดยเป็นประตูไม้ที่ไม่ได้แข็งแรงมากนัก หากเปิดประตูจากหลังบ้านของนายไพรบูรณ์ ก็จะมีก้อนอิฐบล็อกก็สูงขึ้นมาประมาณ 30 เซนติเมตร หากเดินข้ามออกมาเพียง 4-5 ก้าว ก็จะเป็นจุดที่มีการขุดหลุมฝังศพของนางสุนันทา
ซึ่งบริเวณประตูดังกล่าวก็เป็นเส้นทางที่นายไพรบูรณ์ใช้ขนศพของผู้เป็นภรรยาออกมาทำการฝังอำพราง ซึ่งช่วงที่ทีมข่าวลงพื้นที่ไปสำรวจ ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ได้ใช้ดินกลบหลุมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยบริเวณดังกล่าวก็ยังคงมีเศษซากของต้นไม้ที่ถูกถอนระหว่างการขุดหาศพผู้เสียชีวิต แต่ก็ยังคงมีพืชผักบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ เช่น มะละกอ ตะไคร้ ใบเตย ชะอม มะเขือ ซึ่งพืชผักเหล่านี้ได้ถูกปลูกอยู่บนหลุมศพของนางสุนันทา โดยที่นายไพรบูรณ์ก็มีการเก็บไปให้ครอบครัวของนางสุนันทาทานอยู่บ่อยครั้ง
ต่อมาทีมข่าวได้พูดคุยกับ นางวิภา (นามสมมติ) เพื่อนบ้านของผู้ต้องหา เปิดเผยว่า ในวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ช่วงกลางดึกตนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องกรี๊ดทั้งหมด 3 รอบ แต่ตอนนั้นตนไม่รู้ว่าเป็นเสียงใคร ทราบแค่ว่าเป็นเสียงผู้หญิง โดยเบื้องต้นตนกับนายไพรบูรณ์เพื่อนบ้านนั้นไม่ค่อยจะได้พูดคุยกันสักเท่าไร เพราะเจอกันทีไรก็คอยแต่ทะเลาะกันตลอด จึงตัดปัญหาด้วยการไม่ต้องพูดคุยกันไปเลย ซึ่งหลังจากนั้นในช่วงเช้าของวันที่ 2 สิงหาคม 2566 ตนเห็นว่านายไพรบูรณ์กำลังขุดดินอยู่หลังบ้าน ลักษณะที่เห็นคือเขามีการถอดเสื้อและพยายามขุดดินที่หลังบ้านตัวเอง
ในตอนนั้นตนก็คิดว่าเขาน่าจะกำลังปลูกพืชผักทั่วไป เพราะด้านหลังนั้นก็เป็นแปลงผักอยู่แล้ว แต่หลังจากวันนั้นตนก็เห็นว่ากลางค่ำกลางคืน นายไพรบูรณ์ก็มักจะเดินออกไปที่แปลงผักหลังบ้านเป็นประจำ แต่ตนก็ไม่ได้ออกไปดูหรือไปถามไถ่อะไร จนกระทั่งเมื่อวานนี้ที่มีก็การขุดพบศพของนางสุนันทา ทันทีที่รู้ข่าวก็แทบจะช็อก เพราะในตอนเช้าตำรวจก็มีการเข้ามาสอบถามข้อมูลจากตน แต่ตนก็ไม่รู้เรื่องจึงเล่าไปตามที่เห็นว่าเขาเคยขุดดินบริเวณนี้
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพจากกล้องวงจรปิดในวันที่ 29 มี.ค. 2567 เวลาประมาณ 17.35 น. พบว่าบริเวณละแวกบ้านของนายไพรบูรณ์ ผู้ต้องหา มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น คือเจ้าหน้าที่ได้ทำการประสานเรียกรถบรรทุกแบ็กโฮมาจอดบริเวณริมถนน ก่อนที่จะมีเจ้าหน้าที่ขึ้นไปขับรถแบ็กโฮลงมา พร้อมกับขับเข้าไปในซอยข้างบ้านของนายไพรบูรณ์เพื่อทำการขุดหลุมที่สามีได้ให้การยอมรับสารภาพว่า ได้ฝังภรรยาหลังจากก่อเหตุฆาตกรรม
จากนั้นในเวลา 18.22 น. เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้เดินทางเข้ามาในที่เกิดเหตุและมีการขับเข้าไปภายในซอยที่มีการฝังศพของนางสุนันทา ซึ่งเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยก็ทยอยเข้ามาเสริมอย่างต่อเนื่อง และในเวลา 18.50 น. รถตู้ของ สภ.โคกตูม ก็ได้ขับเข้าไปภายในซอยข้างบ้านของนายไพรบูรณ์
จากนั้นในเวลา 20.07 น. รถตู้ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โคกตูม ก็ได้ขับออกจากที่เกิดเหตุ โดยภายในรถนั้นก็ได้มีนายไพรบูรณ์ (ผู้ต้องหา) นั่งไปด้วย ซึ่งรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ขับมุ่งหน้าไปยัง สภ.โคกตูม และในเวลา 20.08 น. รถของเจ้าหน้าที่กู้ภัยก็ได้นำร่างของนางสุนันทาออกจากที่เกิดเหตุเช่นเดียวกัน ซึ่งใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง ในการขุดและนำร่างของผู้เสียชีวิตขึ้นมาตรวจสอบ
ต่อมาเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้มีการเชิญครอบครัวของนางสุนันทามาที่ สภ.โคกตูม โดยมีทั้งน้องสาว, ลูกชาย, แม่ของผู้เสียชีวิตมาตรวจเก็บ DNA บริเวณกระพุ้งแก้ม เพื่อนำไปพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างผู้เสียชีวิตกับญาติ เนื่องจากสภาพศพที่พบนั้นค่อนข้างเปื่อยยุ่ยจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
ต่อมาทางด้านของนางสมัย อายุ 65 ปี ซึ่งเป็นแม่ของผู้เสียชีวิตได้ เผยว่า ในตอนแรกลูกเขยนั้นถือว่าเป็นคนนิสัยดีนะ นายไพรบูรณ์มักจะแวะมาเยี่ยมเยียนตนพร้อมกับลูกสาวอยู่ตลอด แต่มาช่วงหลังที่ทั้งคู่นั้นเริ่มจะมีปากเสียงกันและเริ่มรุนแรงมากขึ้น โดยมีอยู่วันหนึ่งที่นายไพรบูรณ์นั้นซื้อเหล้ามานั่งดื่มที่บ้านของตน แล้วนางสุนันทาก็ได้มีปากเสียงกับนายไพรบูรณ์ ทำให้นายไพรบูรณ์นั้นหยิบแก้วหยิบขวดเหล้ามาเขวี้ยงใส่ลูกสาวของตน เท่าที่สังเกตคือเวลานายไพรบูรณ์ได้ดื่มเหล้าเขาก็จะเริ่มอารมณ์เสีย และเผยความโรคจิตความซาดิสม์ออกมา ซึ่งตนก็เคยเอ่ยปากห้ามไม่ให้ทั้งคู่ทะเลาะกันในตอนนั้น
และหลังจากนั้นนางสุนันทาก็ไม่ค่อยกลับมาหาตนที่บ้าน นานทีถึงจะกลับมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว จนกระทั่งช่วงที่นางสุนันทาได้หายตัวไปอย่างปริศนา ทางด้านนายไพรบูรณ์ลูกเขยก็ไม่เคยหายหน้าหายตาไปไหน มีการมาหาตนที่บ้านและร้องไห้พร้อมบอกว่า “ผมคิดถึงเมียใจจะขาดแล้ว” ซึ่งบางครั้งนายไพรบูรณ์ก็มีการเอากับข้าวมาให้ รวมถึงพืชผักไม่ว่าจะเป็น มะละกอ มะเขือ ตะไคร้ ข่า โดยมาให้ถึงที่บ้านและมีการบอกว่า “ลูกสาวแม่เป็นคนปลูกไว้ ผมเลยเก็บมาให้แม่กิน” ซึ่งตนก็มาทราบเมื่อวานนี้ว่าพืชผักเหล่านั้น ถูกปลูกอยู่บนหลุมศพของลูกสาวตน พอรู้อย่างนั้นก็รู้สึกว่าจิตใจนายไพรบูรณ์นั้นมันโหดเหี้ยม ตนอยากจะฆ่านายไพรบูรณ์ทิ้งไปซะ ให้สมกับที่มันทำกับลูกสาวแม่ทั้งคน
ต่อมาทางด้าน นายจิรพัฒน์ อายุ 24 ปี ซึ่งเป็นลูกชายของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ช่วงเดือนสิงหาคม 2566 ที่แม่ของตนได้หายตัวไปนั้นตนกำลังอยู่ในค่ายทหาร ซึ่งตนก็ได้ทราบข่าวจากนายไพรบูรณ์ผู้เป็นพ่อเลี้ยง โดยนายไพรบูรณ์มีการโทรศัพท์เข้ามาหาตนที่ค่าย และแจ้งว่าแม่ของตนหนีออกจากบ้านไป ได้มีการติดต่อกันบ้างหรือเปล่า ซึ่งตนก็ได้บอกไปว่าแม่ไม่เคยติดต่อมา อีกทั้งตอนนั้นตนจำเป็นที่จะต้องอยู่ในค่ายทหาร และไม่สามารถออกมาช่วยตามหาผู้เป็นแม่ได้ ทำให้นายไพรบูรณ์เริ่มมีการด่าทอประมาณว่า “เป็นลูกที่ไม่ได้เรื่อง แม่หายไปทั้งคนก็ไม่คิดจะกระตือรือร้นตามหา ไม่ทุกข์ไม่ร้อนบ้างเลยเหรอ” จนทำให้ตนรู้สึกผิดและเสียใจมาโดยตลอด
จนกระทั่งช่วงปลายปีที่แล้วตนได้ออกมาจากค่ายทหาร และมาเจอกับนายไพรบูรณ์ ซึ่งนายไพรบูรณ์ก็ยังคงทำเหมือนว่าพยายามจะช่วยตามหานางสุนันทา ซึ่งในตอนนั้นตนก็มองว่านายไพรบูรณ์เป็นคนดีมากจริง ๆ เขาดูเหมือนรักแม่ของตนมาก เพราะเขาไม่เคยลดละความพยายามตามหาแม่ของตนเลย แต่ท้ายที่สุดความคิดนั้นก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะเมื่อวานนี้ตำรวจได้จับกุมตัวนายไพรบูรณ์เนื่องจากเป็นคนลงมือฆ่านางสุนันทา สิ่งแรกที่ตนคิดขึ้นมาได้คือ “เขาจะทำดีไปทำไม” เขาคงทำดีเพื่อหวังกลบเกลื่อนความผิดตัวเอง ตอนนี้ตนไม่อยากพูดอะไรถึงนายไพรบูรณ์ ไม่อยากเห็นหน้าเลยด้วยซ้ำ
เบื้องต้นตนทราบมาว่า นายไพรบูรณ์ได้ให้การกับตำรวจว่า นางสุนันทาหยิบมีดจะแทงนายไพรบูรณ์ก่อน แต่นายไพรบูรณ์หลบได้จึงหยิบค้อนมาทุบนางสุนันทาจนตาย ซึ่งตนก็ไม่ทราบว่าความจริงแล้วเรื่องมันเกิดอะไรขึ้น โดยสิ่งที่ตนคิดมาเสมอคือ “อยากเจอหน้าแม่เป็นคนแรกหลังได้ปลดทหาร” แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้เจอหน้าแม่อีกแล้ว
ขณะที่ช่วงเช้าวันนี้ (30 มี.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โคกตูม ได้นำตัวนายไพรบูรณ์ (ผู้ต้องหา) ออกไปฝากขังที่ศาลจังหวัดลพบุรีตั้งแต่ช่วงเช้า เนื่องจากเมื่อวานนี้ได้มีการชี้จุดพร้อมกับทำแผนประกอบคำรับสารภาพไปแล้ว หลังจากมีการขุดพบศพของนางสุนันทา (ผู้ตาย) โดยช่วงเช้านักข่าวก็ได้มีการเข้าไปพูดคุยกับผู้ต้องหา ขณะที่นั่งอยู่ภายในรถผู้ต้องขังว่า “เป็นยังไงบ้าง นอนหลับไหม” ทางด้านของนายไพรบูรณ์ก็ได้ตอบด้วยรอยยิ้มว่า “หลับ ๆ กำลังจะไปศาลครับ” นักข่าวก็ถามว่าอยากจะขอโทษญาติของคนตายไหม นายไพรบูรณ์ก็พยักหน้ารับแต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ขับรถนำผู้ต้องหาออกไปในทันที
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายเสกสรร น้องชายของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ผู้ตายกับนายไพรบูรณ์นั้นได้คบหากันมาประมาณ 2 ปี ในช่วงแรกทั้งคู่ก็ดูรักกันดี นายไพรบูรณ์ดูเป็นคนนิสัยดีมาก แต่มาพักหลังพี่สาวก็มีมาบ่นให้ฟังว่านายไพรบูรณ์นั้นซาดิสม์และโรคจิต ลักษณะคือชอบทุบตีและทำร้ายนางสุนันทาอยู่บ่อยครั้ง จนนางสุนันทานั้นเคยบอกว่าอยากเลิกกับนายไพรบูรณ์และอยากจะไปคบกับคนใหม่ที่ดีกว่านี้
จนกระทั่งวันที่ 1 สิงหาคม 2566 นางสุนันทาได้โทรศัพท์มาหาตนพร้อมกับบอกว่า “อยากกลับบ้าน ช่วยมารับออกไปจากบ้านของนายไพรบูรณ์หน่อย” ซึ่งหลังจากนั้นตนก็ได้ขับรถพี่สาวในช่วงค่ำวันนั้นเลย แต่เมื่อไปถึงปรากฏว่าไม่เจอนางสุนันทา มีเพียงแค่นายไพรบูรณ์ที่ออกมารับหน้าและบอกกับตนว่า “เขาออกไปแล้ว ไม่รู้ออกไปกับใคร” ตอนนั้นตนก็รู้สึกแปลกใจเพราะพี่สาวเป็นคนตามให้ตนมารับ แต่ตอนนั้นตนก็ไม่ได้ลงจากรถหรือเข้าไปในบ้านของนายไพรบูรณ์ จนเวลาก็ล่วงเลยมา 7-8 เดือน เหตุการณ์ที่พี่สาวได้หายตัวไปอย่างปริศนาก็ยังคงฝังใจตนมาตลอด และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานายไพรบูรณ์ก็ไม่ได้หายหน้าหายตาไปไหน นายไพรบูรณ์ยังคงแวะเวียนมาหาพวกตนถึงบ้าน โดยมีการเข้ามาถามไถ่ว่าเจอนางสุนันทาบ้างไหม ติดต่อกลับมาบ้างหรือเปล่า อีกทั้งนายไพรบูรณ์ก็มีการหอบข้าวปลาอาหารรวมถึงเหล้าเบียร์มานั่งดื่มนั่งกินที่บ้านของญาตินางสุนันทาเป็นประจำ
แต่ส่วนตัวนายเสกสรรก็ยังคงปักใจเชื่อว่า นายไพรบูรณ์ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายไปของพี่สาว จนในวันที่ 27 มีนาคม 2567 ตนจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความที่ สภ.โคกตูม และให้ข้อมูลกับตำรวจว่าสงสัยในตัวนายไพรบูรณ์ จนเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้บุกเข้าตรวจค้นที่บ้านพักของนายไพรบูรณ์ โดยภายในบ้านนั้นไม่พบกับสิ่งผิดปกติอะไร จนกระทั่งมาถึงแปลงผักหลังบ้าน ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการขุดดิน นายไพรบูรณ์ก็เหมือนจะรู้ตัวและตั้งท่าจะวิ่งหลบหนี ซึ่งตำรวจก็วิ่งไล่ไปจับตัวมาได้ทัน จนมีการเค้นถามความจริงและท้ายที่สุดนายไพรบูรณ์ก็ได้ยอมรับสารภาพว่าลงมือฆ่านางสุนันทาพร้อมกับพาไปชี้จุดที่มีการฝังศพ
ซึ่งที่ผ่านมาเท่ากับว่านายไพรบูรณ์นั้น แสดงละครตบตาทุกคนมาตลอด เขาแสร้งว่าเป็นห่วงและพยายามช่วยออกตามหา แต่แท้จริงแล้วเขานั่นแหละที่เป็นคนลงมือฆ่าและทำการฝังไว้ในสวนผักหลังบ้าน ถือว่านายไพรบูรณ์นั้นจิตใจโหดเหี้ยมมาก จึงอยากขอให้กฎหมายช่วยลงโทษคนผิดให้ถึงที่สุด
จากนั้นทีมข่าวได้เข้าไปพูดคุยกับ นางโก อายุ 90 ปี ซึ่งเป็นแม่ของนายไพรบูรณ์ (ผู้ต้องหา) โดยนางโกเล่าว่า บ้านหลังที่เกิดเหตุนั้นเป็นบ้านของตน ซึ่งที่ผ่านมาก็อาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 3 คน คือ นางโก, นายไพรบูรณ์-ลูกชาย, นางสุนันทา-ลูกสะใภ้ แต่ที่ผ่านมาลูกสะใภ้นั้นนิสัยไม่ค่อยดีเท่าไรในสายตาของตน เพราะนางสุนันทามักจะดื่มเหล้าเสพยาบ้า แล้วก็จะพาลหาเรื่องทะเบาะกับนายไพรบูรณ์เป็นประจำ
ซึ่งตนยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงเพราะที่ผ่านมาตนก็เห็นและรับรู้มาตลอด แต่ขอยืนยันว่าลูกชายของตนไม่เคยลงมือทำร้ายหรือทุบตีเมียเลยแม้แต่ครั้งเดียว มากสุดที่เห็นก็แค่จะมีปากเสียงเถียงกันเท่านั้น “โถ่ ลูกชายฉันนั่งหุงข้างหาอาหารให้เมียกินทุกวัน ลูกฉันทำทุกอย่าง” แต่ก็ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุอะไรถึงมาฆ่ากันภายหลัง โดยนางโกยืนยันว่าในช่วงที่เกิดเหตุนั้นตนไม่ได้อยู่บ้าน เนื่องจากได้ย้ายไปอยู่กับลูกสาวที่จังหวัดปราจีนบุรี
แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันลูกชายก็โทรศัพท์มาหาพร้อมบอกว่า “แม่ เมียผมหายออกไปจากบ้าน ผมเหงา แม่มาอยู่เป็นเพื่อนผมหน่อย” จากนั้นตนก็เดินทางกลับมาอยู่กับลูกชายที่บ้าน เหตุการณ์ก็มีเท่านั้น ที่เหลือตนก็ไม่รู้เรื่องแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะลูกชายก็ดูปกติดี ไม่ได้เห็นว่ามีอาการเครียดหรือผิดปกติอะไร
ทีมข่าวก็ได้ถามต่อว่า “วันนี้อยากบอกอะไรลูกชายไหม” นางโกก็ตอบว่า “ฉันไม่อยากบอกอะไร สุดแล้วแต่เขาเถอะ ใครทำอะไรมันก็ได้อย่างนั้น มันจะทำอะไรก็เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของฉัน แล้วแต่บุญแล้วแต่กรรม” ทีมข่าวก็ถามต่ออีกว่า “แล้วอยากขอโทษลูกสะใภ้กับครอบครัวเขาไหม” นางโกก็ตอบว่า “ฉันไม่ขอโทษ ไม่ขอโทษ ไม่อยากขอโทษ ฉันไม่อยากยุ่ง”