วันนี้ (30 มี.ค. 2567) ทีมข่าวยังได้รับคลิปเสียงจากนายบอล (นามสมมติ) ชาวบ้านใน ต.เขาโร อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ที่มาเปิดเผยพฤติกรรมของนายชัย โดยนายชัยมีชื่อเสียงตั้งแต่เป็นหนุ่มเกี่ยวกับเรื่องการหามือปืนมาทำงาน คนในพื้นที่จะรู้กันว่าหากใครมีปัญหากับใคร และอยากให้จบด้วยการให้อีกฝ่ายตายก็จะติดต่อมาหานายชัย เขาเป็นมือปืนและเขามีทีมงาน
“ชัย” ยังเคยติดคุก ระหว่างที่อยู่ในคุก “ชัย” ก็เป็นขาใหญ่ในนั้นเป็นผู้อยู่เบื้องหลังคดีที่เกิดขึ้นในเรือนจำ แถมยังได้รู้จักผู้ต้องหาคนอื่นที่มีคดีเหมือนกันในภาคใต้ ซึ่งนายชัยมีชื่อเสียงเรื่องขาใหญ่ในนครศรีธรรมราช ก็ได้เจอขาใหญ่ในพื้นที่อื่นเหมือนกัน และช่ำชองในการกระทำผิดเหมือนกัน มีการพูดคุยกันถึงหลังถูกดำเนินคดีสังคมไม่ยอมรับ และทางออกก็คือทำเรื่องที่กระทำความผิดด้วยกันต่อไป
และหาก “ชัย” กำลังทำเรื่องประกันตัวก็จะมีนายทุนมาช่วยเหลือ พอออกจากคุกก็จะทำงานอาชีพเดิม มีคนจ้างเรื่อย ๆ เพราะแต่ก่อนถ้ามีปัญหากันก็จะปลิดชีพกัน และค่าตอบแทนก็ดีเพราะได้เงินเป็นก้อน จนทำให้ชาวบ้านกลัวถ้าได้ยินชื่อ “นายชัย” พอได้เงินค่าจ้างมาก็ฟอกเงิน โดยการไปซื้อที่ดิน ซื้อบ้านต่างจังหวัด แล้วเอาชื่อคนอื่นมาซื้อแทนชื่อตนเอง ทำให้อาชีพนี้ร่ำรวยและมีผู้มีอิทธิพลคอยดูแลจึงทำให้ใคร ๆ ก็อยากอยู่ในวงการนี้
พอ “ชัย” ทำงานรับจ้างฆ่าได้ประมาณ 2 ปีก็ปรากฏว่ามีคดียาเสพติด โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นในพื้นที่เขตป่าอนุรักษ์ ต.เขาโร และ ต.นาไม่ไผ่ นายชัยได้เลี้ยงวัวเป็นฝูง จ้างคนงานเลี้ยงวัว แล้วหากำไรจากการฟอกเงินจากการซื้อขายวัว คล้ายกับลักษณะฟอกเงิน ต่อมาตำรวจได้ตามตรวจสอบและค้นพื้นที่เลี้ยงวัวจนพบยาบ้าประมาณ 1,000,000 เม็ด
เมื่อตำรวจจับกุมผู้กระทำผิดได้ตนก็ไม่มั่นใจว่าผู้กระทำผิดได้มีการซักทอดถึงได้ใช้หรือเปล่า แต่แนวทางการสืบสวน พบว่า บริเวณที่ตำรวจตรวจค้นเจอยาบ้า 1,000,000 เม็ด เป็นจุดที่นายชัยเอายาบ้ามาพักไว้ แล้วมีการเลี้ยงวัวเพื่อบังธุรกิจสีเทาไว้
ต่อมานายบอล ยังบอกอีกว่า คนที่รู้เรื่องธุรกิจทุกอย่างของ “ชัย” คือภรรยาคนล่าสุดของนายชัย ซึ่งตนก็จำชื่อไม่ได้ จิตใจเหมือนกันก็ต้องอยู่ด้วยกันกับนายชัยเพิ่งคบหากัน ซึ่งภรรยาคนล่าสุดของนายชัยเพราะตนได้เช็กประวัติก็พบว่า มีประวัติจ้างวานและสมคบร่วมกันฆ่า ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าภรรยาคนล่าสุดของนายชัยเคยได้ไปชดใช้กรรมในเรือนจำหรือไม่ หรืออาจจะไม่เคยติดคุกเพราะใช้เงินในการแก้ปัญหา นายชัยก็เอาเงินที่ได้จากการจ้างวานก็เอาไปซื้อรถ ซื้อที่ดิน ซื้อบ้านในเวลาไม่กี่ปีหลังออกจากเรือนจำ
“ตนเองสงสารคนที่ทำมาหากินเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว แต่พอขัดแย้งบางอย่างกับคนในครอบครัวก็ถูกลงโทษโดยศาลเตี้ยและเสียชีวิต ด้วยอำนาจอิทธิพลด้วยความอำมหิต” ชาวบ้านหลายคนก็รู้เรื่องนี้แต่ไม่กล้าให้ข้อมูลเพราะเขากลัว ยิ่งกว่านั้นมีเจ้าหน้าที่ภาครัฐที่ไม่กล้าให้เบาะแสนายชัยเช่นกัน เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้ยังรับเงินจากนายชัยอยู่
“ผมของสงสารจริง ๆ คนที่ทำมาหากินโดยสุจริตก็ต้องมาอยู่ยากหากนายชัยยังอยู่วัฏจักรเวลาการตายน่าจะเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่มีคนมาฆ่าหรือมีคนมากำหนดความตายของเขา ผมว่ามันโหดเหี้ยมเกินมนุษย์”
ตนเองยังสงสัยอีกว่าความยุติธรรมในชั้นศาลอยู่กันอย่างไร เนื่องจากคดีใหญ่ ๆ ไม่คืบหน้า เพราะมีเงินตราที่สามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง บางคนต้องพลิกผันชีวิตเพื่อทำสิ่งที่ผิดเพื่อให้ชีวิตได้มีความเป็นอยู่ที่สะดวกสบาย ไม่คำนึงถึงผลที่ตามมาว่าใครจะพูดไม่ดีถึงตนก็ไม่เป็นไร อยู่ยากถ้ายังผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
อยากฝากถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจตนเองใกล้ขอความยุติธรรมให้กับบุคคลที่เสียชีวิต อย่าให้ชีวิตต้องตายเปล่าโดยการถูกฆ่า อย่าให้คนผิดต้องลอยนวลโดยไม่ได้รับผิด ขอให้ประเทศไทยยกระดับความน่าอยู่ขอให้อย่าใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาต้องฆ่ากัน ขอฝากเรื่องนี้
ต่อมาทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านของนายพฤหัส พบนายคม (นามสมมติ) พ่อของนายพฤหัส ผู้ต้องสงสัย บอกว่า โดยตนขอโทษครั้งก่อนที่ให้สัมภาษณ์ถามคำตอบคำ แต่ขอให้เข้าใจตนวันนั้นด้วย ตนเครียดอยู่แต่ตนพร้อมให้ความร่วมมือทุกสิ่ง ตนเองเป็นคนพาลูกชายไปโรงพักตั้งแต่แรก ถ้าจะถามเรื่องคดีลูกชายตนให้การหมดแล้วกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตนได้สอบถามลูกตั้งแต่เจอซากรถถูกทิ้งน้ำในสวนปาล์มญาติของสุทีป แต่ลูกก็ยืนยันว่าไม่ได้ไปที่ชุมพรและไม่ได้ไปกับสุทีป
“ลูกยืนยันล้านเปอร์เซ็นต์ลูกไม่ได้ไป ตนจึงเชื่อว่าลูกตนบริสุทธิ์ แต่ส่วนเรื่องที่ลูกให้การกับตำรวจ ตนไม่รู้ลูกให้การอะไรบ้าง เพราะตำรวจคุยกับลูกลักษณะปิดห้องคุยกันสองคนที่ สภ.กะปาง” ในส่วนที่ถามตนว่าสาเหตุอะไรที่ทำให้ลูกตนเอี่ยวคดีนี้ ตนมองว่าอาจเป็นเพราะลูกไปให้การเป็นญาติสนิทฝ่ายเมียสุทีปก็เลยโดนพ่วงไปด้วย เพราะที่ผ่านมานายสุทีปไปไหนลูกตนก็ไปด้วย ทำงานก็ทำงานด้วยกัน แล้วยังมีงานที่ค้างอยู่เป็นงานไม้
ซึ่งตนก็กังวลกลัวเสี่ยชัยซัดทอดมาหาลูกชายตน ถ้าเป็นอย่างนั้นลูกตนถูกใส่ร้าย เพราะที่ผ่านมาลูกชายไม่เคยปิดบังตำรวจ ตนยอมรับว่าเครียดและนอนไม่หลับกินข้าวไม่ลง ส่วนที่พาลูกชายมาพักอาศัยที่อื่นเพราะก็กลัวลูกชายได้รับอันตราย เพราะหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่เกี่ยวข้องในคดีเป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่
ในขณะที่ทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่บ้านของชัยและสุทีป ปรากฏว่าปิดบ้านเงียบไม่มีคนอยู่ ซึ่งเพื่อนบ้านก็ไม่กล้าให้ข้อมูลถึงเรื่องที่เกิดขึ้น