เมื่อเวลา 10.10 น. ตำรวจ สน.บึ่งกุม กรุงเทพฯ รับแจ้งเหตุมีคนถูกแทงเสียชีวิต อยู่บริเวณปากซอยเสรีไทย 23 ใกล้กับจุดจอดวิน ตำรวจตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบร่างของนายอุทัย อายุ 49 ปี ถูกแทงที่หน้าอกขวา นอนเสียชีวิตอยู่ที่ข้างถนนปากซอย และระหว่างชุดสืบสวนและสอบสวนลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ เจอกับชายอายุ 47 ปี มีเลือดไหลที่ศีรษะลักษณะหัวแตก นั่งรอรถกู้ภัยเพื่อรับการช่วยเหลือ และจากการสอบปากคำ เจ้าตัวสารภาพว่าเป็นมือแทง เพราะในตัวเจอมีดเปื้อนเลือด ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงให้กู้ภัยช่วยทำแผล พร้อมมีการจับกุมตัว ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ นายกิตติพงษ์ หรือ เชาว์ อายุ 47 ปี นั้น




วันนี้ (4 เม.ย. 2567) ทีมข่าวลงพื้นที่เกิดเหตุ หลังจากที่มีการคุมตัวนายกิตติพงษ์ไปที่ สน.บึงกุ่ม พบว่าร่างของคนตายยังคงนอนอยู่ริมถนน โดยกู้ภัยได้มีการใช้ผ้าขาวคลุมร่างเอาไว้ เพื่อรอแพทย์เวรและตำรวจพิสูจน์หลักฐานมาทำการตรวจพื้นที่เกิดเหตุ


ทีมข่าวสังเกตว่า นางบุญหยง อายุ 48 ปี ภรรยาของคนตาย ใส่เสื้อสีเขียว นำเก้าอี้มานั่งอยู่ใกล้กับศพสามีหลังถูกแทงตาย และเป็นช่วงที่ระหว่างรอแพทย์เวรเข้ามาตรวจชันสูตรศพ ซึ่งภรรยาอยู่ในอาการเสียใจ เพราะรับไม่ได้ที่สามีถูกนายกิตติพงษ์ เพื่อนที่รู้จักกันแทงตาย เจ้าตัวนั่งอยู่ในอาการเสียใจและร้องไห้




โดยช่วงเวลาเกิดเหตุมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพ ทั้งคู่มีการทะเลาะกันเป็นภาพของวันนี้ 4 เม.ย. เวลา 10.02 น. กล้องวงจรปิดจับภาพนายอุทัย ใส่เสื้อวินมอเตอร์ไซค์ ในมือถือไม้ ขณะที่นายกิตติพงษ์ ใส่เสื้อสีลายขาว กางเกงขาสั้น ในมือขวาถือมีด ซึ่งมีการสู้กัน ลักษณะก่อนฟัดเหวี่ยงเหว ล้มลุกคลุกคลาน ก่อนที่จะเห็นว่าตัวของนายอุทัยพยายามใช้ไม้ตีนายกิตติพงษ์ และจะมีบางช่วงที่คาดว่าคนตายถูกจ้วงแทงเข้าที่อกขวา ก่อนที่จะไปล้มลงอยู่ที่ปลายมุมกล้อง




แล้วจากนั้นทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม ก่อนที่จะเกิดเหตุโดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดริมถนนเสรีไทย ก่อนถึงปากซอยเสรีไทย 23 ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพเวลา 09.13 น. ของวันนี้ 4 เม.ย. จะเห็นว่าตัวของนายกิตติพงษ์ มือแทง มีลักษณะเดินไปกลับ เพื่อที่จะไปที่ร้านขายน้ำกระท่อม ก่อนที่จะเดินกลับมาบริเวณปากซอยเสรีไทย 23 แล้วมีปากเสียงกับนายอุทัยคนตาย




ขณะเดียวกันทีมข่าวเดินทางไปที่ สน.บึงกุ่ม กรุงเทพฯ หลังจากมีการคุมตัวนายกิตติพงษ์ได้ที่เกิดเหตุ โดยเจ้าตัวนั่งให้การกับตำรวจสภาพมีผ้าก๊อซพันที่หัว และมีแผลที่ใบหน้า เนื่องจากถูกนายอุทัยคนตายใช่ไม้ตีศีรษะแตก แต่ไม่ถึงกับต้องเย็บ กู้ภัยจึงได้มีการพันแผลและส่งตัวให้กับตำรวจนำไปสอบปากคำ พร้อมกับของกลาง




ซึ่งระหว่างที่เจ้าตัวอยู่ภายในห้องสืบสวน ได้มีการให้การวกไปวน เนื่องจากยังมีอาการมึนเมา แต่ก็ยังพอสื่อสารรู้เรื่อง และโดยเบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้มีการถ่ายเอกสาร ซึ่งเป็นใบบันทึกจับกุม เพื่อให้ตัวของนายกิตติพงษ์ มีการเซ็นรับทราบ ว่าถูกจับกุมหลังไปก่อเหตุ และให้มีการเซ็นรับทราบข้อกล่าวหา “ทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย” แต่เจ้าตัวลักษณะหัวหมอเล็กน้อย มีการบอกกับตำรวจว่า จะรอให้ญาติหรือทนายความมาก่อนจึงจะมีการเซ็นเอกสาร


เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้มีการคุมตัวลงไปฝากขังชั่วคราวภายใน สน. ซึ่งระหว่างนั้นทีมได้มีโอกาสพูดคุยกับนายกิตติพงษ์ ระหว่างที่นำตัวไปฝากขังชั่วคราว ช่วงที่รอให้อาการเมาลดลง นายกิตติพงษ์ มือแทง เผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนเองยอมรับว่าเป็นการป้องกันตัว และมีมีดพกติดตัวตัวจริง แต่ช่วงเวลาเกิดเหตุได้มีปากเสียงกับนายอุทัยคนตาย แต่ผมเหตุไม่ใช่เรื่องหมากรุก แต่เป็นเรื่องพูดไม่เข้าหูกัน จากนั้นนายอุทัย คนตาย ได้เอาไม้มาตีหัวตนเองก่อน ตนเองจึงต้องสู้และใช้มีดป้องกันตัว ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นตนเองย้ำว่า ตัวของคนตายพยายามทำร้ายตนเองก่อน ตนเองจึงต้องใช้มีดออกมาแทง




และเหตุการณ์ครั้งนี้ ตนเองก็ยืนยันว่าตนเองไม่เป็นคนหาเรื่องก่อน แต่คนตายเป็นคนหาเรื่อง และพยายามทำร้ายตนเอง ฉะนั้นตนเองก็จะสู้ตามกระบวนการ และรอให้ครอบครัวมาก่อน จึงจะให้ปากคำเพิ่มเติม แต่สำหรับตอนก่อเหตุนั้นยอมรับว่าเมา และคนตายก็เมา เมาด้วยกันทั้งคู่


อย่างไรก็ตาม มือแทง บอกว่า ตนเองจะรอคุยกับทางบ้านเพื่อที่จะหาเงินมาเยียวยาเขา เพราะเข้าใจว่าตนเองแทงเขาตาย แต่ส่วนจะไปงานศพหรือขอขมาหรือไม่นั้น ขอดูก่อน แต่เบื้องต้นตนเองก็รู้สึกผิดที่ทำเขาตาย แต่ย้ำว่าถ้าเกิดถ้าเขาไม่ทำร้ายตนเอง ตนเองก็คงไม่ทำเขา และเช้าวันนี้ตนเองก็ออกไปทำหน้าที่ตนเองตามปกติ เพื่อที่จะไปนั่งขอทาน ตรงจุดที่เกิดเหตุ แต่โดนด่า จึงต้องทะเลาะกัน


นอกจากนี้ ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวเดือนเพ็ญ (นามสมมติ) แม่ค้าขายขนมโตเกียว ซึ่งตั้งร้านอยู่ใกล้กับจุดที่นายกิตติพงษ์ มือแทง กับนายอุทัย คนตาย มักจะตั้งวงดื่มเหล้าและเล่นหมากรุกที่หลังร้านเป็นประจำทุกวัน




นางสาวเดือนเพ็ญ บอกว่า ช่วงก่อนหน้าตนเองจะเห็นว่าตอนเย็นระหว่างที่นายอุทัยรอลูกค้า เพื่อขี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปส่ง จะมานั่งร้องวงเล่นหมากรุกกับนายกิตติพงษ์เป็นประจำทุกเย็น และช่วงกลางวันก็จะนั่งพูดคุยกัน ซึ่งทั้งคู่ก็เป็นเพื่อนที่รู้จักกัน แม้ตัวของนายกิตติพงษ์ จะมีปัญหาครอบครัวแล้วออกมาใช้ชีวิตอยู่นอกบ้าน กินนอนอยู่นอกบ้านเหมือนคนเร่ร่อน แต่ทั้งคู่มีอะไรก็แบ่งกันกินแบ่งกันใช้ และมานั่งคุยกันเป็นประจำที่หลังร้านของตนเอง


แต่ช่วงก่อนที่จะเกิด 2 วัน ตัวของนายกิตติพงษ์มาบ่นพึมพำให้ตนเองฟังว่า คนตายชอบเล่นหมากรุกแล้วชนะ แต่ตัวเองแพ้ตลอด และการเล่นหมากรุกแพ้ชนะก็เป็นเหตุทำให้ทั้งคู่มีปากเสียงกันช่วงหลัง และไม่ลงรอย จนกระทั่งขุดเอาเรื่องเก่า อาทิ ของหาย หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเอาเปรียบกัน เอามาหาเรื่องทะเลาะกันทุกครั้งที่เจอหน้า


และในเช้าวันนี้ตนเองก็เห็นว่า นายอุทัย คนตาย ขี่รถมาจอดเพื่อวิ่งวินตามปกติ แต่ตัวของนายกิตติพงษ์ มือแทง เดินมาจากที่อื่นด้วยอาการมึนเมา ก่อนที่จะมีการเก็บตารางหมากรุกและสิ่งของไปเก็บเอาไว้อีกที่ เพื่อไม่ให้นายอุทัย คนตาย มานั่งเล่น ลักษณะหวงของและหลังจากที่เก็บของเสร็จแล้วเดินมาที่รถมอเตอร์ไซค์ของนายอุทัย คนตาย เขวี้ยงขวดน้ำใส่คนตายก่อน ก่อนที่จะเห็นคนตายหยิบเอาไม้ที่อยู่แถวนั้นมาตีหัวนายกิตติพงษ์ มือแทง จากนั้นมือแทงก็ได้หยิบเอามีดที่พกติดตัวตลอดออกมาเพื่อจ้วงแทงนายอุทัย จนเป็นเหตุทำให้เสียชีวิตในเวลาต่อมา

 

หมากรุกแพ้ คนไม่แพ้ กระหน่ำแทงวินร่างพรุนดับสยอง