ภาษามวยแบบพี่มารถ เรียก "ทรีนขวา" ถีบเข้ายอดอกเต็มๆ ดัดนิสัยหัวขโมย ถูกจับได้งัดมุกเดิมทำร้ายตัวเอง หวังให้ผู้เสียหายสงสาร ไม่เอาเรื่อง

ภาพวงจรปิดที่ห้องสอบสวนของ สภ.สำโรงเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ จับภาพได้ในขณะที่ ร.ต.อ.ธนาวุฒิ ดวงจินดา รอง สว.(สอบสวน) นำตัว นายวิมล อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมในข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถาน มาสอบปากคำ และให้ผู้เสียหายชี้ยืนยันตัว แต่ในขณะที่พนักงานสอบสวนกำลังสอบปากคำผู้ต้องหารายนี้ ปรากฏว่า นายวิมล ผู้ต้องหา ซึ่งในขณะนั้นถูกใส่กุญแจมืออยู่ด้วย ได้เอื้อมไปคว้าขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่วางอยู่บนโต๊ะของพนักงานสอบสว ต่อหน้าต่อตาตำรวจ ก่อนจะนำขวดเครื่องดื่มชูกำลังทุบที่พื้นเพื่อให้ขวดแตกแล้วใช้ขวดดังกล่าวพยายามจะปาดคอตัวเองและแทงคอตนเองหลายครั้ง ร.ต.อ.ธนาวุฒิ ซึ่งเห็นแบบนั้นไม่รอช้า ใช้เท้าถีบเข้ากลางอกผู้ต้องหาทันที จนหงายท้องเสียหลักพิงกับเก้าอี้ ก่อนจะเข้าล็อกมือและแย่งขวดดังกล่าวออก โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ในโรงพักอีกสองสามนายพากันเข้ามาระงับเหตุ

จากนั้นจึงควบคุมตัวจะกลับห้องขัง แต่พบว่าผู้ต้องหามีบาดแผลที่คอเล็กน้อย และเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายถูกบาดจนมีแผลด้วยกัน ตำรวจจึงประสานอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู เข้าปฐมพยาบาลเบื้องต้น พบว่ามีบาดแผลไม่ลึกและไม่ถูกอวัยวะสำคัญ จึงนำตัวผู้ต้องหารายนี้กลับเข้าห้องขัง ท่ามกลางความตื่นตกใจของผู้มาใช้บริการที่โรงพักสำโรงเหนือแห่งนี้ เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วง16.00 น.วันที่ 7 เมษายน 2567

ด้าน พ.ต.อ. วิโรจน์ ตัดโส ผกก.สภ.สำโรงเหนือ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า สำหรับผู้ต้องหารายนี้ หลังจากที่มีผู้เสียหายเข้าแจ้งความว่าถูกคนร้ายมาโมยทรัพย์สินไปหลายรายการที่ และสามารถควบคุมตัวผู้ต้องหาเอาไว้ได้ จึงแจ้งตำรวจให้ไปรับตัว แต่ในระหว่างที่พนักงานสอบสวนกำลังสอบปากคำเพิ่มเตรียมดำเนินคดีนั้น ปรากฏว่าผู้ต้องหารายนี้ได้ก่อเหตุดังกล่าวตามภาพวงจรปิด ซึ่งจากการตรวจสอบประวัติพบว่า ผู้ต้องหารายนี้เคยก่อเหตุลักทรัพย์มาแล้วหลายครั้ง ล่าสุดไปก่อเหตุในท้องที่ของ สน.บางนา พอถูกเจ้าของทรัพย์หรือตำรวจจับกุมตัวได้ ก็จะก่อเหตุในลักษณะเดียวกันด้วยการทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องให้ผู้เสียหายใจอ่อนสงสารไม่เอาความ ซึ่งก็เคยได้ผลมาแล้วหลายครั้ง รวมถึงครั้งล่าสุดที่ สน.บางนา เนื่องจากมูลค่าความเสียหายไม่มาก กระทั่งล่าสุดมาก่อเหตุในท้องที่สำโรงเหนือซ้ำอีก จนถูกจับได้และก็พบว่าพยายามก่อเหตุทำร้ายตัวเองเพื่อหวังให้ผู้เสียหายใจอ่อน

ทั้งนี้ จากประวัติพบว่ามีการก่อเหตุโดยเป็นนิสัยสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้เสียหาย ครั้งนี้จึงต้องดำเนินคดีให้เข็ดหลาบ โดยพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาลักทรัพย์ในเคหสถานโดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคลหรือทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ ขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่ และทำร้ายเจ้าหน้าที่

ด้านผู้เสียหาย จากการสอบถาม เล่าว่า ผู้ก่อเหตุขโมยพวกพระเครื่องไป ลักษณะที่อยู่ของตนเป็นห้องเช่า ก่อนเกิดเหตุตนได้ออกไปซื้อของข้างนอก แต่ก็ล็อกห้องเอาไว้แล้วก่อนที่จะไป แต่พอกลับมาเห็นผู้ก่อเหตุเดินออกมาจากห้องของตนพอดี ตนจึงถามผู้ก่อเหตุว่าเข้าห้องของตนได้อย่างไร ฝ่ายนั้นอ้างว่าเข้าห้องผิด ตนจึงบอกว่าให้อยู่คุยกันก่อน แต่ผู้ก่อเหตุก็พยายามจะหนีอย่างเดียว คนในซอยจึงช่วยกันจับตัวไว้แล้วก็โทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาควบคุมตัว ส่วนตอนที่อีกฝ่ายทำร้ายตัวเองอยู่ในห้องแจ้งความตนไม่ทราบรายละเอียดเพราะไม่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว