ภูมิใจในตัวลูก! พ่อค้าเร่ วัย 65 ปี ขายไอศกรีม ส่งลูกเรียนได้ดีทุกคน ติดรูปลูก 3 คน 3 อาชีพ บนรถขายไอศกรีม เผยลูกเคยขอให้หยุดขายแต่ทำไม่ได้
วันที่ 9 เม.ย. 2567 ที่วัดโขมงหัก ต.เทพนคร อ.เมือง จ.กำแพงเพชร พ่อค้าขายไอศกรีมแบรนด์ดังรายหนึ่ง เร่ขายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ของ จ.กำแพงเพชร โดยเฉพาะในพื้นที่ต.เทพนคร และตำบลใกล้เคียง ได้ติดภาพถ่ายไว้บนรถ มีทั้งรูปภาพชายแต่งเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ด้านล่างมีตัวหนังสือระบุกำกับว่า "หัวหน้าชุดปฏิบัติการไล่ล่า" ถัดมาเป็นรูปภาพผู้หญิง ซึ่งสวมเสื้อสีขาวด้านล่างมีตัวหนังสือระบุกำกับว่า "ทนายความอิสระ" และอีกหนึ่งภาพ เป็นภาพชายแต่งกายชุดทหารบก ด้านล่างของภาพมีตัวหนังสือ ระบุกำกับว่า "เฉพาะกิจหน่วยเคลื่อนที่เร็ว" รวมไปถึงภาพอิริยาบถต่าง ๆ ซึ่งรูปภาพนี้ได้ถูกติดเอาไว้บนรถ 3 ล้อเครื่องขายไอศกรีมของพ่อค้ารายดังกล่าว
ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวได้ทราบว่าพ่อค้าขายไอศกรีมรายนี้คือนายสุเทพ ผลเศรษฐี อายุ 65 ปี ส่วนรูปภาพที่ติดอยู่บนรถขายไอศกรีม ก็คือลูกชายและลูกสาวซึ่งมีทั้งหมด 3 คน ซึ่งเมื่อผู้สื่อข่าวไปถึงนายสุเทพได้เล่าเรื่องราวของตนเองให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ พร้อมกล่าวอธิบาย ภาพถ่ายที่แขวนไว้บนรถขายไอศกรีมว่า ภาพแรกชายที่แต่งเครื่องแบบตำรวจ คือ ส.ต.ท.เฉลิมพล ผลเศรษฐี อายุ 30 ปี สังกัดอยู่ที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 34 จ.ตาก ถัดมาภาพที่ 2 คือ นางสาวธนศิริ ผลเศษรฐี อายุ 25 ปี อาชีพทนายความอิสระ ซึ่งปัจจุบันปฏิบัติงานอยู่ที่ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่วนภาพสุดท้ายที่แต่งชุดทหารคือ ส.อ.ภาณุวัฒน์ ผลเศษรฐี อายุ 24 ปี สังกัดกองพันสารวัตรทหารกรุงเทพฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นลูกของนายสุเทพ ส่วนภรรยาได้เลิกรากันไปกว่า 6 ปีแล้ว
อย่างไรก็ตามนายสุเทพ ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังในระหว่างที่จอดรถ ขายไอศกรีมอยู่ภายในวัดโขมงหัก ว่าตนมีความภาคภูมิใจในตัวลูกทั้ง 3 คนมาก ตนซึ่งมีฐานะยากจนเร่ขายไอศกรีมมากกว่า 20 ปี ลูกทั้ง 3 คนเป็นคนที่เรียนดีมาก เอาใจใส่ในการเรียนดี จึงตั้งใจที่จะมานะบากบั่นส่งลูกทั้งสามคนให้เล่าเรียนสูงๆ ซึ่งอาชีพตนมีอยู่อาชีพเดียวก็คือเป็นพ่อค้าขายไอศกรีมไปตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งแต่ก่อนนั้นเป็นช่วงที่ขายดีมากได้กำไรวันละกว่า 2 พันบาททุกวันตนได้เก็บหอมรอมริบ เอาไว้เพื่อส่งเสียลูกทั้ง 3 คนได้เล่าเรียนกันจบและได้ ทำงานเป็นข้าราชการทุกคน ก่อนหน้านี้ ลูกๆ เคยขอร้องให้ตนหยุดขายไอศกรีม เนื่องจากว่าเห็นตนอายุมากแล้ว แต่ตนก็อดที่จะออกมาเร่ขายไม่ได้ ทั้งนี้ลูกๆ ได้ส่งเงินมาให้ใช้โดยพี่น้องได้แบ่งปันส่งมาคนละ 5 พันบาท รวมแล้วตกเดือนละ 15,000 บาทต่อเดือน ซึ่งตนก็ได้เก็บเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วนหนึ่งฝากเข้าบัญชีธนาคารเอาไว้
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านพักของนายสุเทพ (พ่อค้าขายไอศกรีม) มีลักษณะเป็นห้องแถว ด้านหน้าซึ่งเป็นประตูเหล็กนายสุเทพยังได้ติดป้ายไวนิลที่มีรูปลูกชายและลูกสาว ที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เมื่อเข้าไปในบ้านพบว่า ยังมีตู้เย็นเก่า 3 ใบตั้งเรียงรายอยู่ติดกัน ใบที่ 1 ด้านบนของตู้เย็นจะมีอุปกรณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นของลูกคนโต ส่วนใบที่ 2 ลุงสุเทพแจ้งว่าเป็นของลูกสาวซึ่งเป็นทนายความ แต่ยังไม่มีสิ่งของที่บ่งบอกถึงการเป็นทนายความของลูกสาวมีเพียงแต่ภาพถ่ายของลูกลูกชายที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งวางอยู่บนตู้เย็น ตู้เย็นใบที่ 3 ด้านบนตู้เย็นจะมีอุปกรณ์สนามของทหารบก ซึ่งประกอบไปด้วยกระติกน้ำ เข็มขัดสนาม และหมวกไบเล่ โดยทั้งหมดเปรียบเสมือนสัญลักษณ์อาชีพของลูกทั้ง 3 คน นายสุเทพยังกล่าวว่าตนได้สั่งทำรูปภาพป้ายไวนิล ของลูกทั้ง 3 คนเอาไว้แล้ว เพื่อที่จะเอามาติดด้านหน้าของตู้เย็นของแต่ละคน เมื่อถามว่าเพราะเหตุใดจึงทำ และมีความคิดแบบนี้ นายสุเทพกล่าว อย่างภาคภูมิใจว่า “ตนจะเอาไว้นอนดูเล่นมีความสุขดี”
นายสุเทพ ผลเศรษฐี (พ่อค้าขายไอศกรีม) เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ด้วยความตั้งใจแล้วลูกก็เรียนดี ช่วงนั้นหาเงินในคล่อง ค้าขายดีมากแต่ก็หวุดหวิดจวนตัวมาโดยตลอด แต่ก็สู้มาโดยตลอดด้วยการขายไอศกรีมอย่างเดียวกว่า 20 ปีไม่เคยทำอาชีพอื่นไหน ยอมรับเมื่อก่อนขายดีมาก ต้นทำอาชีพนี้ตั้งแต่ลูกอยู่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ซึ่งรายได้ตอนนั้นอยู่ที่ 3 พันถึง 4 พันบาท แต่ช่วงนี้ขายไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ลูกชายคนโต รับราชการเป็นเจ้าที่ตำรวจตระเวนชายแดน อยู่ที่จังหวัดตาก ส่วนลูกสาวเป็นทนายความ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ส่วนคนสุดท้ายเป็นสารวัตรทหารอยู่ที่กรุงเทพฯ ตนยอมรับว่าภาคภูมิใจในตัวลูกมาก ที่ลูกทั้ง 3 คน เป็นเด็กดีมีงานทำมีหน้ามีตาเป็นข้าราชการทุกคน ต้นยอมรับว่าได้ดั่งใจตามแผนที่ตนวางไว้ ส่วนตู้เย็นทั้งสามใบตนจะเอาข้าวของเครื่องใช้ของแต่ละคน มาวางไว้บนหลังตู้เย็นซึ่งเป็นสัญลักษณ์ข้าวของเครื่องใช้ของแต่ละคนในอาชีพที่ทำ ซึ่งเป็นความสุขของตนเอง ลูกๆ เคยบอกให้ตนเลิกขายไอศกรีม ตนก็เลยทดลองเลิกแต่เลิกได้แค่ 13 วันแต่จากนั้นมาตนก็ไปเอารถไอศกรีมมาขายอีกจนถึงทุกวันนี้ ส่วนตนอยากจะบอกกับคนที่กำลังท้อแท้ และกำลังส่งลูกเรียนว่า อันดับแรกต้องอยู่ที่เราคิดก่อนเราต้องคิดนอกกรอบ เราอย่าไปคิดเหมือนคนอื่น ถ้าเราคิดเหมือนคนอื่นก็จะเหมือนเขานั่นแหละ เรามีความรู้ความสามารถอะไรให้เอาออกมาใช้เลย ทำจากที่เราคิดแล้วมันจะได้เอง แต่ทั้งนี้ต้องประกอบกันหลายอย่างทั้งใจ และทั้งดวง ถ้ามันมาเพียบพร้อมมันก็ได้