สืบเนื่องจากเมื่อคืนวันที่ 9 เมษายน 2567 ที่ผ่านมา ตำรวจ สภ.เขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา รับแจ้งมีคนร้าย 4 คน ก่อเหตุขโมยลักสายไฟในโรงงานแห่งหนึ่ง พื้นที่บ้านหนองเหียง ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา พร้อมทั้งมีอาวุธครบมือ จึงทำให้ทางตำรวจเดินทางมาจับกุม แต่เกิดการปะทะกันและคนร้ายหลบหนีไปได้ ทางตำรวจจึงเฝ้าจับตาที่โรงงานเผื่อคนร้ายจะวกกลับมาเอาของ
ต่อมาเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 11.00 น. ก็มีรถกระบะคันหนึ่งขับผ่านมา ตำรวจจึงเชื่อว่าเป็นคนร้ายเลยเข้าจับกุม แต่ฝั่งตำรวจอ้างว่าผู้ต้องสงสัยได้ใช้อาวุธปืนยิงสวน จึงเกิดการวิสามัญผู้ต้องสงสัยเสียชีวิต 1 ราย คือ นายอำพล อายุ 50 ปี ส่วนผู้ต้องสงสัยอีกรายสามารถขับรถหลบหนีไปได้ ซึ่งต่อมาทางเพื่อนที่รอดชีวิตออกมาโต้แย้งว่า กลุ่มของพวกตนไม่ได้เป็นกลุ่มที่ไปขโมยสายไฟ แค่ขับรถผ่านมาและแวะอึเท่านั้น และยังอ้างว่าทั้งกลุ่มไม่มีอาวุธ
ล่าสุดวันนี้ (12 เม.ย. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ยังคงไปติดตามความคืบหน้ากรณีดังกล่าวที่ยังคงเป็นปริศนาว่าตำรวจยิงคนร้ายถูกคนหรือไม่ โดยตามข้อมูลที่ทีมข่าวได้รับรายงานมาจากตำรวจ สภ.เขาหินซ้อน ในวันที่ 9 เมษายน ตามกล้องติดตัวตำรวจที่ถูกยิงในระหว่างลงพื้นที่ เหตุการณ์ดังกล่าว ตามข้อมูลตำรวจ สภ.เขาหินซ้อน ได้รับแจ้งจาก รปภ. ว่าพบอุปกรณ์ของคนร้ายอยู่ในที่เกิดเหตุ และ รปภ. ก็ยังให้ข้อมูลกับตำรวจว่า โจรขับรถกระบะตอนเดียวแบบมีคอก แต่ไม่ได้ระบุสีและยี่ห้อรถว่าเป็นรถรุ่นอะไร ซึ่งลักษณะรถตามที่ รปภ. ให้การ มีลักษณะตรงกันกับรถของนายต้อย ทำให้วันนี้ทีมข่าวต้องไปไล่กล้องในจุดที่ใกล้ทางเข้าออกของโรงงานที่สุด และทุกเส้นทาง
โดยเส้นทางแรกที่ทีมข่าวไปไล่กล้องวงจรปิด เป็นทางตามหมู่บ้าน ที่อยู่ก่อนถึงจุดเกิดเหตุประมาณ 5 - 6 กิโลเมตร ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดตอนกลางคืน ทีมข่าวไปพบว่ามีรถกระบะตอนเดียวแบบมีคอก ขับผ่านหน้ากล้องตัวที่ 1. ก็คือกล้องที่ร้านค้า ในเวลาจริงคือ 03.07 น. ของวันที่ 10 เมษายน
ซึ่งรถกระบะคอกคันดังกล่าวก็จะไปผ่านตรงทางแยก และพอถึงทางแยกก็จะเลี้ยวซ้ายไป โดยกล้องวงจรปิดตรงทางแยกสามารถจับสีรถได้อย่างชัดเจน คือรถกระบะมีคอกสีขาว ซึ่งนี่เป็นรถต้องสงสัยคันแรกตามตำให้การของ รปภ. จากนั้นทีมข่าวก็ดูกล้องไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ในเวลา 08.10 น. ของวันที่ 10 เมษายน ก็จะมีรถกระบะตอนเดียวมีคอกสีเขียวใกล้เคียงกับสีรถของนายสมพงศ์ ขับผ่านกล้องตรงทางแยก
จากนั้นในเวลา 10.03 น. ของวันที่ 10 เมษายน ก็จะมีรถกระบะตอนเดียวแบบมีคอกสีน้ำเงินขับผ่านกล้องที่หน้าร้านค้า และพอไปถึงกล้องตรงทางแยก รถกระบะคันดังกล่าวก็เลี้ยวขวาซึ่งเป็นเส้นทางออกถนนใหญ่ และรถคันนี้ก็เป็นรถต้องสงสัยคันที่ 2 เนื่องจากรถคันนี้ขับผ่านจากเส้นทางโรงงานมาในเวลาใกล้เคียงกับเวลาที่เกิดเหตุมากที่สุด
ขณะเดียวกัน ประเด็นที่ทีมข่าวไปไล่ภาพกล้องวงจรปิดรถต้องสงสัยที่เป็นระกระบะตอนเดียวและเป็นรถที่มีคอก วันนี้ทีมข่าวจึงไปสอบถามเรื่องรถกับชาวบ้านในพื้นที่ โดยนายสมพร (นามสมมติ) อายุ 42 ปี ให้ข้อมูลกับทีมข่าวเรื่องรถว่า สำหรับรถกระบะมีคอกในพื้นที่ ยืนยันว่ามีหลายคัน แต่รถกระบะคันสีน้ำเงิน ไม่ใช่รถของคนในพื้นที่ ซึ่งวันเกิดเหตุเป็นครั้งแรกที่เห็นรถคันดังกล่าวผ่านเข้ามาในพื้นที่ ส่วนนายสมพงศ์ คนขับกระบะที่พานายอำพลไปตาย นาน ๆ จะขับรถเข้ามาในพื้นที่ และทุกครั้งที่ขับเข้ามาก็เห็นนายสมพงศ์ กับนายอำพล ผู้ตาย จะจอดรถเก็บไม้และตัดต้นไม้อยู่ตามข้างทางเท่านั้น
ซึ่งตนเอง ในฐานะเป็นคนในพื้นที่ ยืนยันว่านายอำพล ผู้ตายเป็นคนคนพิการเดินหลังค่อม ไม่มีทางที่จะมีปืนไปยิงสู้ตำรวจ ส่วนตัวนายสมพงศ์ หรือนายต้อย เท่าที่เห็นเขาก็เป็นคนทำมาหากิน ซึ่งส่วนตัวก็ไม่เชื่ออีกว่านายต้อยจะมีปืน เพราะคนอย่างนายต้อยคงไม่มีปัญญาหาเงินไปซื้อปืนมาพกติดตัว เนื่องจากเงินจะกินยังหายาก
ขณะที่ทีมข่าวได้รับคลิปสุดท้ายของนายอำพลตอนยังมีชีวิต จะเห็นว่านายอำพลมานั่งสังสรรค์กับเพื่อน ๆ และมีการออกมายืนเต้นอย่างสนุกสนานอีกด้วย
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางไปที่ร้านค้า ที่นายต้อยกับนายอำพล ไปซื้อของเป็นประจำ โดยวันนี้ทีมข่าวไปได้หลักฐานสำคัญว่าวันที่ 9 เมษายน นายอำพล ผู้ตายไม่ได้ไปในที่เกิดเหตุ ซึ่งเวลาตามกล้องตำรวจที่ถูกคนร้ายยิงตามข้อมูลก็คือ เวลา 17.27 น. ถึงเวลา 17.50 น.
ส่วนภาพวงจรปิดที่ทีมข่าวได้มาจะเห็นว่าในเวลา 17.36 น. ของวันที่ 9 เมษายน ซึ่งเป็นเวลาที่ตำรวจถูกยิง จะเห็นว่านายอำพล ผู้ตาย มาซื้อของอยู่ที่ร้านค้า ซึ่งตามข้อมูลนายอำพลมาซื้อเหล้าไปกินกับนายต้อย และพอซื้อเสร็จก็เดินถือเหล้ากับไป โดยในภาพจะเห็นว่านายอำพล ผู้ตาย มีท่าทางลักษณะเป็นคนเดินช้า และขนาดยืนอยู่ก็ยังทรงตัวไม่ค่อยจะได้