"นายก" บอกคำสั่ง "บิ๊กโจ๊ก" ออกจากราชการ เป็นอำนาจรักษาการ "ผบ.ตร." ฟันวินัย ไม่กังวลถูกเปรียบเทียบคดี "บิ๊กต่อ"
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการลงนามคำสั่งให้ พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กลับไปที่ต้นสังกัด หลังให้มาช่วยราชการ ที่สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ก่อนที่พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะมีคำสั่งให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์กับพวกรวม 5 คนออกจากราชการไว้ก่อน ว่า 3-4 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการตรวจสอบเรื่องนี้ พลตำรวจเอกกิตติ์รัฐ ก็ได้มาพูดคุยกับตนเพื่อขอให้ส่งตัวพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์กลับต้นสังกัด เพื่อจะได้ไปดำเนินการ
ส่วนเกี่ยวข้องกับผลของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นหรือไม่นั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า คณะกรรมการชุดนี้ยังตรวจสอบอยู่ มีอีกหลายเรื่องที่จะต้องตรวจสอบต่อ ทั้งในส่วนของ พลตำรวจเอกต่อศักดิ์สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ แต่คำสั่งที่ออกมาเมื่อวานนี้เป็นคนละคดีกัน
ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบของคณะกรรมการชุดนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าไม่อยากไปกดดัน อย่างที่ตนเคยบอกไว้ กระบวนการยุติธรรมไม่มีใครไปก้าวก่ายหรือเร่งรัดอะไร เข้าใจในความสามารถและความเป็นมืออาชีพของคณะกรรมการ ทั้ง 3 คน เพราะเป็นเรื่องที่สังคมจับตาอยู่
และเมื่อถามว่าเหตุผลที่ให้พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ออกจากราชการไว้ก่อน เพราะเกรงว่าจะไปแทรกแซงเรื่องคดีและยังมีอิทธิพลอยู่ใช่หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เป็นไปตามที่รักษาการผู้บัญชาการแห่งชาติบอก เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมและการตรวจสอบภายในของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มีการดำเนินการกันมา
ส่วนความคืบหน้ากรณีของพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ ที่อาจจะถูกนำมาเปรียบเทียบกันกับกรณีของพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าตนเชื่อว่าแต่ละกรณีก็มีความแตกต่างกันไป เรามั่นใจในกระบวนการยุติธรรม ว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะให้ความเป็นธรรมกับทุกท่าน
ทั้งนี้ การเดินทางไปจังหวัดภูเก็ตของนายกรัฐมนตรี มีรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย หนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบ กรณี"บิ๊กต่อ-บิ๊กโจ๊ก" ร่วมคณะไปด้วย โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามนายฉัตรชัย ถึงความคืบหน้าในการตรวจสอบ ได้รับคำตอบว่า ตอนนี้ยังดำเนินการอยู่ ยังไม่แล้วเสร็จ