จากเหตุการณ์คนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธปืน ไม่ทราบขนาด บุกจ่อยิงในระยะเผาขน นายเปลี่ยนวิถี หรือ “เสี่ยดำ ช่องจอม” อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของค่ายมวยอยู่ที่ จ.สุรินทร์ ถูกยิงด้วยกระสุนไม่ทราบขนาด บริเวณท้ายทอยและศีรษะ 2 นัด เสียชีวิตในลักษณะเอนเบาะนอนพัก อยู่บนรถตู้ซึ่งเป็นรถมาจากประเทศกัมพูชา หลังนำมวยมาชก 2 คู่ ในงานฉลองพัดยศเจ้าอาวาสวัดหนองเต็ง ต.หนองเต็ง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบบริเวณกระจกหน้ารถ มีร่องรอยกระสุนกระทบใส่แตก 1 จุด คาดว่าน่าจะเป็นกระสุนที่ยิงพลาด เหตุเกิดเมื่อเวลาประมาณ 04.00 น. ของวันนี้ (22 เม.ย. 2567)
ล่าสุด ด.ช.เอ (นามสมมติ) ลูกชายเสี่ยดำ ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตนพานักมวย 2 คนมาชกที่ อ.กระสัง ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 04.00 น. พ่อพาตนจะไปพักที่รถตู้ พ่อเดินนำหน้ามาส่วนตนเดินตามหลังพ่อ เมื่อมาถึงที่รถพ่อได้เปิดประตูขึ้นไปเอนเบาะนอน
ส่วนตนเองกำลังจะเลื่อนประตูขึ้นทางเดียวกับพ่อเพื่อขึ้นไปบนรถ ทันใดนั้นได้มีคนร้ายเป็นชายค่อนข้างท้วม สวมเสื้อแขนยาว สีออกเขียว สวมหมวก เดินมาแง้มประตูรถพ่อแล้วจ่อยิงต่อหน้า ตกใจมากทำอะไรไม่ถูก กระทั่งมีคนวิ่งมาดูกัน ส่วนสาเหตุตนไม่ทราบแต่ไม่ได้มีเรื่องกับใครในงาน
ล่าสุดผู้สื่อข่าวช่อง 8 ได้รับภาพจากกล้องวงจรปิดในละแวกที่เกิดเหตุ ซึ่งสามารถบันทึกเสียงปืนได้ 1 นัด ในช่วงเวลาประมาณ 04.18 น. และกล้องวงจรปิดอีกตัวจะจับเสียงเวลา 04.20.41 น. เป็นจังหวะที่พิธีกรทราบว่ามีเหตุยิงกัน จึงประกาศหาตำรวจผ่านไมค์อยู่สักพัก ก่อนจะเห็นว่าชาวบ้านเริ่มแตกตื่น แล้วหลังจากนั้นเวลา 04.50 น. จะเห็นภาพขณะที่รถกระบะของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.กระสัง ขับเข้าจุดเกิดเหตุ
ต่อมาทีมข่าวได้รับภาพของเสี่ยดำ ช่องจอม ที่ถ่ายร่วมกันกับเพื่อนในวงการมวยคืนที่เกิดเหตุ ก่อนที่หลานจะขึ้นชกมวยในรอบ 1 ทุ่ม โดยภาพดังกล่าวยืนยันได้ว่าเสี่ยดำไม่ได้มีปัญหากับคนในวงการมวยแต่อย่างใด
ขณะที่อีกภาพจะเป็นภาพที่ค่ายมวย จะเห็นว่าส่วนใหญ่แล้วเสี่ยดำจะฝึกซ้อมมวยให้กับลูกหลานที่เป็นเยาวชนในชุมชนมากกว่าการฝึกซ้อมผู้ใหญ่ และคู่ชกของนักมวยในค่ายของเสี่ยดำส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นเด็กทั้งนั้น
ด้านนายอดิเรก พ่อค้าขายของใกล้กับสถานที่จัดมวย เล่าว่า ตอนเกิดเหตุตนไม่เห็น มารู้ก็ตอนที่ทางผู้จัดมวยบนเวทีประกาศ ว่าให้เรียกตำรวจมาเพราะมีเหตุยิงกัน ถึงรู้ว่าเกิดเหตุมีคนถูกยิงเสียชีวิต จากนั้นก็มีคนไปดูจำนวนมาก แต่คนไม่ได้เข้าใกล้จึงไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น และเพราะสาเหตุอะไรถึงถูกยิงเสียชีวิต เนื่องจากช่วงที่มีการชกมวยก็ไม่เห็นใครมีปัญหาอะไรในงาน แต่มาเกิดเหตุตอนที่มวยเลิกแล้ว ทั้งผู้จัด คนดู ก็กำลังแยกย้ายกันกลับ
จากนั้นทีมข่าวได้เดินทางมาที่ สภ.กระสัง และได้พูดคุยกับนางนิตยา อายุ 46 ปี ภรรยาเสี่ยดำ คนตาย หลังจากที่ตำรวจสอบปากคำตั้งแต่ 08.00-18.30 น. และเพิ่งจะปล่อยตัวออกมา โดยนางนิตยา เล่าว่า ค่ายมวยที่สามีของตนเองก่อตั้งถือว่าไม่ใช่ค่ายใหญ่ที่มีชื่อเสียง เพราะเพิ่งจะเริ่มทำได้ไม่ถึง 10 ปี โดยในค่ายจะมีนักมวยแค่ 4 คน ประกอบด้วย ลูกชาย ลูกสาว และหลาน 2 คน โดยส่วนใหญ่ถ้ามีการจัดชกมวย สามีก็จะพาลูกและหลานไปชก ซึ่งก็จะไม่ได้ไปเป็นประจำ
ล่าสุดก่อนจะมาชกที่งานดังกล่าว เมื่อช่วงวันที่ 20 เดือนมีนาคม ที่ผ่านมา สามีได้พาลูกชายไปชกมวยในงานของหลวงปู่สรวง จ.ศรีสะเกษ โดยในการชกครั้งนั้นค่ายมวยของสามีชกกับนักมวยจากค่ายมวยแห่งหนึ่ง ที่ถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียง แต่ปรากฏว่าค่ายมวยของสามีเป็นฝ่ายชนะคู่แข่ง
ส่วนคืนวันเกิดเหตุสามีได้พาหลานอายุ 10 ขวบ มาชกมวยกับคู่ชกที่มาจากค่ายมวยหนึ่ง ซึ่งในตอนแรกสามีได้ส่งนักมวยขึ้นชกสองคู่ คือลูกสาวและหลานชายอายุ 10 ขวบ แต่เนื่องจากว่าลูกสาวติดสอบสัมภาษณ์ จึงไม่ได้ขึ้นชก สามีจึงได้ส่งเพียงแค่หลานอายุ 10 ขวบ ขึ้นชกเมื่อช่วงประมาณหนึ่งทุ่ม ผลปรากฏว่าหลานชายเป็นคนชนะ และได้ค่าตัวเพียงแค่หลักพันเท่านั้น
ภรรยาของคนตาย ยอมรับว่า ทุกครั้งที่มีการนำนักมวยไปชกก็จะมีบ้างที่คู่แข่งไม่พอใจผลการตัดสิน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร หรือโวยวาย เพราะพอผลการตัดสินของกรรมการถือว่าเป็นเอกฉันท์ ส่วนการเดิมพันยอมรับว่าก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเล่นกันเพียงแค่หลักพัน และบางคู่ก็ถึงหลักหมื่น แต่ไม่ถึงหลักแสน เพราะเนื่องจากว่าค่ายมวยของตนไม่ใช่ค่ายมวยที่มีชื่อเสียงโด่งดังจึงทำให้เงินเดิมพันไม่สูง
นางนิตยา บอกว่า ส่วนใหญ่สามีจะส่งนักมวยที่เป็นรุ่นเด็กขึ้นชก หรือที่เรียกว่า มวยต้นกล้า หรือ ชกมวยเอากระดูก โดยไม่ได้มีการส่งนักมวยขึ้นชกเป็นอาชีพ ตนจึงเชื่อว่าปมสังหารไม่ได้มาจากผลตัดสินการชกมวย