จากเหตุการณ์คนร้ายไม่ทราบจำนวน ใช้อาวุธปืน ไม่ทราบขนาด บุกจ่อยิงในระยะเผาขน นายเปลี่ยนวิถี หรือ “เสี่ยดำ ช่องจอม” อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของค่ายมวยอยู่ที่ จ.สุรินทร์ ถูกยิงด้วยกระสุนไม่ทราบขนาด บริเวณท้ายทอยและศีรษะ 2 นัด เสียชีวิตในลักษณะเอนเบาะนอนพัก อยู่บนรถตู้ สีเทา เป็นรถมาจากประเทศกัมพูชา หลังนำมวยมาชก 2 คู่ ในงานฉลองพัดยศเจ้าอาวาสวัดหนองเต็ง ต.หนองเต็ง อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์
ล่าสุด (23 เม.ย. 2567) ทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดของ อบต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ซึ่งพบว่ารถรถตู้ของผู้เสียชีวิต ถูกขับออกจากปากซอยหมู่บ้านโพนทอง ซึ่งเป็นหมู่บ้านของผู้ตายตั้งแต่เวลา 13.40 น. และเลี้ยวซ้ายขึ้นสู่ถนนใน ต.ด่าน และขับไปตามถนน ผ่านหน้าอบต. แต่เมื่อขับไปได้สักประมาณ 4 กม. ก่อนถึงหน้าวัดพัฒนาสามัคคีวราราม จะเห็นว่ารถตู้ของเสี่ยดำคันนี้วกกลับเข้าไปในซอยบ้านด้วยความเร็ว คาดว่าคงลืมของในเวลา 13.42 น.
จากนั้นเวลา 13.46 น. ผู้ตายและครอบครัวก็ได้ขี่รถตู้ออกจากซอยบ้านอีกครั้งแล้วมุ่งหน้าไปยังสามแยกบ้านด่าน ก่อนที่จะเลี้ยวขวาไปยัง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ซึ่งสามารถมุ่งหน้าสู่ อ.กระสัง จ.บุรีรัมย์ พื้นที่เกิดเหตุได้ ซึ่ง “เสี่ยดำ” เป็นคนขับและมีภรรยานั่งเบาะข้าง ส่วนคนอื่น ๆ นั่งอยู่ที่เบาะโดยสารด้านหลังทั้งหมดรวม 6 คน จากการสังเกตตามภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่ารอบสุดท้ายที่ออกไป รถถูกขับไปในลักษณะปกติ ไม่ได้รีบร้อนและทิ้งช่วงห่าง 1-2 นาที หลังรถขับผ่านกล้องแต่ละตัว ก็ไม่ได้พบว่ามีรถต้องสงสัยขับตามในลักษณะผิดปกติ
ล่าสุดทีมข่าวได้รับรายงานมาว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ลงพื้นที่มาที่จังหวัดสุรินทร์ หลังตรวจสอบพบว่าเสี่ยดำได้มีการซื้อที่ดินจำนวน 5 ไร่ ในพื้นที่อำเภอกาบเชิง จ.สุรินทร์ ไว้เมื่อ 5 เดือนก่อน ให้กับภรรยาอีกคน ชาวกัมพูชา ต่อมาทีมข่าวจึงได้เดินทางมายังที่ดินของเสี่ยดำที่ซื้อไว้ และได้พบกับนางสาวจูน ภรรยาคนที่ 2 ของเสี่ยดำ
นางสาวจูน ก็ได้ให้สัมภาษณ์ถึงไทม์ไลน์การคบหากับเสี่ย รวมถึงประเด็นต่าง ๆ ที่ถูกพาดพิง บอกว่าเดิมทีตัวเองเป็นลูกจ้างอยู่ที่โรงน้ำของเสี่ย แล้วบังเอิญได้เสียกันกับเสี่ยจนท้อง ช่วงแรกตนก็ยังไม่กล้าบอกเสี่ย จึงโกหกว่าป่วยแล้วขอกลับบ้านที่ประเทศกัมพูชา จนท้องได้ประมาณ 7 เดือน จึงได้กลับมาเพราะไม่มีรายได้ เสี่ยจึงได้ถาม ตนก็เลยยอมรับไปว่าตั้งครรภ์ ซึ่งตอนนั้นนางนิตยา ภรรยาหลวง ก็รับรู้และไม่ได้ดุด่าว่าอะไร ยังให้ตนทำงานที่โรงน้ำต่อ
จนกระทั่งตนคลอดลูกในไทย ก็ให้ลูกใช้นามสกุลเสี่ย ใช้ชื่อเสี่ยเป็นพ่อในใบเกิด และแยกออกมาอยู่ที่กระต๊อบกับลูก แต่ก็ยังทำงานอยู่โรงน้ำ เสี่ยเองก็ส่งเสียเลี้ยงดูลูกเป็นอย่างดี รวมแล้วจนปัจจุบันก็เป็นระยะเวลา 10 กว่าปี ส่วนลูกสาวของตนตอนนี้อายุ 10 ขวบแล้ว
เรื่องการส่งเสีย เสี่ยก็ส่งเงินให้ตนบ้างแต่ไม่ได้ให้รายเดือน ถ้าตนขอก็จะให้ ครั้งละหลักพัน สูงสุดไม่ถึง 2 หมื่น ซึ่งตนไม่เคยมีปัญหาเรื่องนี้กับนางนิตยาเลยสักครั้ง กลับกันคือตนมองว่านางนิตยาเป็นคนดีด้วยซ้ำ เวลาเจอก็พูดเพราะ จิตใจดี ไม่เคยแสดงให้เห็นถึงความโกรธแค้น เหน็บแนมที่ตนเป็นเมียอีกคนของเสี่ย
จนเมื่อประมาณต้นเดือนเมษายน 2567 เสี่ยไม่ได้ส่งเงินให้ตนใช้ และไม่ได้บอกว่าทำไมถึงไม่ส่งให้ ซึ่งส่วนตัวก็ไม่ถามขอเพราะมีเงินเก็บอยู่บ้าง บวกกับเสี่ยก็ไม่ได้หายไปไหน ล่าสุดที่เจอกันก็คือกลางดึกวันที่ 19 เมษายน ที่ผ่านมา เสี่ยมาหาที่กระต๊อบแล้วเข้ามากอดตน บอกว่า “สู้ต่อไปนะ อยู่กับลูกไปก่อน อย่าทิ้งพี่ไปไหนนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ซึ่งตอนนั้นตนคิดว่าอาจจะเป็นเพราะเรื่องของเงิน เพราะเสี่ยรู้ว่าตนไม่มีรายได้อื่นนอกจากเงินจากเสี่ย บวกกับธุรกิจโรงน้ำรายได้ก็ไม่ดี ขายไม่ค่อยได้ เสี่ยก็เลยไม่ได้จ้างตนเกือบ 3 เดือนแล้ว มีแค่คนในครอบครัวของเสี่ยที่ทำกันเอง
ส่วนรถเสี่ยมีทั้งหมด 3 คัน โดยคันแรกรถตู้ทะเบียนกัมพูชาคันที่เกิดเหตุ เป็นรถของเพื่อนเสี่ยที่เอามาจำนำอีกที แต่เสี่ยใช้ชื่อของตนไปทำเอกสารเพื่อขับขี่เข้า-ออกประเทศไทยและกัมพูชา ส่วนอีก 1 คันที่เป็นทะเบียนกัมพูชา คือรถมินิคูเปอร์รุ่นเก่า ซึ่งเสี่ยซื้อจากกัมพูชาราคา 2 แสนกว่าบาท ให้ตนใช้เวลาจะขับกลับกัมพูชา ปัจจุบันจอดอยู่ที่บ้านของเสี่ยที่ค่ายมวย ส่วนรถคันที่ตนใช้ปัจจุบันในไทย จะเป็นรถซูซูกิ สวิฟต์ สีขาว ทะเบียนสุรินทร์ ซึ่งเป็นรถที่เสี่ยซื้อให้ตนใช้ระหว่างอยู่ในไทย แต่ชื่อเป็นของเพื่อนสนิทเสี่ย
นอกจากนี้ทีมข่าวยังถามถึงความสัมพันธ์ของ “นางสาวจูน” กับผู้ชายคนอื่น เจ้าตัวยืนยันว่าตนรักเดียวใจเดียวและซื่อสัตย์ จริงใจต่อเสี่ยมาโดยตลอด เวลา 10 กว่าปีที่คบหากับเสี่ยไม่เคยคิดนอกใจและไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้าหาในเชิงชู้สาวด้วย และส่วนตัวก็ไม่เคยมีความคิดอยากจะขึ้นไปเป็นเมียหนึ่ง เพราะรู้ตัวดีว่าตัวเองอยู่ในจุดไหน ไม่เคยคิดจะล้ำเส้นด้วย ส่วนหนึ่งเพราะตนสงสารลูก ไม่อยากมีปัญหากับใคร แล้วตนก็ตั้งใจจะไปร่วมงานศพที่บ้านหรือค่ายมวยของเสี่ยดำด้วย ส่วนถ้าถามว่าปมสาเหตุในการฆ่าเสียครั้งนี้มาจากอะไร เจ้าตัวยอมรับว่าไม่รู้เหมือนกัน แต่ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องชู้สาวแน่นอน เพราะตนรักเสี่ยไม่เคยคิดมีคนอื่นอยู่แล้ว
ขณะบรรยากาศที่ด้านของ “นางนิตยา” และครอบครัวก็ได้เดินทางไปเตรียมรับศพที่โรงพยาบาลบุรีรัมย์ ตั้งแต่ช่วงสายและมีการนิมนต์พระทั้งหมด 3 รูป ไปทำพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณตรงจุดเกิดเหตุ บรรยากาศก็ได้เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ครอบครัวได้เอ่ยเรียกดวงวิญญาณของ “เสี่ยดำ” ให้กลับบ้าน เพื่อไปฟังสวดอภิธรรมคืนแรก
ส่วนเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านที่มา รถตู้ของเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพได้นำร่างเสี่ยดำกลับมาส่งที่สถานที่จัดงานศพที่ค่ายมวย เพื่อให้ครอบครัวจัดงานประกอบพิธีบำเพ็ญกุศล โดยมีครอบครัวและเพื่อนสนิทของเสี่ยดำนั่งรถตู้มากับด้วย บรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า จากนั้นทางครอบครัวได้มีการจัดพิธีรดน้ำศพให้กับเสี่ยดำ ทีมข่าวได้สังเกตเห็นนางสาวจูน ภรรยาคนที่ 2 เดินทางมาพร้อมกับลูกสาว โดยได้ขับรถซูซูกิ สวิฟต์ สีขาว มาร่วมพิธีรดน้ำศพเสี่ยดำ โดยในระหว่างที่นางสาวจูนรดน้ำศพ น้ำตาคลอเบ้าตลอดเวลา
นอกจากนี้ทีมข่าวสังเกตเห็นว่านางนิตยา และนางสาวจูน ไม่ได้มีการทักทายหรือมองหน้ากันแต่อย่างใด โดยหลังจากนั้นนางสาวจูนได้เดินเข้าไปทักทายนางเมต แม่ของเสี่ยดำ จากนั้นทั้ง 2 คนได้ก็มีการพูดคุยกัน
ต่อมาผู้สื่อข่าวได้พูดคุยกับนางนิตยา เมียหลวงของเสี่ยดำ ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า สำหรับมูลเหตุของการที่มีคนร้ายลักลอบสังหารสามี จนถึงขณะนี้ก็ยังเชื่อว่า ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นธุรกิจ ทั้งในวงการมวย ธุรกิจน้ำดื่มและธุรกิจเก็บเงินค่าห้องน้ำในตลาดเนื่องจากว่าทั้ง 3 ธุรกิจ เป็นธุรกิจขนาดเล็ก ไม่ได้มีคู่แข่งและตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่ได้บาดหมางใจหรือขัดแย้งทะเลาะวิวาทกับใคร จึงเป็นไปไม่ได้ที่สามีจะถูกคนร้ายลอบยิง จากปมเหตุเรื่องธุรกิจ
นอกจากนี้ ในส่วนของคดีเก่าเมื่อ 20 ปีก่อน สามีเคยเล่าให้ฟังในช่วงที่คบหากันแรก ๆ ว่ามีคดีความติดตัวเกี่ยวกับเรื่องยิงคนตาย แต่ก็ไม่ได้ลงรายละเอียดและตลอดระยะเวลาที่อยู่กินกับตนเองมาก็ไม่เคยมีคู่กรณีเก่ามาตามหาเรื่อง หรือข่มขู่
เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามเกี่ยวกับประเด็นเรื่องส่วนตัวชู้สาว ภรรยาผู้เสียชีวิตยืนยันว่าสำหรับเรื่องภายในครอบครัว ไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งกันแม้จะทราบมาโดยตลอด ว่าสามีมีภรรยาอีก 1 คนและมีลูกสาวด้วยกันอายุ 10 ขวบ ซึ่งก็ได้ตกลงกันแล้วว่าจะดูแลแค่ลูกสาวเท่านั้น แต่ตนเองก็ไม่รู้ว่าสามีจะเอาเงินไปดูแลภรรยาอีกคนหรือไม่ เพราะสามีไม่ได้พูดอะไรให้ฟัง ประกอบกับสามีนอนที่บ้านกับตนทุกคืนไม่ได้นอกลู่นอกทางไปไหน แต่ช่วงกลางวันที่ตนไปสอนหนังสือนั้น ก็ไม่ทราบว่าฝ่ายหญิงจะมาหาสามีที่บ้านหรือว่าสามีจะแอบไปหาฝ่ายหญิงหรือไม่ ซึ่งสำหรับเรื่องชู้สาวนี้ตนเองเคยตกลงกับสามีแล้วว่า "ถ้าจะอยู่ฝั่งนี้ก็อยู่ ถ้าอยากไปอยู่ฝั่งโน้นก็ไปเลย"
ส่วนเรื่องที่ดิน 5 ไร่ มูลค่า 2 ล้านบาท ที่สามีซื้อให้กับนางสาวจูนและลูกสาววัย 10 ขวบ นั้น ตนเองยอมรับว่าไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน เพราะโดยปกติแล้วสามีจะเป็นคนที่อะไรไม่ควรพูดก็จะไม่พูด และแม่ของตนเองก็ไม่เคยเล่าให้ฟัง ว่าลูกเขยแอบไปซื้อที่ให้กับภรรยาอีกคน หลังจากที่ทราบเรื่องนี้จากคำถามของผู้สื่อข่าวก็รู้สึกตกใจเหมือนกัน เพราะทางครอบครัวตัวเองไม่มีเงินถึง 2 ล้านบาท ยิ่งในส่วนของสามีก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้น สำหรับตนเองมีเพียงเงินเดือนที่ไว้ใช้จ่าย ไม่ได้มากมายจนถึงขั้นเอาไปซื้อที่ดินหลักล้านบาทได้ หากเรื่องนี้เป็นความจริงตนเองก็ยังตอบไม่ได้ว่าสามีไปเอาเงินมาจากไหน
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สอบถามกรณีเมื่อวันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมา หลังจากที่เสี่ยดำถูกยิงเสียชีวิต ทางนางสาวจูนได้บุกเข้ามาเพื่อที่ต้องการจะเอาเอกสารในรถมินิ คูเปอร์ สีขาว ป้ายทะเบียนพนมเปญ ที่จอดอยู่ที่โรงน้ำนั้น ทางนางนิตยา บอกเพียงว่า ช่วงที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มีเพียงนางเลื่อน แม่ของตนเองอาศัยอยู่ที่บ้าน และบังเอิญเห็นว่านางสาวจูนเข้ามาขอกุญแจรถคันดังกล่าวเพื่อจะเอาเอกสารภายในรถ ก่อนที่แม่ของตนเองจะให้ไปหากุญแจที่วางไว้ในบ้านเอง แต่ปรากฏว่านางสาวจูนหากุญแจรถคันดังกล่าวไม่เจอ จึงได้พยายามที่จะงัดประตูรถเพื่อเอาเอกสาร ซึ่งจากเรื่องนี้ตนเองก็ยังสงสัยว่าเอกสารฉบับนั้นมีความสำคัญอย่างไร ที่ทำให้นางสาวจูนต้องเร่งรีบมาเอาในวันที่สามีถูกยิงเสียชีวิต
สำหรับประเด็นที่ภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกได้ ขณะก่อนเกิดเหตุที่เสี่ยดำขับรถฮุนได คันที่ถูกยิงเสียชีวิตออกจากบ้านไป และวนกลับมาที่บ้านอีกครั้ง นั้น ทางนางนิตยา บอกว่า ตอนนั้นสามีวนรถ กลับมาที่บ้านเพื่อมาเอาไฟและเอาเก้าอี้ผ้าใบไปให้เพื่อนนักมวยที่เวทีมวยจุดเกิดเหตุ