"บิ๊กโจ๊ก" บุก สตช. ขอความเป็นธรรม ปมโดนให้ออกจากราชการ แฉยับ! แก๊ง 4×100 สยบปีกพระพรหม
วันที่ 25 เม.ย. พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร. เดินทางมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.ตร.) กรณีพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผบ.ตร.ในฐานะรรท.ผบ.ตร. ได้ลงนามในคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อนโดยมิชอบ
โดยพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า วันนี้ได้ยื่นเรื่องร้องเรียน 2 ส่วน คือ ก.พ.ค.ตร. และ ก.ตร. เพื่ออุทธรณ์เกี่ยวกับคำสั่งให้ออกจากราชการซึ่งเป็นคำสั่งทางปกครอง ที่ รักษาการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ลงนาม โดยนำแผนผัง “ขบวนการ 4 × 100 ปีพระพรหม“ ของกลุ่มที่เสพติดอำนาจประพฤติชั่ว ที่มีการทำเป็นขบวนการ ประกอบด้วย 4 ชุด คือ ชุดตรวจค้นบ้าน ตระกูล 4 ต.เต่า (ต่อ เต่า ตุ้ม ไตร) , พนักงานสอบสวนชุดคดีสน.ทุ่งมหาเมฆ, พนักงานสอบสวนชุดคดีสน.เตาปูน และชุดรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ร่วมกันทำเป็นขบวนการตั้งแต่การเข้าตรวจคนบ้าน การใช้อำนาจสอบสวน นำไปสู่การออกหมายเรียก หมายจับ จากนั้นรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน และมีคำสั่งให้ตนออกจากราชการไว้ก่อนในวันที่ 18 เม.ย. และนำส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ทันทีในวันที่ 19 เมษายน
โดยกลุ่มบุคคลเหล่านี้ มีการสร้างเรื่องเกี่ยวกับเว็บพนัน และเข้าแจ้งความ ในคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่ที่สถานีตำรวจนครบาลทุ่งมหาเมฆ โดยให้พนักงานสอบสวนรับคดีตั้งแต่ 2558 และดำเนินคดีกับผู้บังคับบัญชาของตนเอง8 คน โดยใช้กลไกศาลดำเนินการกับตนพร้อมกับ ส่งสำนวนคดีให้ ป.ป.ช. พร้อมแจ้งข้อกล่าวหา 1 ใน 8 ลูกน้องของตนเอง ซึ่งคดีเว็บไซต์พนันออนไลน์เครือข่ายมินนี่มีพลตำรวจเอกธนา ชูวงศ์รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ส่วน สำนวนคดีพนันออนไลน์ bnk master มีพลตำรวจโทธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ซึ่งย้ำว่าทั้งสองสำนวนตำรวจไม่มีอำนาจในการสอบสวน และที่ผ่านมาตัวเองได้ทำหนังสือทักท้วงไปยังผู้บัญชาการตำรวจนครบาลและรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว แต่ไม่มีการตอบรับ กระทั่งตนเองถูกแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2566 นำไปสู่การมีคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายทั้งหมด
เนื่องจากตนเองถูกกล่าวหาตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2566 ขณะนั้นพลตำรวจเอกต่อศักดิ์ สุขวิมล ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และตนเองยังคงปฏิบัติหน้าที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอยู่ หากตนเองทำให้เกิดความเสียหายต่อราชการจริงก็ต้องให้ออกตั้งแต่ขณะนั้นแล้ว ต่อมาตนเองยังถูกย้ายไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม รวมระยะเวลาทั้งหมด 29 วัน จะมีอำนาจเข้าไปยุ่งกับพยานหลักฐาน หรือทำให้เกิดความเสียหายได้อย่างไร
จากนั้นพลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ ได้กางข้อกฎหมายพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติปี 2547 ข้อ 8 มาตรา 131 ที่ระบุว่า “กรณีสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนต้องใช้ กฎ ก.ตร. ปี 2547 มาประกอบ หากแต่ในข้อ8 ของกฎ ก.ตร. ปี 47 กรณีการสอบสวนไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ได้ขัดแย้งกันในข้อกฎหมายตามที่กล่าวไป จึงต้องนำมาตรา 120 มาใช้แทน ซึ่งระบุว่าการสอบสวนข้อเท็จจริงต้องให้แล้วเสร็จภายใน 120 วัน หลังจากนั้นจะส่งให้นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาเป็นผู้พิจารณา‘’ แต่พบว่าคำสั่งครั้งนี้มีความขัดแย้งกัน จึงต้องยกเลิกคำสั่งให้ออก จากราชการนี้ไปโดยปริยาย เพราะถือเป็นการให้ออกจากราชการโดยมิชอบ
นอกจากนี้ ใน พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ ปี 65 ยังระบุว่า ระหว่างการสอบสวนจะนำเหตุแห่งการสอบสวนมาเป็นข้ออ้างในการดำเนินการใด ให้กระทบต่อสิทธิ์ของผู้ถูกสอบสวนไม่ได้ เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาจะสั่งพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นไปถึงผู้บัญชาการภาคหรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่าจะมีดุลยพินิจอย่างไร
แต่กรณีของตนเองนั้นมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนในวันเดียวกับที่มีคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการ ดังนั้นจึงไม่มีข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการสอบสวน ที่มีพลตำรวจเอกสราวุฒิ การพาณิชย์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นหัวหน้าคณะตามกฎหมายฉบับดังกล่าว เป็นการกลับไปใช้กฎหมายฉบับเดิมปี 2547 ที่ให้เป็นไป ตามดุลยพินิจของผู้บังคับบัญชา
“การกระทำดังกล่าวรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต้องติดคุก อีกทั้งที่ผ่านมา มีตำรวจกว่า 500 นายที่ถูกดำเนินคดีแต่ไม่มีใครถูกสั่งให้ออกจากราชการเหมือนกับตนเอง นอกจากนี้ ยังได้สอบถามกับ ผอ. กองวินัยซึ่งระบุว่าได้มีการประมวลเรื่องดังกล่าวไว้สองวันก่อนจะมีคำสั่งให้ตนเองออกจากราชการ คือ มีการร่างคำ สั่งให้ออกราชการเตรียมเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 17 เม.ย. และลงนามในวันที่ 18 เม.ย. แสดงให้เห็นว่า มีขบวนการให้ตนเองออกจากราชการ“
โดยหลังจากนี้ จะยื่นฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตั้งแต่รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการกฎหมาย กมค., ผู้บังคับการกองคดี, ผู้บังคับการสารนิเทศห้า, เลขานุกาลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ, รวมถึงผู้บัญชาการสำนักงานเทคโนโลยีที่มาปลดป้ายตนเองและปลดจากทำเนียบผู้บังคับบัญชาออก ทั้งที่ยังไม่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ตนเองออกจากราชการ ในขณะที่พลตำรวจเอกรอย อิงคไพโรจน์ ที่ไปทำงานที่ สมช.นานแล้ว ยังไม่มีการปลดป้าย ถือเป็นการทำให้ตนเองเสื่อมเสีย ดังนั้นจะยื่นฟ้องดำเนินคดีทั้งหมดแต่ถ้าจะให้ตนเองเมตตาก็ต้องมาบอกกับตัวเองว่าใครเป็นผู้สั่งการ
พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์กล่าวอีกว่า การให้รอง ผบ.ตร.ออกจากราชการนั้นแม้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่นี่มีความรีบ รีบเพราะมีคนกระเหี้ยนกระหือรืออยากเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทำเรื่องรอไว้แล้วก็ไปหลอกนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็ไม่ทราบจึงมีคำสั่งให้ตนเองส่งกลับไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก่อนจะถูกสั่งให้ออกจากราชการ เติมรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไม่ใช่ผู้ขัดแย้งของตนแต่มาทำแบบนี้ถือว่า ท่านเลือกเอง
ซึ่งกรณีที่หนึ่งในคณะกรรมการ ก.ค.พ.ตร. คือ พลตำรวจเอกวิเชียร พจน์โพธิ์ศรี กรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมข้าราชการตำรวจ และอดีต ผบ.ตร. ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับตนเองนั้น ท่านจะต้องรู้ตัวเองและขอถอนตัว แต่หากรู้ว่าท่านไม่ดำเนินการตนเองก็จะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อไป
ทั้งนี้ ยืนยันว่ามติของ ก.พ.ค. ตร. เปรียบเสมือนศาลปกครอง มีอำนาจในการเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มิชอบได้ และหากเพิกถอนแล้วจะถือว่าคำสั่งดังกล่าวไม่เคยมีมาก่อน หากดำเนินการไม่เสร็จตามกรอบระยะเวลาก็สามารถขยายได้อีก 2 ครั้ง
ช่วงหนึ่งผู้สื่อข่าวได้ถาม พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่ามาถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว มีอะไรอยากบอก พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ อดีตอธิบดีกรมตำรวจหรือไม่ ที่มีรูปติดอยู่ที่บริเวณทางเดินภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติหรือไม่ หลังเมื่อวาน (24 เม.ย.) พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ พูดในทำนองว่าถ้าอยากเป็น ผบ.ตร. ให้บอกกันดีๆ เดี๋ยวจะพาไปกราบท่านเผ่า โดย พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอบว่า ถ้าไปหาท่านเผ่า ต้องพารักษาการฯ ไปกราบขอโทษนายกฯ ก่อนพร้อมฝากถึงรักษาการ ผบ.ตร.ว่า การทำแบบนี้ มันจะตอบประชาชน ตอบลูกน้องได้อย่างไร
“ต้องเข้าใจว่าเกียรติยศมันเกิดจากสังคมเขามอบให้ มันเกิดจากคนอื่นมอบให้ แต่ศักดิ์ศรีมันต้องมีด้วยตัวเอง ต้องหัดมีศักดิ์ศรีบ้าง เมื่อไหร่ที่ตัวเองไม่มีศักดิ์ศรี มันต้องออก แต่วันนี้มีอย่างเดียวคือจะลาออกหรือติดคุกเท่านั้นเอง”
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ย้ำว่าที่วันนี้ เขาต้องทำแบบนี้ เป็นเพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ ต่อไปเขาจะทำแบบนี้อีก ทำซ้ำๆ อีก แบบนี้องค์กรจะพัง เหมือนที่อัยการปรเมศวร์ อินทรชุมนุม เคยเตือนว่ามันจะพังทั้งองค์กร
ย้ำนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่บังคับบัญชาการตำรวจ ต้องเป็นผู้แก้ปัญหาเรื่องนี้ พร้อมถามถ้าเป็นแบบนี้จะตอบคำถามต่อสภาอย่างไร
ทั้งนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวย้ำว่า ขณะนี้ตนไม่ใช่ผู้ต้องหาแต่เป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา เพราะตราบใดก็ตามที่ ป.ป.ช. ยังไม่มีการชี้มูลความผิดตนก็ยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และยังมีคุณสมบัติที่จะเป็น ผบ. ตร.ได้ทุกอย่าง อีกทั้งตนยังถือเป็นรองผบ.ตร.อันดับ 1