จากกรณีข่าวดังเมื่อช่วงเดือน ก.พ. 2567 ที่ผ่านมา มีแม่เลี้ยงเดี่ยวรายหนึ่ง คือ นางพรรณทิพย์ หรือ ดำ วัย 30 ปี ชีวิตน่าสงสารเพราะต้องดูแลคนในครอบครัวถึง 9 ชีวิต แบ่งเป็น ลูก 5 คน เป็นหญิง 4 คนและชาย 1 คน กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.2-ม.3 อายุ 8-15 ปี โดยมีน้องสาวอีก 2 คน ซึ่งเป็นเด็กพิเศษ 1 คน และหลานชายอีก 1 คน มาขออาศัยอยู่ด้วยรวมทั้งหมด 9 ชีวิต




โดยในจำนวน 9 คน เป็นผู้หญิง 7 คน อยู่ในวัยมีประจำเดือน 6 คน บางเดือนไม่มีผ้าอนามัยใส่ ต้องขาดเรียนเพื่อเก็บตัวอยู่กับบ้านจนกว่าประจำเดือนจะหมด โดยอีก 8 ชีวิตไม่สามารถออกไปรับจ้างทำงานได้ เพราะมีกฎหมายคุ้มครองเด็ก ภาระทั้งหมดจึงตกอยู่ที่แม่พียงคนเดียว ซึ่งหลังจากข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไปได้มีการเปิดรับบริจาคช่วยเหลือ




ล่าสุดเพจ อีซ้อขยี้ข่าว ได้ออกมาโพสต์ความคืบหน้าของครอบครัวนี้อีกมุม โดยระบุว่า "หลังข่าวออกทางครอบครัวได้รับเงินบริจาคไปอย่างท่วมท้น หลายชีวิตที่เคยอยู่กันอย่างลำบากต่างก็มีชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะลูกสาวที่มีเงินซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ตามสไตล์ทรงซ้อ สลัดภาพสาวซอมซ่อไม่เหมือนตอนที่เจอนักข่าว แถมมีเงินไปซื้อรถมอเตอร์ไซค์มาแต่งพาหนุ่ม ๆ ซ้อนท้าย ใช้ไอโฟนเครื่องละหลายหมื่น พอคนเคยเห็นจากข่าวและเคยโอนช่วยบริจาคทักถามว่าได้เงินมาเอาไปใช้ประโยชน์อะไรก็ถูกน้องเขาด่ากลับหน้าหงายมาทุกราย"


ขณะที่ลูกสาวก็ได้โพสต์เฟซบุ๊กตอบโต้กระแสสังคมว่า อย่ามาระรานชีวิตของเธอ ถึงจะแต่งตัวเป็นลูกคุณหนู แต่ก็ใช้เงินที่หามาได้ด้วยตัวเอง ทำงานเหนื่อยก็อยากซื้อของที่ตัวเองอยากได้ คนที่ไม่ได้หาให้เธอกินอย่ามายุ่งเรื่องของเธอ ถ้าไม่หยุดกล่าวหาพล่อย ๆ ให้เธอเสียหายก็พบกันที่ศาล




ล่าสุดวันนี้ (27 เม.ย. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่ห้องแถวของนางพรรณทิพย์ หรือ นางดำ แม่เลี้ยงเดี่ยวอีกครั้ง แต่เมื่อไปถึงพบว่าทั้งหมดได้ขนของย้ายออกจากห้องพักดังกล่าวไปแล้ว เหลือเพียงกระเป๋านักเรียนของเด็ก เสื้อผ้า รองเท้า จำนวนหนึ่งถูกทิ้งกระจัดกระจายอยู่รอบบ้าน


ต่อมาทีมข่าวได้สอบถามเพื่อนข้างห้องให้ข้อมูลว่า นางพรรณทิพย์และลูก ๆ ทั้งหมดได้ขนของย้ายออกจากห้องพักไปตั้งแต่นักข่าวลงมาช่วยเหลือ และเปิดรับบริจาคให้กับครอบครัวนี้ได้ไม่ถึง 1-2 เดือน ส่วนย้ายไปอยู่ที่ไหนตนเองไม่ทราบ เนื่องจากนางพรรณทิพย์ไม่เคยบอก รู้ว่าหนีไปทำงานแถว จ.สตูล


ล่าสุดทีมข่าวได้เดินทางไปที่จังหวัดสตูล เพื่อตามหาครอบครัวดังกล่าว ซึ่งทีมข่าวได้รับข้อมูลว่า ครอบครัวนี้หลังมีนักข่าวลงพื้นที่ไปช่วยเหลือได้ย้ายมาทำงานที่ จ.สตูล จนล่าสุดทีมข่าวไปพบว่า นางพรรณทิพย์ ได้พาลูก ๆ และหลานรวม 9 ชีวิต ไปทำงานภายในโรงทำยางพาราแผ่นแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล และเมื่อทีมข่าวไปถึงพบว่า เด็ก ๆ ทั้งหมดกำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็งภายในโรงทำยางพาราแผ่นเล็ก ๆ เด็กบางคนต้องลงไปภายในบ่อน้ำแช่ยางพารา ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำกรด เพื่อช่วยล้างแผ่นยางพาราเพื่อนำไปตากขาย




ต่อมาทีมข่าวได้เจอกับนางพรรณทิพย์ แม่เลี้ยงเดี่ยวที่ตอนนี้ถูกโจมตีอย่างหนัก เธอได้เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 บอกว่า เมื่อวานนี้ตนเองได้ทราบเรื่องที่เกิดดราม่าขึ้นในเพจเฟซบุ๊กแล้ว โดยลูกสาวได้นำมาให้ดู ยอมรับว่า ตกใจมากว่าจู่ ๆ พวกตนเองก็ถูกทัวร์ลงอย่างหนัก มีคนเข้ามาด่าในคอมเมนต์ลูกสาวกว่า 40,000 คอมเมนต์


ตนเองยืนยันว่า ข้อมูลที่เพจนำไปโพสต์ไม่ใช่เรื่องจริงสักอย่าง ครอบครัวตนเองไม่เคยเปิดรับบริจาคเงินเลยสักครั้ง ก่อนหน้านี้ที่เป็นข่าวเนื่องจากนักข่าวและคุณครูที่โรงเรียนของเด็ก ๆ สงสารจึงเดินทางมาช่วยเหลือประสานหน่วยงานนำข้าวของเสื้อผ้าช่วยเหลือเท่านั้น เสื้อผ้าที่ได้ก็ยังคงเก็บรักษาอยู่ ไม่เคยทิ้งไปไหน ส่วนเงินบริจาคตนเองไม่เคยเปิดรับบริจาค หรือให้เลขบัญชีกับนักข่าวคนใดเลยด้วยซ้ำ เพราะตนเองและลูก ๆ ช่วยกันหาเงินเลี้ยงตัวเองได้ ทุกคนต้องทำงานถึงจะได้เงิน




ส่วนหลังจากมีการนำเสนอข่าวไป ยอมรับว่ามีคนโทรศัพท์มาเพื่อขอโอนเงินช่วยเหลือจริง โดยมีทั้งหมดสองคนเท่านั้นคือ 1. ผู้ใหญ่ใจดีเจ้าของบริษัทแห่งหนึ่ง โอนเงินช่วยเหลือจำนวน 1,000 บาทช่วยเหลือค่ากิน และ 2. พี่ผู้หญิงทำงานอยู่ต่างประเทศ ได้โอนเงินมาช่วยเหลือค่าไฟและค่าเช่าห้องที่เคยติดค้างไว้ จำนวน 2,000 บาท รวมที่ได้เงินทั้งหมดหลังออกข่าว 3,000 บาท นอกนั้นตนเองไม่เคยได้รับเงินจากส่วนอื่นอีกเลย เงินทุกบาททุกสตางค์ตนเองเป็นคนหามาด้วยหยาดเหงื่อ น้ำพักน้ำแรงของตัวเองทั้งนั้นเพื่อเลี้ยงลูก ๆ


ส่วนเรื่องรถมอเตอร์ไซค์ ตนเองยอมรับว่าซื้อมาใช้งานจริง เพื่อพาลูก ๆ ไปส่งโรงเรียน ไม่ได้เป็นของลูก เงินที่ซื้อก็เป็นเงินจากที่ตนเองทำงานรับจ้างกรีดยาง และรับจ้างทำแผ่นยางพารา ซื้อรถมอเตอร์ไซค์มือสองมาจำนวน 8,000 บาท


ส่วนโทรศัพท์ไอโฟนเป็นของลูกสาว โดยลูกสาวได้เก็บเงินจากที่ช่วยตนเองทำงานรับจ้างทำแผ่นยางพารา ซื้อต่อมาจากรุ่นพี่เป็นเครื่องมือสอง ด้วยเงินจำนวน 2,000 บาท ไม่ใช่ซื้อมาด้วยเงินเป็นหมื่น ๆ อย่างที่เพจไปลง และตนเองก็ใช้โทรศัพท์ OPPO (ออปโป้) เครื่องละพันกว่าบาทเท่านั้น ไม่มีเงินไปซื้อโทรศัพท์แพง ๆ ใช้ขนาดนั้น




นอกจากนี้นางพรรณทิพย์ ยังพาทีมข่าวไปดูห้องนอนของตัวเองและลูกสาวทั้ง 2 ห้อง ขนาดห้องประมาณ 3x3 เมตร ซึ่งอยู่ภายในโรงทำแผ่นยางพาราของเถ้าแก่ เพื่อยืนยันว่าตัวเองและลูก ๆ ไม่ได้มีชีวิตสุขสบายอย่างที่ในเพจกล่าวหา และทุกวันนี้พวกตนเองและลูกทั้งหมด ยังต้องช่วยกันทำมาหากินทุกคนไม่เว้นแต่เด็กน้อย ต้องตื่นตี 5 มาช่วยกันกรีดยาง และทำแผ่นยางพารา จนถึง 2-3 ทุ่ม เกือบทุกวัน มีรายได้ตกเดือนละ 12,000 บาท ซึ่งยังคงต้องเลี้ยงดูเด็ก ๆ รวม 9 ชีวิตเหมือนเดิม


ส่วนที่มีชาวบ้านบอกว่าตนเองที่แท้มีสามีอยู่แล้ว ตนเองยอมรับว่าหลังจากได้ย้ายมาทำงานที่ใหม่ ตนเองได้มีสามีอีกคน และมาขอเถ้าแก่ของสามีทำงานที่โรงแผ่นยางพาราแห่งนี้ และตนเองยืนยันอีกครั้งว่า ถึงแม้ตนเองและลูก ๆ จะจนแต่ไม่เคยคิดขอเปิดรับบริจาคขอเงินใคร เงินทุกบาทพวกตนเองและลูก ๆ ช่วยกันหามาด้วยตัวเองทั้งนั้น และวอนคนที่เข้ามาด่า ช่วยลงมาดูพวกตนเองทำงานบ้าง ไม่ใช่เชื่อข้อมูลจากเพจแล้วเอามาด่าอย่างเดียว ซึ่งพวกตนเองก็ยอมรับที่ต้องด่ากลับ ก็เพราะโมโห พวกไม่รู้อะไรแล้วมาด่ามั่ว ๆ




ทีมข่าวยังได้พูดคุยกับลูกสาวของพรรณทิพย์ ซึ่งถูกนำรูปไปโพสต์และมีคนเข้ามาด่ากว่า 40,000 คอมเมนต์ เธอบอกกับทีมข่าวว่า ตกใจมากที่ตนเองถูกสังคมเข้ามารุมด่ามากขนาดนี้ทั้งที่ตนเองยังไม่ได้ไปทำอะไรให้กับพวกเขา มีคนเข้ามาด่าซึ่งคำพูดเหล่านี้ทำให้ตนเองทั้งโกรธและเสียใจมาก และมองว่าตนเองไปทำอะไรให้พวกเขาโกรธ


ส่วนเรื่อง iPhone ที่ตนเองซื้อ เป็น iPhone มือสองที่ซื้อต่อมาจากรุ่นพี่ในราคา 2,000 บาท เป็นเงินเก็บจากการทำงานของหนูเองที่ช่วยแม่กรีดยาง ทำยางแผ่น และเพิ่งซื้อมาได้หลังจากเป็นข่าวได้ 2 วันเท่านั้น ไม่ได้มีราคาเป็นหมื่นอย่างที่บอก และยืนยันไม่ใช่เงินจากที่คนบริจาค ยอมรับหลังจากถูกคนนำรูปไปโพสต์ด่าก็รู้สึกเสียใจและน้อยใจบ้างแต่ก็ไม่เป็นไร




“หนูยอมรับว่าหนูปากแจ๋ว เป็นคนแรง ๆ ไม่ใช่คนดีอะไร ใครด่ามา หนูก็ด่ากลับ เพราะหนูไม่ผิด และหนูก็ไม่เคยไปทำให้ใครเดือดร้อน หนูไม่อยากคิดมากอีกแล้ว พวกที่ด่าหนู เขาไม่ได้มาเห็นหรอกว่าวัน ๆ พวกหนูทำงานอะไรบ้าง เหนื่อยแค่ไหน เขาจะรู้อะไร บางคนไม่ทำงานเอาเวลามาด่าหนูอย่างเดียว แล้วหนูผิดตรงไหน หนูทำงานตื่นตั้งแต่ตี 5 เลิกงาน 2 ทุ่มเกือบทุกวัน เพื่อหาเงินมาใช้จ่าย หนูเอาเงินไปซื้อเสื้อผ้า ซื้อไอโฟนที่หนูอยากได้ แล้วหนูผิดตรงไหน”

 

ดราม่าครอบครัว 9 ชีวิต ถลุงเงินบริจาค อัพทรงซ้อ แต่งซิ่งเปย์ชาย