จากกรณี นางแคทเธอรีน เดลาคอท อายุ 59 ปี แหม่มสาวนักธุรกิจชาวฝรั่งเศส เจ้าของวิลล่าให้เช่าบนเกาะสมุย ใช้ปืนจ่อขมับปลิดชีพตัวเองตายริมสระน้ำในวิลล่าหรู ก่อนตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ ป้าติ๋ม แม่บ้านคนสนิท หลังทราบป่วยเป็นมะเร็ง เบื้องต้นตำรวจสันนิฐานฆ่าตัวตายเองเครียดจากโรคร้าย แต่ยังคงเป็นปริศนา เนื่องจากก่อนเธอจะยิงตัวตาย วงจรปิดมุมสระน้ำจุดที่เธอยิงตัวตาย มุมกล้องได้ถูกกดลงทำให้ไม่เห็นนาทียิง รวมถึงก่อนหน้านี้วิลล่าของเธอเคยถูกคนร้ายบุกมาขโมยทรัพย์สินมาแล้ว ทว่า หลังจากข่าวช่อง 8 นำเสนอข่าวนี้ออกไป ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ นานา และหลายคนกล่าวหา ป้าติ๋ม แม่บ้านที่ได้รับมรดกนั่นแหละคือฆาตกร หรือไม่
วันนี้ (2 พ.ค. 2567) ทีมข่าวได้เดินทางไปรอป้าติ๋มที่บ้านพักวิลล่าหลังเกิดเหตุ ซึ่งกิจวัตรประจำวันของป้าติ๋มในแต่ละวัน ช่วงเช้าเธอจะเดินทางไปทำความสะอาดบ้านพักของเจ้านายทุกวันจันทร์-ศุกร์ แต่หลังจากนางแคทเธอรีนเสียชีวิต เธอจะต้องเดินทางมาเลี้ยงแมว ทั้ง 3 ตัวทุกวัน
กระทั่งบ่ายโมง ป้าติ๋มได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ มาพร้อมกับ นายมนู (เอ็มมานูเอล) ซึ่งเป็นชายฝรั่งคนสนิทของนางแคทเธอรีน ผู้ตาย โดยชายฝรั่งมีสีหน้าที่เคร่งเครียดและบอกให้ป้าติ๋มเข้าไปภายในบ้าน ห้ามพูดอะไรกับนักข่าว จากนั้นทั้งสองคนได้ขึ้นไปบนวิลล่าของผู้ตาย และมีการพูดคุยอะไรกันบางอย่างประมาณ 30 นาที
จากนั้น นายมนู ได้เปิดประตูบ้านออกมา และพยายามไล่ให้ทีมข่าวออกไปจากบ้าน และไม่อนุญาติให้นักข่าวสอบถามรายละเอียดอะไรกับป้าติ๋ม ทางป้าติ๋มก็ได้เดินตามหลังนายมนูออกมา และบอกกับทีมข่าวว่า วันนี้ตนเองขอไม่ให้ข่าวแล้ว เนื่องจากถูกทนายความและนายมนูเพื่อนสนิทของเจ้านายต่อว่าอย่างแรง เพราะไม่พอใจที่ป้าไปพูดเรื่องมรดกที่ดิน และรถของนางแคทเธอรีนที่ทางพินัยกรรมบอกว่าจะยกให้ป้าติ๋ม และตอนนี้ตนเองขอทำเรื่องจัดงานศพให้กับนางแคทเธอรีนให้ดีที่สุดก่อน และขอโทษนักข่าวด้วยที่ต้องมาเเล้วเสียเวลา ทุกอย่างต้องรอปรึกษาทนายก่อนอีกครั้ง จากนั้นนายมนูได้เดินเข้าไปในบ้านและได้โทรศัพท์เรียกตำรวจมาเดินทางมาที่บ้าน โดยนายมนูไม่กล้าออกมาจากบ้าน ต้องรอตำรวจสายตรวจมาถึง ถึงจะยอมขี่รถออกจากวิลล่าที่เกิดเหตุ
โดยทีมข่าวพยายามสอบถามตำรวจสายตรวจ 2 นายที่นายมนูเรียกมา ให้ข้อมูลว่า นายมนู ได้โทร. แจ้งอ้างว่า นักข่าวได้บุกรุกบ้านของผู้ตาย ซึ่งทีมข่าวได้ยืนยันว่า ไม่ได้บุกรุก และต้องการมาสอบถามรายละเอียดกับป้าติ๋มเท่านั้น และเมื่อวานนี้ป้าก็ให้ข้อมูลเป็นอย่างดี ซึ่งนายมนูได้อ้างกับตำรวจว่า ตัวเองเป็นผู้จัดการเรื่องพินัยกรรมทั้งหมดให้กับป้าติ๋มเอง ตามจดหมายที่คนตายส่งมาให้ ตนเองเป็นเพื่อนสนิทผู้ตายมากว่า 15 ปีแล้ว และตั้งใจมาจัดการทุกอย่างให้ เพราะป้าติ๋มไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร
ทั้งนี้ทีมข่าวได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับจดหมายสั่งเสียที่นางแคทเธอรีนได้เขียนไว้ในไลน์ และพบว่าเจ้าตัวได้ส่งเมล์ไปถึงนายเอ็มมานูเอลด้วย ซึ่งเป็นสิ่งยืนยันว่านางแคทเธอรีนสนิทกับนายเอ็มมานูเอลจริง ๆ
ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้พูดคุยกับ นางอมรทัย คนสวนของนางแคทเธอรีน ซึ่งได้ทำงานเป็นลูกน้องของป้าติ๋มอีกที โดยมาทำงานกับผู้เสียชีวิตได้ประมาณ 6-7 ปีแล้ว และเธอเป็นคนที่ไปพบศพพร้อมกับป้าติ๋มเป็นคนแรก ๆ เธอได้บอกกับทีมข่าวว่า แท้จริงแล้วป้าติ๋มเกือบจะต้องติดคุกในคดีนี้แล้ว เนื่องจากตอนแรกตำรวจสงสัยว่าป้าติ๋มลงมือฆ่านางแคทเธอรีนหรือเปล่า เนื่องจากเป็นคนสนิทที่สุด และมีการนำป้าติ๋มไปตรวจดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือ
แต่โชคดีที่ในวันที่ไปเจอศพพร้อมกัน ป้าติ๋มได้กดถ่ายภาพนิ่งตอนนางแคทเธอรีน นอนเสียชีวิตบนเตียงอาบแดดไว้พอดี ซึ่งถ่ายไว้ก่อนที่แพทย์และกู้ภ้ยจะมาถึงและนำศพลงมาจากเตียงอาบแดดเพื่อทำการช่วยเหลือ ทำให้พยานหลักฐานในที่เกิดเหตุ เมื่อตำรวจมาถึง พบว่า ศพมีการเคลื่อนที่ และปืนได้หล่นอยู่ข้างเตียงดูผิดปกติ
แต่โชคดีที่ช่วงที่ไปเจอศพป้าติ๋มได้ถ่ายภาพตอนที่ไปเจอศพช่วงแรกเอาไว้ จึงทำให้ป้าติ๋มรอดจากการถูกเข้าใจผิด ซึ่งตนเองยืนยันว่า ป้าติ๋มและนางแคทเธอรีนรักและช่วยเหลือกันมาตลอด เวลานางแคทเธอรีนไม่สบาย หรือหลังจากนางแคทเธอรีนได้เลิกกับสามี ก็จะมีแต่ป้าติ๋มคอยพาไปโรงพยาบาล ดูแลอย่างใกล้ชิด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองเสียใจมากและไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย ไม่คิดว่านางแคทเธอรีนจะจากไปแบบนี้ นางแคทเธอรีนดีกับตนเองมาก ขนาดช่วงโควิดบนเกาะสมุย คนตกงานจำนวนมาก แต่นางแคทเธอรีนก็ยังเมตตาตนเอง จ้างตนเองเป็นคนสวนให้เงินอยู่ตลอดไม่ทิ้งกัน ซึ่งหลังจากนี้ตนเองก็คงขอทำงานสวนช่วยป้าติ๋มดูบ้านหลังนี้ต่อด้วยเช่นกัน และจะรักและคิดถึงนางแคทเธอรีนตลอดไป
ขณะที่ภาพจากกล้องวงจรปิด ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่จะเห็นว่านางแคทเธอรีน ผู้เสียชีวิต น่าจะตัดสินใจจบชีวิตตัวเอง โดยภาพจากกล้องวงจรปิดภายในวิลล่า ก่อนเกิดเหตุวันที่ 28 เมษายน เวลาประมาณ 11 โมง จากภาพจะเห็นผู้ตายกำลังนั่งอยู่บริเวณโต๊ะทำงาน โดยมีการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กพิมพ์ข้อความบางอย่าง คาดว่าเป็นการพิมพ์พินัยกรรมเพื่อเป็นการสั่งเสีย จากนั้นเธอได้เดินเข้าไปภายในบ้าน และได้ใช้ไม้ถูพื้นกดกล้องวงจรปิดที่อยู่ในที่เกิดเหตุก้มลง ก่อนที่จะตัดสินใจยิงตัวตาย ซึ่งภาพนี้เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่เธอจะกลายเป็นศพ ซึ่งหลักฐานตัวนี้ทางตำรวจชี้ว่า ป้าติ๋มเป็นผู้บริสุทธิ์
ทีมข่าวได้สอบถาม คุณวิกรม (นามสมมติ) เจ้าของบ้านซึ่งมีที่ดินอยู่ติดกับผู้ตาย เล่าให้ฟังว่า ก่อนเกิดเหตุช่วงเย็นของวันที่ 28 เมษายน ที่ผ่านมา ตนเองกำลังคุมคนงานก่อสร้างบ้านอยู่ ระหว่างนั้นได้หันไปเห็นนางแคทเธอรีน เจ้าของวิลล่า ยังคงว่ายน้ำเล่น และนั่งอยู่ริมสระน้ำตามปกติ ไม่เห็นความปกติใด ๆ
กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 29 เมษายน ตนเองได้เห็นรถกู้ภัยและตำรวจมาที่วิลล่า จึงเดินขึ้นไปสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเห็นศพของนางแคทเธอรีนนอนอยู่ใกล้สระน้ำ และเจ้าหน้าที่แจ้งว่า เธอน่าจะคิดสั้นฆ่าตัวตาย ตอนนั้นตนเองตกใจมาก เพราะที่ผ่านผู้ตายเป็นคนร่าเริง เจอหน้ากันก็มักจะยิ้มให้กันตลอด
ส่วนแม่บ้านที่ได้ยินข่าวว่า เธอได้ยกบ้านวิลล่าให้ทั้งหลัง ยืนยันที่ผ่านมาแม่บ้านและคนดูแลสระน้ำอยู่กับผู้ตายมาหลาย 10 ปี และจะขึ้นมาดูแลทำความสะอาดบ้านให้ผู้ตายอยู่ตลอด ซึ่งหากเรื่องนี้หากผลออกมาไม่ใช่คดีฆาตกรรม ก็มองว่า นางแคทเธอรีนเป็นคนที่จิตใจดีมาก
สำหรับบ้านพักวิลล่าหลังดังกล่าวของผู้ตาย ตนเองเชื่อว่า น่าจะใช้เงินสร้างกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งหากขายก็น่าจะราคาประมาณ 30-40 ล้านบาทได้ ส่วนที่ดินเปล่าบริเวณนี้ก็ขายกันอยู่ประมาณ 3-3.5 ล้าน ซึ่งนางแคทเธอรีนมีที่ดินข้างวิลล่าอีก 2 ไร่ หากเป็นของแม่บ้านจริง แม่บ้านก็อาจจะได้ทรัพย์สินไปเกือบ 50 ล้านบาท
ล่าสุดทีมข่าวยังได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อาวุธปืนที่นางแคทเธอรีน ผู้ตาย ได้ซื้อมาและใช้ยิงตัวเองเพื่อจบชีวิตนั้น แท้จริงแล้วเกิดจากก่อนหน้านี้เมื่อ 6 เดือนก่อน เธอได้หาซื้อปืนกระบอกดังกล่าวมาเพื่อป้องกันทรัพย์สินภายในบ้าน โดยภาพจากกล้องวงจรปิดที่ทีมข่าวช่อง 8 ได้มา ช่วงเวลา 03.41 น. ของวันที่ 17 พฤศจิกายน ปี 2566 จะเห็นโจรจำนวน 2 คนได้แอบเข้ามาภายในบ้านของเธอและขึ้นไปขโมยทรัพย์สินของมีค่า รวมถึงคอมพิวเตอร์ของเธอไป
จากนั้นในวันเดียวกันเธอได้โพสต์เฟซบุ๊กเพื่อประกาศตามหาโจรทั้งสอง โดยมีการระบุข้อความเป็นภาษาฝรั่งเศสไว้ประมาณว่า “เมื่อคืนมีผู้หญิงคนหนึ่งบุกเข้ามาในบ้านของฉัน และขโมยคอมพิวเตอร์ของฉันไป ขอบคุณที่ช่วยกันแชร์ภาพนี้ออกไป”
นอกจากนี้ เธอยังได้เดินทางไปแจ้งความกับตำรวจ สภ.เกาะสมุย แต่เวลาผ่านไปกลับไม่มีความคืบหน้าทางคดี ทำให้เธอจำเป็นต้องเอาปืนมาเพื่อป้องกันตัวเองและทรัพย์สิน และสุดท้ายปืนกระบอกนี้เธอได้ใช้จบชีวิตตัวเองเช่นกัน