จากกรณี นางแคทเธอรีน เดลาคอท อายุ 59 ปี แหม่มสาวนักธุรกิจชาวฝรั่งเศส เจ้าของวิลล่าให้เช่าบนเกาะสมุย ใช้ปืนจ่อขมับปลิดชีพตัวเองตายริมสระน้ำในวิลล่าหรู ก่อนตายทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินทั้งหมดให้ ป้าติ๋ม แม่บ้านคนสนิท หลังทราบป่วยเป็นมะเร็ง


โดยคดีนี้ได้รับการยืนยันจากตำรวจมั่นใจในพยานหลักฐาน ที่น่าเชื่อว่านางแคทเธอรีน ได้ลงมือยิงตัวตายเอง ทั้งภาพจากกล้องวงจรปิดนาทีพิมพ์ข้อความสั่งเสีย และจากการสอบปากคำทนายความของแหม่มแคทเธอรีน ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตได้เดินทางไปที่สำนักงานทนายความส่วนตัวของเธอ เพื่อจัดการทำพินัยกรรมทั้งหมดด้วยตัวเอง




วันนี้ (3 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ยังได้เดินทางไปที่บ้านของป้าติ๋ม ซึ่งอาศัยอยู่กับสามีบนเกาะสมุย โดยพบว่าบ้านพักที่ป้าติ๋มอยู่นั้น เป็นบ้านของสามี ซึ่งเป็นบ้านพักปูนชั้นเดียว สภาพค่อนข้างเก่า ระหว่างที่ทีมข่าวกำลังยืนสำรวจอยู่หน้าบ้าน ทีมข่าวได้พบกับ ชายคนหนึ่งซึ่งเดินออกมาจากข้างบ้าน ถือถุงขยะสีดำ ภายในมีขวดพลาสติกจำนวนมาก คล้ายกำลังเดินหาเก็บขวด และของเก่าไปขาย จากนั้นทีมข่าวได้เข้าสอบถามชายคนนี้ว่า รู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้ไหม โดยชายคนดังกล่าวได้แสดงตัวว่าตนเองเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้ และเป็นสามีของป้าติ๋มเอง ตนเองชื่อ ลุงสมชาย




ต่อมาทีมข่าวจึงได้พูดคุยกับลุงสมชาย สามีของป้าติ๋ม ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า รู้หรือไม่ที่ป้าติ๋มเมียของตนเองได้รับมรดกเกือบ 100 ล้านบาทจากเจ้านาย ลุงสมชายบอกกับทีมข่าวทั้งน้ำตาว่า ตนเองก็เพิ่งทราบข่าวเมื่อไม่กี่วันมานี้ ซึ่งเมียเป็นคนมาเล่าให้ฟังพร้อมกับร้องไห้ไปด้วย


ลุงสมชาย เล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้ป้าติ๋ม เมียของตนเองนั้นคบหาอยู่กินกับตนเองมากว่า 30 ปีแล้ว มีลูกด้วยกันทั้งหมด 4 คน โดยตนเองเป็นคนเกาะสมุย มีอาชีพเป็นคนงานรับจ้างทั่วไป และรับจ้างฉีกใบจากขาย มีรายได้ไม่มาก แต่ก็อยู่ได้ ต่อมาได้รู้จักกับป้าติ๋มที่มาทำงานบนเกาะและได้อยู่กินกันบนเกาะสมุยตั้งแต่นั้นมา




ต่อมา 17 ปีก่อน ป้าติ๋ม ได้สมัครงานเป็นแม่บ้านกับนายจ้างฝรั่ง รู้เพียงชื่อว่า “แคทเธอรีน” ป้าติ๋มคอยรับใช้นายฝรั่งคนนี้มากว่า 16-17 ปี ป้าติ๋มเมียของตนเอง รักและเคารพเจ้านายคนนี้มา ส่วนตนเองเคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่เคยเห็นหน้า เพราะต่างคนก็ต่างทำงาน แต่รู้ว่า เวลาคุณแคทเธอรีน ต้องการเรียกใช้ป้าติ๋มเมื่อไร เจ็บป่วยไม่สบาย ดึกดื่นแค่ไหน หากคุณแคทเธอรีนโทร. มา ป้าก็จะรีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปหารับใช้คุณแคทเธอรีนทุกครั้ง ขนาดนอนแล้วก็ยังตื่นไปหากลางดึก ซึ่งป้าติ๋ม เมียตนเองเคยบอกว่า คุณแคทเธอรีนเหมือนคนในครอบครัวอีกคน




ก่อนจะเกิดเหตุ คืนวันที่ 28 ข้าม 29 ขณะเมียของตนเองนอนอยู่ ได้รับข้อความบางอย่างจากนายจ้าง จากนั้น ได้มีเงินเดือนจำนวนหนึ่งโอนเข้ามาให้กับป้าติ๋ม จากนั้นอีกไม่นาน ก็มีเงิน 500,000 บาท โอนเข้าบัญชีมาอีก เมื่อป้าติ๋มเปิดอ่าน พบว่า นายฝรั่งได้ส่งข้อความมาหาว่า “พรุ่งนี้เจอกันนะ ไม่มีอะไรซับซ้อน” และส่งข้อความภาษาต่างประเทศมาต่อ ตอนนั้น ป้าติ๋ม หลังอ่านข้อความ ได้มาบ่นให้ตนเองฟังว่า “นายจ้างจะไล่เราออกไหม เขาโอนเงินให้เราเยอะมาก” ซึ่งป้าติ๋มคืนนั้นแทบจะนอนไม่หลับ กลัวจะถูกไล่ออก


กระทั่งช่วงเช้าวันที่ 29 เมษายน ป้าติ๋มได้รับสายจากเพื่อนคนงาน และรีบออกจากบ้านไป กระทั่งช่วงเย็น ป้าติ๋มได้กลับมาที่บ้านและมาร้องไห้บอกตนเองว่า “คุณแคทเธอรีนเสียแล้ว” และบอกว่า ในพินัยกรรม คุณแคทเธอรีนได้ยกสมบัติเกือบทั้งหมด ทั้งบ้าน ที่ดิน รถ เเละเงินในบัญชีให้กับเมียตนเอง ตอนนั้นตนเองตกใจมาก และไม่คิดว่าคุณแคทเธอรีน นายฝรั่งของเมียจะมีจิตใจงดงามขนาดนี้


ยอมรับหลังจากป้าติ๋มตกเป็นข่าว ก็มีเครียดบ้าง ที่กลายเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ยืนยันว่า เมียของตนเองไม่มีทางทำลายคุณแคทเธอรีนแน่นอน ป้าติ๋มเป็นคนชอบทำบุญ มีน้ำใจกับคนอื่น ชอบช่วยเหลือคนที่ยากจนกว่า และใช้ชีวิตแบบพอเพียง ซึ่งครอบครัวของตนเองยึดคำสอนของในหลวง ร.9 มาใช้




ทีมข่าวถามต่อหลังจากนี้จะใช้ชีวิตยังไงต่อ ลุงสมชายบอก ตนเองและป้าติ๋มจะไม่มีทางขายสมบัติทุกชิ้นที่คุณแคทเธอรีนมอบให้แน่นอน บ้านพักวิลล่าจะเก็บไว้ให้เช่า พวกตนเองจะไม่เข้าไปอยู่และจะขออยู่บ้านเก่า ๆ ของตนเองหลังนี้เหมือนเดิม ส่วนที่ดิน รถยนต์ เงินสด จะเก็บไว้ให้ลูก ๆ เพื่อนำไปบริจาคทำบุญส่วนหนึ่งและเป็นทุนการศึกษาให้ลูกทั้ง 4 คน ไว้ใจในอนาคต


และหากได้รับศพของคุณแคทเธอรีนกลับมาทำพิธี ตนเองและป้าติ๋มได้คุยกันแล้วว่า จะให้ลูกชายของตนเองบวชหน้าไฟให้กับคุณแคทเธอรีน เพื่อสร้างบุญกุศลให้กับเธอ และจะจัดงานศพให้กับเธออย่างดีที่สุด เพราะคุณแคทเธอรีนเป็นผู้มีพระคุณที่สุดของครอบครัวตนเอง


นอกจากนี้ลุงสมชายยังได้พาทีมข่าวเข้าไปดูภายในบ้านของตัวเอง ซึ่งอยู่อย่างเรียบง่าย โดยลุงสมชาย ได้ถือถุงขยะเดินเข้าบ้าน บอกว่า เตรียมจะนำเอาไปขายหารายได้เข้าบ้าน และเดินไปชี้รูปของในหลวง ร.9 ที่ติดเอาไว้ทั้งผนังนอก และในบ้าน โดยลุงสมชาย บอกว่า ครอบครัวของตนเอง ถึงแม้จะได้รับสมบัติมากมาย แต่ก็คงใช้ชีวิตเหมือนเดิม ขออยู่แบบพอเพียง ตามคำสอนของในหลวง ร.9 เป็นอะไรที่สบายใจและดีที่สุดแล้ว




ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้เดินทางไปที่สำนักสงฆ์ป่ารัตนธารา ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาสูง โดยพบว่า เส้นทางไปถึงวัดลำบากและสูงมาก เต็มไปด้วยเนินเขา ซึ่งจากการสอบถามชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลว่า วัดป่าแห่งนี้ ป้าติ๋มมักจะเดินทางมาทำบุญไหว้พระอยู่เป็นประจำ และก่อนวันเกิดเหตุ เมื่อ 28 เมษายน ป้าติ๋ม ได้เดินทางมาทำบุญ ทำอาหาร เปิดโรงทาน เพื่อมอบให้กับคนยากจนที่ไม่มีกินอีกด้วย โดยในคลิปที่เพื่อนของป้าติ๋มถ่าย จะเห็นป้าติ๋ม ตั้งใจตักผลไม้ใส่กล่อง แจกให้คนที่มาอย่างมีความสุข


นอกจากนี้ ทีมข่าวยังได้สอบถามชาวบ้านในพื้นที่บางคนที่รู้จักกับป้าติ๋ม ยังให้ข้อมูลด้วยว่า พวกเธอได้ติดตามข่าวและได้นำเลขในข่าว คือ 16 และ 17 ซึ่งเป็นอายุงานที่ป้าติ๋มที่ทำงานกับคุณแคทเธอรีน นำไปแทงหวย และชาวบ้านบางคนก็ถูกหวยไปตาม ๆ กันด้วย หลังจากหวยออกเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา บางคนถูกทั้งบนและล่าง


เปิดใจที่แรก! "ผัวป้าติ๋ม" ช็อก รับมรดก 100 ล้าน ยันไม่คิดขาย