กรณีเหตุการณ์เมื่อคืนนี้สายไหมต้องรอดได้มีการประกาศตามหาเด็กคือ “น้องมาร์ติน” ถูกสาวสองลักพาตัว ซึ่งมีการประกาศผ่านโซเชียลและรวมถึงสื่อต่างๆ ปรากฏว่ามีพลเมืองดีพบเห็นมีการพาเด็กไปยังพื้นที่จังหวัดระยอง ก่อนที่จะมีการประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมเมื่อคืนนี้นั้น
ต่อมาเมื่อเวลา 02.10 น. วันที่ 8 พ.ค.ตำรวจคุมตัวนายน้อย สาวประเภทสองที่ลักพาตัวเด็กชายวัย 9 เดือน ไป ขึ้นรถมินิบัสไปจังหวัดระยอง มาถึง สน.บางนา เจ้าหน้าที่นำตัวเข้าห้องสืบสวน ระหว่างนั้นทีมข่าวพยายามสอบถาม เจ้าตัวอ้างว่ารักเอ็นดูเด็กอยากเอาเด็กไปเป็นลูก ปฏิเสธไม่ได้ลักเด็กไปขาย เมื่อถามว่าทำไมถึงไประยอง เจ้าตัวงึมงำพูดไม่ชัด
จากนั้น 02.30 น.ตำรวจอีกชุดนำตัวเด็กมาถึง สน.บางนา ก่อนส่งมอบให้ปู่และย่า โดยปู่และย่ารีบโอบกอดและหอมแก้มหลานด้วยความดีใจ ขณะที่ปู่ของเด็กร้องไห้ก้มกราบเท้า พล.ต.ต. นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อเป็นการขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่ช่วยตามหาหลานกลับสู่อ้อมกอด โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ รีบนั่งรับไหว้แล้วบอกว่าไม่ต้องกราบ ให้ลุกขึ้น
พล.ต.ต. นพศิลป์ สอบปากคำผู้ก่อเหตุด้วยตนเอง จากการสอบปากคำผู้ก่อเหตุให้การรับสารภาพว่าลักพาตัวเด็กไปจริงโดยให้เหตุผลว่าต้องการนำไปเลี้ยงขณะที่ตัวเองจะไปทำงานที่จันทบุรี โดยได้ลักพาตัวเด็กไปขึ้นรถที่สถานีขนส่งหมอชิตไปลงที่จังหวัดระยอง และเตรียมต่อรถไปยังจังหวัดจันทบุรีในช่วงเช้า
บางช่วงการสอบสวน พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมะสุธี ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาล พยายามให้ผู้ก่อเหตุร้องเพลงชาติไทยและเพลงสรรเสริญพระบารมี แต่ผู้ก่อเหตุไม่สามารถร้องได้ แต่ยังยืนยันว่าตัวเองเป็นคนไทย พนักงานสอบสวนดำเนินคดี ในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยวและพรากผู้เยาว์ ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ทีมข่าวช่อง 8 ได้กล้องวงจรปิด หน้าห้องของน้องมาร์ตินมาเพิ่มเติม
ในกล้องเวลา 15.08 น. นายน้อย เดินเข้าไป ห้องพักของปู่น้องมาร์ติน
15.10.34 น. นายน้อย อุ้มน้องมาร์ติน ออกจากห้องพักของคุณปู่น้องมาร์ติน
15.11.49 น. ปู่และย่าของน้องมาร์ตินเดินออกมาหน้าห้อง เพราะตอนนั้นคิดว่านายน้อยพาหลานไปซื้อของที่เซเว่น
15.14.00 น. นายน้อย ได้อุ้มน้องมาร์ติน ออกจากแคมป์คนงาน ที่อยู่ฝั่งขวา ของกล้อง ก่อนที่นายน้อยจะเดินไปหน้าปากซอยวัดบางนานอก เพื่อไปขึ้นวินมอเตอร์ไซค์
15.14.54 น. นายน้อย เดินผ่านบริเวณหน้าปากซอยวัดบางนานอก
หลังจากเกิดเหตุประมาณ 2 ชั่วโมง เวลา 17.06.55 น. วงจรปิดจากภาพนายเปิ้ล ปู่ของน้องมาร์ติน เดินออกตามหาหลานชาย และนายน้อย ไปทางหน้าปากซอย
เวลา 17.08.16 น. วงจรปิดจับภาพคุณย่าของน้องมาร์ติน เดินออกมาตามหาหลาน
ทีมข่าวได้สอบถาม นายปกรณ์ วินจักรยานยนต์รับจ้าง ที่ไปส่งคนก่อเหตุที่แยกบางนา เปิดเผยว่า ขณะตนเองกำลังรอรับลูกค้าอยู่บริเวณหน้าปากซอยวัดบางนานอก ระหว่างนั้นเห็นคนก่อเหตุอุ้มเด็กวิ่งตากฝนมายืนเกาะกลางถนน มาโบก ก่อนจะเรียกรถจักรยานยนต์ตนเองที่จอดอยู่ตรงข้าม ตนเองเห็นว่ามี เด็กด้วยความสงสาร ที่เด็กตากฝนจึงตัดสินใจรับผู้ก่อเหตุขึ้นรถ
โดยผู้ก่อเหตุ บอกเพียงว่า ไปตลาด ตนเองจึงรับขึ้นมา เพราะเข้าใจว่าเป็นตลาดที่สดแยกบางนา ระหว่างที่นั่งซ้อนท้ายตนเองก็ได้ถามว่า “พี่จะเอาน้องไปไหน ฝนก็ตก” แต่ทางผู้ก่อเหตุก็ไม่ได้มีการตอบกลับแต่อย่างใด แต่กลับพูดพึมพำคนเดียว ว่า “แฟมิลี่ แฟมลี่” ซึ่งตนก็จับใจความไม่ได้ว่าพูดถึงเรื่องอะไร และภาษาอะไร ด้วยท่าทีที่ดูประหลาดของผู้ก่อเหตุ ทำให้ตนเองสงสัย แต่ที่ท่าทีเด็กกลับนิ่งเฉยไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวอะไรจึงคิดว่าเป็นญาติกัน
และเมื่อไปถึงตลาดบางนา ผู้ก่อเหตุได้ให้เงินจำนวน 200 บาทกับตนเอง ด้วยท่าทีที่ดูลุกลี้ลุกลน เร่งรีบผิดปกติ จากนั้นตนก็ได้มีการทอนเงิน จำนวน 180 บาทให้กับทางผู้ก่อเหตุ เพราะค่าโดยสารเพียง 20 บาทเท่านั้น ก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะรีบเดินไปแยกบางนา
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนยอมรับว่า รู้สึกตกใจ ไม่คาดคิดว่า เด็กที่ตนขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งนั้นจะเป็นเด็กคนเดียวที่ถูกลักพาตัวไปจากครอบครัว เพราะตอนกลับมาที่บ้านตอนเย็น เห็นเพจสายไหมต้องรอดลง จึงรู้ได้ทันที และก็ได้ติดต่อกับตำรวจสน.บางนาให้ข้อมูล และขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เสด็จเตี่ยช่วยคุ้มครองน้องมาร์ติน จนน้องปลอดภัยกลับมา
ทีมข่าวช่องแปดลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้า โดยได้รับภาพจากกล้องวงจรปิดจากรถมินิบัส ซึ่งเป็นคันที่สาวสองได้มีการขึ้นรถ พาน้องมาร์ตินออกจากกรุงเทพจนกระทั่งมามาถึงระยอง
โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดภายในรถมินิบัส จับภาพเมื่อคืนนี้ 7 พ.ค. เวลา 20.15 น. ภาพจากกล้องวงจรปิดภายในรถมินิบัสจับภาพว่าสาวสองได้มีการอุ้มน้องมาร์ตินขึ้นมาบนรถ ซึ่งเดินปะปนมากับผู้โดยสารคนอื่น และเดินไปที่เบาะด้านหลังในสุด
จากนั้นมีผู้โดยสารซึ่งเป็นผู้ชาย เห็นว่าสาวสองมีการอุ้มลูก หรือลักษณะอุ้มเด็ก จึงได้มีการสลับที่นั่งให้มานั่งเบาะเดียว โดยจะเห็นภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพตอนที่มีการสลับ ตำแหน่งที่นั่งกันภายในรถ ก่อนที่รถจะออก
จากนั้นภาพกล้องวงจรปิดภายในรถมินิบัสจับภาพต่อ ในคืนวันเดียวกัน 7 พ.ค. เวลาประมาณ 23.28 น. จับภาพหลังจากที่รถจอดที่สถานีปลายทางระยอง โดยจะเห็นสาวสองได้มีการอุ้มน้องมาร์ตินเดินลงจากรถเป็นคนสุดท้าย ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดจากภาพในรถเอาไว้ได้
และนอกจากนี้ยังมีภาพจากกล้องวงจร บริเวณด้านหน้าบริษัทระยองทัวร์ ซึ่งเป็นบริษัทของรถมินิบัสที่เดินทางมาจากกรุงเทพ-ระยอง จับภาพเอาไว้ได้อีก 2 มุม ในวันเดียวกัน ซึ่งจะเห็นตัวของสาวสองได้มีการอุ้มน้องมาร์ตินลงจากรถ และมีลักษณะเดินเลยไปที่ซอย ก่อนที่จะเดินย้อนกลับมาและมีการมาพูดคุยกับคนขับรถลักษณะถามทาง ก่อนที่จะเดินหายไป
จากนั้นทีมข่าวตรวจสอบกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมซึ่งเป็นเส้นทางออกจากบริษัทรถมินิบัส ที่มาจอดทางบริเวณตลาดระยอง โดยเป็นเส้นทางเดินเท้าที่กำลังจะไปต่อรถที่ บขส. ก่อนที่จะถูกจับ ซึ่งมีภาพจากกล้องวงจรปิดร้านค้าแห่งหนึ่ง จับภาพว่าสาวสองได้มีการอุ้มน้องมาร์ตินลักษณะกำลังหลับ เดินอุ้มผ่านกล้องตัวดังกล่าวไป
ด้าน นางสาวปักษา หรือป้าษา อายุ 59 ปี พลเมืองดี ในฐานะคนที่เข้าไปช่วยอุ้มเด็กเพื่อยื้อเวลาก่อนที่ตำรวจจะเข้ามาแสดงตัวจับกุมสาวสองในเวลาต่อมา เปิดใจว่า เมื่อคืนนี้ตนเองเห็นผู้ชายลักษณะกึ่งชายกึ่งหญิง ซึ่งแยกไม่ออกว่าเป็นเพศอะไร ดูทรงเหมือนเป็นผู้ชาย แต่มีการใส่ส้นสูงเหมือนผู้หญิง เดินลักษณะเหมือนมีเด็กอยู่ในมือ แต่มีการใช้ผ้าพันจนกระทั่งไม่เห็นใบหน้าเด็ก เห็นเพียงแค่แขนที่ยื่นออกมา จากนั้นคนก่อเหตุก็ได้อุ้มเด็กไปนั่งอยู่ที่อาคารผู้โดยสาร
ซึ่งระหว่างนั้นตนเองเป็นคนขับวินกะกลางคืน จึงพยามหาผู้โดยสารเพื่อไปส่งต่อ ว่าจะไปโรงแรมหรือไปที่ทางจุดใด ระหว่างนั้นพยายามเข้าไปสอบถามคนก่อเหตุ ที่มีบางช่วงเด็กเด็กอาจจะร้องไห้มาบ้าง แต่คนก่อเหตุถามหารถที่จะต่อไปยังจังหวัดจันทบุรี ซึ่งตนเองบอกว่าเป็นช่วงเวลาที่รถหมด รถจะมีวิ่งรอบอีกทีตอนตี 4 แต่คนก่อเหตุก็อ้างว่าจะนั่งรอ ระหว่างนั้นตัวเองก็เลยทำเนียนเดินวนไปที่ร้านสะดวกซื้อ (7-11) และเดินกลับไปถามอีกครั้งว่าจะให้ไปส่งที่ไหนหรือไม่ เพราะสงสารเด็กที่ต้องมานอนตากยุง แต่คนก่อเหตุก็ยังปฏิเสธ
ช่วงเดียวกันนั้นปรากฏว่าได้คนขับรถมินิบัส ซึ่งเดินเข้ามาบอกกับตนเองว่า ให้ช่วยไปเอาเด็กออกมาจากชายคนดังกล่าว เพราะเนื่องจากเป็นคนที่รักพาเด็กมาจากกรุงเทพ ตนเองจึงทำเนียนเข้าไปทำนั่งพูดคุย และขอดูหน้าเด็ก และใจดีสู้เสือทำนองว่าเป็นย่าเคยเลี้ยงเด็กมาก่อน อยากจะช่วยเลี้ยงระหว่างที่รอรถ และทำทีให้ชายคนดังกล่าว ไปเข้าห้องน้ำก็ได้แล้วตนเองจะเลี้ยงเด็กแทน แต่ชายคนดังกล่าวซึ่งเป็นคนก่อเหตุลักษณะหวงเด็กมาก ไม่อยากให้อุ้มไม่อยากให้แตะ แต่ช่วงที่เด็กเห็นหน้าตนเอง ก็มีลักษณะยิ้ม ซึ่งก็ไม่ได้ร้องไห้ เหมือนหัวเราะมีความสุขที่ได้เจอตนเองมากกว่า
และช่วงเวลาเดียวกันนั้น ผ่านไปไม่นานปรากฏว่าได้มีตำรวจตำรวจบุกเข้ามาจับกุมตัว ซึ่งตอนแรกตนเองเกือบถูกตำรวจจับไปด้วย เพราะเนื่องจากเด็กอยู่ในมือ แต่ก็ได้คุยกับตำรวจว่าเป็นคนเข้ามาช่วยไม่ใช่คนก่อเหตุ ตำรวจจึงได้เข้าไปล็อกตัวพร้อมกับมีการสอบปากคำเบื้องต้น ชายคนก่อเหตุ ก่อนที่จะมีการคุมตัวออกไปจากพื้นที่
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนายเปิ้ล อายุ 55 ปี ปู่ของน้องมาร์ติน ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวานนี้นายน้อย ซึ้งเป็นรุ่นน้องที่ตัวเองชักชวนมาทำงานก่อสร้างได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ได้มาหาตัวเองที่ห้องพัก แล้วขออุ้มน้องมาร์ติน ซึ่งตัวเองก็ให้เขาอุ้มหลานตามปกติ เนื่องจากนายน้อย เป็นคนคุ้นเคยกัน และเคยอุ้มน้องมาร์ติน มาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 4 ระหว่างที่นายน้อย อุ้มหลานชายตัวเองอยู่ ตัวเองก็นั่งอยู่ในห้อง แล้วเขาตะโกนมาว่า จะอุ้มพาหลานชายไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อหน้าปากซอย ซึ้งตัวเองก็ไม่ได้ว่าอะไร จากนั้นนายน้อย ก็เดินกลับไปที่ห้องของเขา โดยบอกว่าจะไปเอาเงิน แล้วเขาก็กลับมาอีกรอบ พร้อมแต่งตัวอย่างดีกว่าปกติ แล้วอุ้มหลานชายตัวเองออกไปหน้าปากซอย
กระทั่งเวลาประมาณ 17.00 น. ภรรยาตัวเองก็ถามหาหลาน ว่านายน้อย ยังไม่เอาหลานมาส่งอีกหรอ ตัวเองจึงตามไปดูที่ห้องนายน้อย ก็ไม่เจอทั้งตัวนายน้อย ทั้งหลานตัวเอง จนเริ่มมาเอะใจ แล้วไปตามหาทั้งซอย ก็ไม่เจอตัว ตัวเองจึงไปแจ้งตำรวจ สน.บางนา และแจ้งไปยังสายไหมต้องรอด กระทั่งทุกหน่วยงานได้ทำงานอย่างรวดเร็ว จนพาตัวหลานชายกลับมาสู่อ้อมกอดตัวเองได้
ตัวเองจำได้ว่า วินาทีแรกที่เจอหลานชาย ตัวเองได้ก้มกราบเท้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อเป็นการขอบคุณตำรวจ และทุกหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเหลือครอบครัวตัวเองในครั้งนี้ ตอนที่เจอหน้าหลาน เขาก็ใสซื่อไม่รู้เรื่อง และจากการสังเกตหลานชายก็ปกติดี ไม่ร้องไห้ ไม่หิวข้าว เพราะตำรวจนำนมมาป้อนหลานชายก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนเรื่องของบาดแผล เท่าที่สังเกตเมื่อคืน ก็ไม่ปรากฏบาดแผลแต่อย่างใด จากนั้นตำรวจก็ถามตัวเองว่าอยากคุยอะไรกับนายน้อยไหม ตัวเองก็ไม่ได้พูดคุยกับเขา และไม่มีอะไรที่จะคุยกับเขา
ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ นายน้อย เคยมาอุ้มน้องมาร์ตินแล้ว 3 ครั้ง และเคยชมว่าน้องน่ารักน่าเอ็นดู แต่เขาก็ไม่เคยพูดทำนองว่าอยากได้เด็กไปเลี้ยง เหตุการณ์ครั้งนี้ ตัวเองจึงไม่เชื่อว่า นายน้อย จะเอาหลานชายไปเลี้ยงดูจริงๆ เพราะลำพังเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะดูแลตัวเองเลย จึงเชื่อว่าเขาน่าจะเอาหลานชายไปขายแน่นอน
เหตุการณ์ครั้งนี้ ถือว่าเป็นบทเรียนให้กับตัวเอง ที่จะต้องดูแลบุตรหล่นอย่างใกล้ชิดกว่านี้ ไม่ปล่อยบุตรหลานไว้กับคนอื่น ตัวเองสัญญาว่าหลังจากนี้ จะดูแลหลานอย่างดีมี่สุด
สำหรับตัวเองและภรรยา เลี้ยงหลานเพราะว่า แม่ของเขาทำงานต่างพื้นที่ นานๆครั้งจะมาเยี่ยมลูก แต่เขาก็โทรศัพท์มาหาทุกวัน