จากกรณีตำรวจกองปราบปราม ได้บุกเข้าจับกุม นายธนวิชญ์ หรือ เพชร อายุ 44 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดทุ่งสง ข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง ซ่อนเร้นอำพรางศพ” ซึ่งนายธนวิชญ์ ถือเป็นตัวการสำคัญในการอุ้มฆ่า นางสุดารัตน์ อายุ 42 ปี ชาวอำเภอช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช โดยเธอนั้นได้หายตัวไปจากบ้านพร้อมรถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ สีขาว เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2566 กระทั่งทราบว่าตัว นางสุดารัตน์ ได้ถูกฆ่าฝังศพอำพรางทิ้งไว้ที่ภูเขาหลังสำนักสงฆ์บ้านเขาล้อม อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ตามที่เคยทำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ย้อนเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 13 มีนาคม 2566 พลตำรวจตรีสมชาย ซื่อต่อตระกูล ผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ได้รับรายงานด่วนจากเจ้าหน้าที่กองกำกับการ 5 กองปราบปราม ว่าพบศพถูกฆาตกรรมฝังทิ้งไว้บนภูเขาในบริเวณบ้านเขาล้อม หลังสำนักสงฆ์เขาล้อม หมู่ 7 ตำบลพรหมโลก อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช หลังจากนั้นจึงพร้อมด้วยพนักงานสอบสวน สภ.พรหมคีรี เจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน แพทย์เวรชันสูตร และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยประชาร่วมใจ เข้าช่วยเหลือกู้ศพ
ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ต้องเดินเท้าและใช้รถจักรยานยนต์ไต่ไปตามหุบเขาสูง เป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาหลวง และพื้นที่ป่าสงวนแต่มีชาวบ้านได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้แต่ดั้งเดิม ตามมติ ครม.41 บริเวณชายป่าริมลำห้วย พบหลุมซึ่งเจ้าหน้าที่ระบุว่ามีศพฝังอยู่ในหลุมดังกล่าว หลังจากที่เจ้าหน้าที่เก็บหลักฐานใกล้เคียงที่เกิดเหตุอย่างละเอียด พบว่ามีจอบสำหรับขุดดินอยู่ห่างจากจุดหลุมศพประมาณ 100 เมตร ในเขตสวนผลไม้ของชาวบ้าน
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เริ่มขุดหลุมศพกลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรงได้โชยออกมา จึงต้องใช้วิธีนำธูปหอมห่อใหญ่มาจุดเพื่อดับกลิ่น ก่อนที่จะเข้าตรวจสอบขุดหลุมศพลึกจากพื้นดินราว 1 เมตร พบศพหญิงอยู่ในชุดเดรสสีเหลืองนอนตะแคงในหลุม ถูกห่อด้วยผ้าห่มผืนใหญ่ สภาพเน่าเปื่อย แพทย์ไม่สามารถระบุเวลาการตายที่ชัดเจนได้ เนื่องจากศพถูกกดทับด้วยน้ำหนักดินและหิน และไม่ชัดเจนสภาพบาดแผลจากการเน่าเปื่อยต้องนำส่งศูนย์นิติเวช เพื่อชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้ง
ส่วนวันนี้ (10 พ.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.ภัทราวุธ อ่อนช่วย ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.ฤทธิชัย ชุมช่วย รอง ผกก.5 บก.ป. ร่วมกันแถลงผลการจับกุม นายธนวิชญ์ หรือเพชร อายุ 44 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดทุ่งสง ข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง ซ่อนเร้นอำพรางศพ” นายไพฑูรย์ หรือ โอ้ต อายุ 38 ปี และ น.ส.อำพิลา หรือ แต้ว อายุ 34 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดทุ่งสง ข้อหา “ร่วมกันรับของโจร” โดยจับกุม นายธนวิชญ์ ได้ในพื้นที่ ต.กระโสม อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ส่วน นายไพฑูรย์ และ น.ส.อำพิลา จับกุมได้ใน จ.กาญจนบุรี
สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2566 ญาติของ นางสุดารัตน์ อายุ 42 ปี ได้เข้าร้องขอความช่วยเหลือตำรวจ สภ.ช้างกลาง จ.นครศรีธรรมราช ว่า นางสุดารัตน์ ได้หายตัวไปจากบ้าน พร้อมรถฟอร์จูนเนอร์ สีขาว จึงร่วมกับ กก.5 บก.ป. ลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านพัก ก่อนพบร่องรอยประตูห้องนอนถูกทำลาย เชื่อว่าการหายตัวไปน่าจะถูกประทุษร้ายต่อชีวิต จึงลงพื้นที่สืบสวนคลี่คลายคดีพบเบาะแสสำคัญว่า รถยนต์ของผู้ตายได้ขับเข้ามาในพื้นที่ จ.กาญจนบุรี มุ่งหน้าไปทางพื้นที่ชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน จากนั้นได้ติดตามยึดรถกลับคืน พร้อมแกะรอยสืบสวนเรื่อยมา กระทั่งทราบว่าตัว นางสุดารัตน์ ได้ถูกฆ่าฝังศพอำพรางทิ้งไว้ที่ภูเขาหลังสำนักสงฆ์บ้านเขาล้อม อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องจำนวน 9 ราย
ส่วนผู้ต้องหากลุ่มนี้มีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มที่ 1 คือกลุ่มลักพาตัวไปฆ่า จำนวน 4 ราย กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มนำรถผู้ตายไปขายประเทศเพื่อนบ้านมีจำนวน 4 ราย ส่วนอีกคนที่เหลือทำหน้าที่ฝังอำพรางศพ ซึ่งก่อนหน้านี้ตำรวจกองปราบได้ร่วมกับตำรวจภูธรภาค 8 จับกุมตัวมาได้แล้วจำนวน 3 รายแบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่อุ้มฆ่า 2 ราย และทำหน้าที่อำพรางศพ 1 ราย จากนั้นได้จับกุมตัว นายธนวิชญ์ ผู้ต้องหาตัวการสำคัญที่ทำหน้าที่เข้าไปอุ้มฆ่า กับ นายไพฑูรย์ และ น.ส.อำพิลา ที่ทำหน้าที่นำรถไปขายประเทศเพื่อนบ้านได้เพิ่มเติมดังกล่าว
สำหรับชนวนเหตุอุ้มฆ่าครั้งนี้ จากแนวทางสืบสวนเชื่อว่า น่าจะเป็นหารฆ่าทวงหนี้ยาเสพติดหรือธุรกิจผิดกฎหมาย เนื่องจากตัวนางสุดารัตน์ ไม่เคยมีปัญหาขัดแย้งกับใคร ประกอบกับก่อนหน้านี้สามีของผู้ตาย ซึ่งเป็นเอเย่นต์ยาเสพติดรายใหญ่ในพื้นที่ภาคใต้ ได้ถูกตำรวจจับกุมตัวไปพร้อมกับยาเสพติดของกลางล็อตใหญ่ รวมถึงจากการตรวจสอบประวัติ นายธนวิชญ์ หนึ่งในผู้ต้องหา พบว่าเคยมีประวัติรับจ้างอุ้มทวงหนี้ และก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลาย จึงเชื่อว่าน่าจะรับงานว่าจ้างจากนายทุนยาเสพติดให้มาก่อเหตุดังกล่าว ถึงแม้จนถึงตอนนี้ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมทั้ง 3 ราย จะยังไม่ยอมเปิดเผยมูลของเหตุการณ์ลงมือก็ตาม
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนางทองก้าน แม่ของนางสุดารัตน์ บอกกับทีมข่าวว่า ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ตนเองไม่เคยลืมเหตุการณ์ที่ลูกสาวเสียชีวิตเลย และเชื่อว่าปมเหตุที่ลูกสาวถูกฆ่าเกิดจากการที่ลูกสาวรักสามีจนตัวเองเดือดร้อน เพราะก่อนที่ลูกสาวจะถูกอุ้มฆ่า สามีของลูกสาวได้ถูกจับคดียาเสพติดไปก่อนหน้านี้ไม่นาน เนื่องจากแอบขนยาเสพติดใส่กระบะไปส่งให้กับเครือข่ายยาเสพติด และแก๊งค้ายาเสพติดบางกลุ่มอาจจะต้องการเงินจากลูกเขย แต่เอาจากลูกเขยไม่ได้เพราะติดคุกไปแล้ว จึงมาเอาจากลูกสาวอุ้มไปทั้งรถ และเอารถเฟอร์จูนเนอร์ของลูกสาวไป
ซึ่งก่อนหน้าจะเกิดเรื่อง ลูกสาวไม่เคยเล่าให้ตนเองและครอบครัวฟังเลย ว่าลูกเขยไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ขนาดลูกเขยโดนจับผ่านไป 1 ปีกว่า ลูกสาวยังไม่บอกตนเองด้วยซ้ำ ทนเลี้ยงลูก 3 คน อยู่คนเดียวไม่บอกทางบ้านจนมาเกิดเหตุ ส่วนที่วันนี้ตำรวจไปจับตัวการสำคัญที่เป็นคนอุ้มฆ่าลูกสาวได้ ตนเองรู้สึกดีใจมากและเชื่อว่าลูกสาวจะได้ไปสู่สุคติเสียที และขอให้คนร้ายทั้งหมด ได้รับโทษประหารชีวิตให้ทรมานเหมือนที่ลูกสาวต้องเจอ
ขณะเดียวกัน ทีมข่าวได้เดินทางไปที่บ้านของพ่อตาและแม่ยายของนางสุดารัตน์ ผู้ตาย เมื่อไปถึงพบว่า แม่ยายและญาติของนางสุดารัตน์ กำลังนั่งอยู่กับเด็ก ๆ ภายในบ้าน โดยทีมข่าวพยายามเข้าไปสอบถามว่า ทราบแล้วหรือยังที่ตำรวจกองปราบสามารถจับกุมตัวคนร้ายคนสำคัญ ที่เป็นคนบุกมาอุ้มนางสุดารัตน์ไปทำร้ายได้แล้ว โดยครอบครัวของนางสุดารัตน์บอกเบื้องต้นว่า พอทราบบ้างแล้ว และขอให้คดีจบลงโดยเร็ว
โดยครอบครัวไม่อยากให้เรื่องนี้มากระทบกระเทือบจิตใจของลูก ๆ นางสุดารัตน์อีก เนื่องจากทุกคนยังเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น โดยลูกของนางสุดารัตน์ทั้งหมด แม่ยายได้นำมาเลี้ยงดูที่บ้านหลังนี้ และแต่ละคนเริ่มโตและรับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ทีมข่าวถามถึงปมเหตุที่นางสุดารัตน์ถูกอุ้มไปฆ่า มาจากสาเหตุใด แม่ยายและญาติ ๆ ไม่ขอที่จะให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว เพียงบอกสั้น ๆ ว่า อยากให้เรื่องนี้จบลงได้แล้ว และไม่อยากให้เด็ก ๆ ที่ดูข่าวต้องมารับรู้เรื่องแบบนี้