คิดได้ไง? ซุกไอซ์ติดแม่เหล็กแปะตามร้านสะดวกซื้อให้ลูกค้า กล้องมีตั้งแต่หน้าร้าน ในร้าน ไม่รอดถูกตำรวจรวบ

วันที่ 12 พ.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.อ.อดิเรก ทองแกมแก้ว ผกก.สภ.บางแก้ว ว่าตำรวจฝ่ายสืบสวนระดมกวาดล้างจับกุมยาเสพติดในพื้นที่ ซึ่งช่วงค่ำคืนของวันที่ 9 พ.ค. 2567 ที่ผ่านมา ได้ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา คือ นายณัฐพงศ์ หรือณัฐ อายุ 39 ปี พร้อมด้วยของกลางจำนวน 14 รายการ โดยของกลางทุกรายการจะเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) ชนิดเกล็ดใสสีขาว บรรจุอยู่ในถุงพลาสติกใสแบบกดปิด-ดึงเปิด และห่ออยู่ในถุงพลาสติกสีเทาอีกชั้นหนึ่ง ติดแม่เหล็ก น้ำหนักชั่งรวมแต่ละถุงประมาณ 1.20 กรัม (น้ำหนักถุงบรรจุหนัก 0.30)

รวมของกลาง 14 รายการ น้ำหนักชั่งรวมถุง 16.37 กรัม โดยกล่าวหาว่า จำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ไอซ์) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายอันเป็นการกระทำเพื่อการค้า

พ.ต.อ.อดิเรก ทองแกมแก้ว ผกก.สภ.บางแก้ว ระบุว่า สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้รับแจ้งจากสายลับว่ามีชายไทยชื่อ ณัฐ อายุประมาณ 35-40 ปี สูงประมาณ 180 ซม. ผิวขาว มีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายยาเสพติด โดยจะนำยาเสพติด(ไอซ์)ห่อในถุงพลาสติก พันด้วยแม่เหล็กนำไปแปะไว้ตามตู้เติมเงินบริเวณ หน้าร้านสะดวกซื้อต่างๆ ตามเส้นทางถนนกิ่งแก้ว ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ทั้งเส้น โดยจะใช้รถยนต์ยี่ห้อฮอนด้า สีบรอนซ์ทอง เป็นยานพาหนะ

ต่อมาวันที่ 9 พ.ค. 2567 ได้รับแจ้งจากสายลับแจ้งว่า นายณัฐ จะนำยาเสพติดมาแปะที่หน้าร้านสะดวกซื้อ ปากซอยกิ่งแก้ว 43 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และได้ร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบสถานที่ดังกล่าว เมื่อไปถึงได้วางกำลังซุ่มอยู่รอบบริเวณร้านสะดวกซื้อดังกล่าว รวมประมาณ 9 ชม.

ต่อมา ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังซุ่มอยู่นั้น พบรถยนต์ตรงตามที่สายลับแจ้ง ขับมาจอดที่บริเวณริมถนน โดยขับเลยร้านสะดวกซื้อไปประมาณ 20 เมตร และมีชายคือนายณัฐพงศ์ หรือณัฐ ได้ลงมาจากรถ มีตำหนิรูปพรรณตรงตามที่สายลับแจ้ง และเดินมายังร้านสะดวกซื้อดังกล่าว โดยเดินไปยังบริเวณตู้เติมเงินโทรศัพท์ตรงหน้าร้านสะดวกซื้อ จากนั้นได้นำสิ่งของบางอย่างแปะไว้บริเวณใต้ตู้เติมเงินดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมทั้งแสดงบัตรตำรวจและแสดงบัตร ป.ป.ส. ให้นายณัฐพงศ์ดู

จากการสอบถามนายณัฐพงศ์ หรือณัฐ ว่านำอะไรไปแปะไว้ที่ตู้เติมเงิน นายณัฐพงศ์ให้การยอมรับว่าตนเองได้นำยาไอซ์แปะไว้ที่ตู้เติมเงิน เจ้าหน้าที่จึงได้ตรวจสอบ พบของกลางลำดับที่ 1 แปะอยู่จริงตรงตามที่นายณัฐพงศ์บอก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ขอตรวจค้นตัว โดยก่อนตรวจค้นตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายได้แสดงความบริสุทธิ์ใจให้นายณัฐพงศ์ดูจนเป็นที่พอใจแล้ว ก่อนที่จะเริ่มตรวจค้นตัว

ได้สอบถาม นายณัฐพงศ์ ว่ามีสิ่งของผิดกฎหมายเหลืออยู่อีกหรือไม่ ซึ่งนายณัฐพงศ์ ให้การยอมรับว่า มียาไอซ์อยู่ในตัวอีก พร้อมกับล้วงเอาไอซ์ดังกล่าวออกมามอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมด้วยตนเอง เมื่อตรวจสอบพบของกลางลำดับที่ 2-5 อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังขวามือตัวที่นายณัฐพงศ์ สวมใส่อยู่ขณะทำการตรวจค้นจับกุม

และนายณัฐพงศ์ ยังยอมรับอีกว่า มียาไอซ์ซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์ที่ตนขับมาอีก พร้อมกับได้พาเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่รถยนต์คันดังกล่าว เมื่อไปตรวจสอบพบของกลางลำดับ 6-11 พบซุกซ่อนอยู่ภายในประตูรถยนต์คันที่ขับมาจอดฯ ที่ด้านขวามือฝั่งคนขับ ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สอบถามว่า ก่อนนำไอซ์มาแปะที่ร้านสะดวกซื้อดังกล่าว ได้นำยาไอซ์ไปแปะที่อื่นอีกหรือไม่ นายณัฐพงศ์ให้การยอมรับว่า ก่อนจะนำยาไอซ์มาแปะที่จุดนี้ ได้แวะนำยาไอซ์ไปแปะที่ร้านสะดวกซื้อ ปากซอยกิ่งแก้ว 37 พร้อมกับนำเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบยังร้านสะดวกซื้อดังกล่าว เมื่อไปถึงนายณัฐพงศ์ ได้พาเจ้าหน้าที่ไปยังจุดที่แปะยาไอซ์ ไว้ตามจุดต่างๆ ภายในร้านสะดวกซื้อฯ โดยพบของกลางลำดับที่ 12 ซุกซ่อนโดยแปะอยู่ใต้ชั้นวางแยมภายในร้านสะดวกซื้อ พบของกลางลำดับที่ 13 ซุกซ่อนโดยแปะอยู่ใต้ชั้นวางโซดา และพบของกลางลำดับที่ 14 ซุกซ่อนโดยแปะอยู่ใต้ชั้นวางอาหารสุนัข

รวมไอซ์ของกลาง ทั้งหมด 14 รายการ น้ำหนักรวม 16.37 กรัม

จากการสอบถามนายณัฐพงศ์ ให้การรับสารภาพว่า ยาเสพติดทั้งหมดที่ตำรวจตรวจค้นพบนั้นเป็นของตนเองจริง ที่ซื้อมาจาก เจ๊นัน (ไม่ทราบ ชื่อ-สกุลจริง ) อายุประมาณ 45-50 ปี พักอยู่ที่ชุมชนล็อค 1 แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กทม. ซึ่งตนรู้จักกันมาประมาณ 5-6 ปี โดยซื้อไอซ์ในราคากรัมละ 400 บาท นำไปขายต่อในราคากรัมละ 800 บาท เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ตรวจยึดไว้เป็นของกลาง พร้อมทั้งได้แจ้งข้อกล่าวหาแจ้งสิทธิให้ผู้ถูกจับ ผู้ถูกจับเข้าใจข้อกล่าวหา และสิทธิต่างๆดีแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวผู้ถูกจับพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน สภ.บางแก้ว เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ล่าสุด มีรายงานตำรวจขยายผลติดตามยึดทรัพย์เพิ่ม รวมกว่า 1 ล้านบาท