กรณีเมื่อเวลา 16.00 น. ของ วันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา ตำรวต สภ.ระเบาะไผ่ อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ได้รับแจ้งพบรถกระบะถูกจอดทิ้งเอาไว้ ภายในไร่มันสำปะหลังที่กำลังปลูกใหม่ ซึ่งรถพบร่างของ ด.ต.สกล หรือ ดาบโก้ อายุ 43 ปี ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว.อำนาจเจริญ เคยเป็นตำรวจประจำที่ สภ.ระเบาะไผ่ มาก่อน (อยู่ระหว่างย้ายมาปฎิบัติราชการในพื้นที่ระเบาะไผ่อีกครั้ง) และภายในรถยังพบศพนางจันทร์สอน อายุ 25 ปี ภรรยาชาวลาว ถูกยิงด้วยอาวุธปืนหลายนัด


ซึ่งต่อมามีการจับกุมกลุ่มครอบครัวผู้ต้องหา คือ นายชัยวิชิต (ต่าย) อายุ 43 ปี (พ่อ) และ น.ส.ธัญญา (แม่) นายพิชิตพงศ์ อายุ 23 ปี (ลูก) และ นายธรรมรัตน์ (ผู้ร่วมขบวนการ) โดยปมเหตุคาดว่ามาจากดาบโก้มีการจับกุมแก๊งค้าน้ำมันเถื่อน ซึ่งก่อนเกิดเหตุนางจันทร์สอน เมียท้องของดาบโก้ได้ส่งโลเคชั่นไปหาเพื่อนตำรวจของสามี เพื่อขอความช่วยเหลือเนื่องจากได้ยินเสียงปืนดังขึ้น หลังดาบโก้ลงไปคุยกับใครก็ไม่รู้ พอเพื่อนตำรวจมายังตำแหน่งที่เมียของดาบโก้ส่งมา ปรากฏว่าไม่พบทั้งรถและคน ก่อนที่สุดท้ายจะไปพบรถของดาบโก้จอดอยู่ห่างจากจุดที่ปักหมุดไว้ 3 กิโลเมตร พร้อมศพทั้งคู่

 


ล่าสุดวันนี้ (14 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางย้อนกลับไปบ้านของนายชัยวิชิต หรือ ต่าย หลังจากกรณีเมื่อวานที่ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ไป และพบว่าบ้านหลังดังกล่าวมีลักษณะแกลลอนน้ำมัน ถังน้ำมัน และหัวจ่ายน้ำมัน วางอยู่ข้างบ้านในที่ดินของนายชัยวิชิต แต่ทางคนงานยืนยันกับทีมข่าวว่า เป็นอุปกรณ์เก่าซึ่งปัจจุบันเลิกใช้ไปแล้ว แต่ปรากฏว่าวันนี้พอทีมข่าวย้อนกลับไปที่บ้านหลังดังกล่าวอีกครั้ง สังเกตว่าบริเวณถังน้ำมัน แกลลอนน้ำมัน


รวมถึงจ่ายเก่าสีขาวซึ่งมีการเขียนข้อความติดว่าดีเซล ที่เมื่อวานจากเดิมที่มีการตั้งวางเอาไว้ที่ที่ลานข้างบ้าน แต่วันนี้ถังน้ำมันหายไป 1 ถัง ซึ่งเดิมที่มีบรรจุน้ำมันอยู่ภายใน แต่พบว่าวันนี้หายไป ส่วนหัวจ่ายน้ำมันสีขาวติดข้อความดีเซล จากเมื่อวานนี้ที่เห็นตั้งสง่าอยู่ข้างถังน้ำมัน วันนี้พบว่ามีการจับวางลงกับพื้นพ้นสายตา และระหว่างนั้นยังสังเกตว่า คนในบ้านทยอยมีการเก็บอุปกรณ์ และสิ่งบ่งชี้ว่าจะเป็นการทำธุรกิจเกี่ยวกับน้ำมัน เพื่อที่จะยกเก็บเข้าไปภายในบ้านไม่ให้สื่อเห็น




ด้าน นายสุเมฆ หรือเมฆ อายุ 52 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ ในฐานะคนรู้จักกับนายชัยวิชิต และในฐานะกลุ่มขับเคลื่อนต่อต้านโรงงานเถื่อน เผยว่า ตัวของนายชัยวิชิต เป็นคนที่อัธยาศัยดี และไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะไปก่อเหตุยิงตำรวจและภรรยาตายแบบนี้ ส่วนตัวก็เสียใจที่ตัวของนายชัยวิชิตไปทำแบบนั้น เพราะมีการก่อเหตุไปยิงภรรยารวมถึงลูกในท้องของเขาด้วย


แต่สำหรับในมุมที่ตัวเองรู้จัก ยอมรับว่าตัวของนายชัยวิชิต เป็นส่วนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มเครือข่ายชาวบ้านในพื้นที่ละแวกแถวโรงงาน ที่มีการสร้างโรงงานกำจัดขยะ ซึ่งทำให้เกิดควันพิษและกลิ่นเหม็น จนเป็นเหตุทำให้ชาวบ้านนอนไม่หลับเวลาที่มีการเผาทำลายขยะรีไซเคิล และในพื้นที่มีทั้งหมด 5 โรงงาน โดยตัวของนายชัยวิชิตก็เป็นหนึ่งในตัวแทนที่มีการขับเคลื่อนเรื่องนี้ พร้อมกับให้การสนับสนุนกับชาวบ้านในพื้นที่ เพื่อที่จะขับเคลื่อนต่อต้านกลุ่มโรงงานเถื่อน ที่มีการแอบเปิดไม่ถูกต้อง แต่ก็เข้าใจว่าโรงงานเหล่านี้ก็อาจจะมีส่วนได้เสียกับบางหน่วยงานและบางบุคคล




ส่วนกรณีเรื่องของการทำธุรกิจของนายชัยวิชิต ก่อนหน้านี้เจ้าตัวเคยทำธุรกิจเกี่ยวกับรับซื้อน้ำมันจากรถบรรทุกบรรทุก และมีการขายถูกในตลาด แต่ปัจจุบันเจ้าตัวบอกว่ามีการเลิกกิจการและกำลังย้ายกลับไปอยู่บ้านในพื้นที่ลพบุรีและสระบุรีแล้ว ส่วนตัวก็เห็นว่ามีแต่อุปกรณ์ที่ตั้งวางอยู่แต่ไม่ได้มีการใช้งาน ประกอบกับไม่ได้เห็นมีการทำมาหากินในพื้นที่อีก จึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้นที่มีการไปเผชิญหน้ากับตำรวจ


อย่างไรก็ตาม สำหรับการแถลงข่าวของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ระบุว่า ตัวของนายชัยวิชิตมีการกระทำที่มีการรับซื้อน้ำมัน จากนั้นดาบโก้เข้ามาพบเจอจึงได้มีการขอตรวจค้นและแสดงตัวจับกุม จนเป็นเหตุทำให้มีการยิงกันนั้น ตนเองบอกว่าเรื่องดังกล่าวก็ยังไม่สมเหตุสมผล เพราะเข้าใจว่าตัวของนายชัยวิชิตมีการเลิกกิจการไปแล้ว ประกอบกับตัวของดาบตำรวจมีเพียงคนเดียว คงไม่สามารถที่จะแสดงตัวจับกุมได้ เพียงลำพัง จึงเชื่อว่าอาจจะมีอะไรเบื้องลึกมากกว่านั้นหรือไม่




ทั้งนี้ ความคืบหน้าคดีที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการแถลงไปนั้น โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เผยว่า จากการรวบรวมพยาน ทราบว่าดาบโก้ที่เสียชีวิต เดินทางมาหาเพื่อนที่สภ.ระเบาะไผ่จริง ในเป็นวันหยุดราชการ แต่ระหว่างที่ออกไปทานข้าวพร้อมกับภรรยา ที่ตั้งครรภ์อยู่ 6 เดือน โดยใช้เส้นทางที่เป็นถนนชนบท ซึ่งดาบโก้เคยรับราชการเป็นตำรวจอยู่ที่ สภ.ระเบาะไผ่ ก็จะมีความคุ้นชินกับเส้นทาง เมื่อขับรถมาตรงถึงที่เกิดเหตุปรากฎว่าพบเห็นรถเทรลเลอร์ รถกระบะและรถจักรยานยนต์ จอดอยู่ในลักษณะที่เชื่อว่ากำลังลักลอบสารเอทานอล ซึ่งเป็นสารที่ใช้ประกอบทำน้ำมันเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ จึงแสดงตัวเป็นตำรวจ




ระหว่างนั้นทั้ง 2 ฝ่าย อาจมีการตอบโต้กัน จนทำให้เกิดความไม่พอใจ จึงเป็นชนวนเหตุการฆาตกรรม ซึ่งมือยิงคือนายชัยวิชิต หรือ ต่าย ได้รับสารภาพก่อนจะลงมือยิงว่าตัวเองพยายามที่จะไล่ดาบโก้ออกไปจากพื้นที่ที่กำลังมีการกระทำความผิด แต่ด้วยสัญชาตญาณความเป็นตำรวจจึงไม่ยินยอม จึงมีการชักอาวุธปืนออกมา จึงทำให้นายต่ายยิงเข้าใส่ดาบโก้ แล้วเมื่อรู้ว่ามีภรรยาอยู่ในรถอีกหนึ่งคนจึงใช้อาวุธปืนของดาบโก้ยิงเข้าไปที่ภรรยาจนเสียชีวิต


จากนั้นกลุ่มผู้ก่อเหตุมีการแบ่งหน้าที่กัน ทั้งทำลายหลักฐานทั้งทุบโทรศัพท์มือถือของดาบโก้ และภรรยา อาวุธปืน รวมถึงสถานที่อำพรางศพ ซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุถึง 3 กิโลเมตร ส่วนอาวุธปืนได้มีการนำไปซุกซ่อนไว้ที่บ้านของนายธรรมรัตน์ เป็นหนึ่งในผู้ต้องหาด้วย ซึ่งเป็นพฤติกรรมส่อเจตนาชัดเจนว่าต้องการที่จะหลบหนีความผิด ส่วนผู้ต้องหาที่เป็นมือยิงและดาบโก้เคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่นั้น ยืนยันว่าไม่ได้รู้จักกันมาก่อน


และเมื่อ 19.00 น. ที่ผ่านมา ภายหลังรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้มีการตรวจสอบเกี่ยวกับเส้นทางของน้ำมัน บ่อน้ำ ที่มาของอาวุธปืน รวมทั้งวัตถุระเบิดที่ตรวจพบ จากพฤติกรรมและการครอบครองของนายชัยพิชิตหรือต่าย




เบื้องต้นตำรวจพิสูจน์หลักฐานยังคงเข้าตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งได้เข้าไปเจอกับนายชัยวิชิตเพื่อขอตรวจและเก็บดีเอ็นเอเพิ่ม เพื่อเชื่อมโยงเกี่ยวกับวัตถุพยานหลักฐาน และรวมถึงอุปกรณ์และสิ่งเกี่ยวข้องกับน้ำมัน ตามคำสั่งของรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ


และนอกจากนี้ยังสังเกตว่า มีการเชิญคนใกล้ชิดและรวมถึงลูกน้องของนายชัยวิชิต เข้ามาตรวจดีเอ็นเอเพิ่มเพื่อเก็บรอยนิ้วมือ รวมถึงผลทางนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อเชื่อมโยงเกี่ยวกับถังน้ำมันและอุปกรณ์น้ำมัน ตามที่มีการตรวจพบ


และช่วงค่ำวันเดียวกันนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่บริษัทรถขนส่งแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ใจกลางอำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี โดยพบว่าเป็นบริษัทของรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป และรวมถึงรถเทรลเลอร์ และเป็นจุดรายงานเป้าหมายของชุดสืบสวน ที่ทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำน้ำมันไปขายให้กับนายชัยวิชิต หรือ ต่าย มือปืน ก่อนที่จะเจอกับดาบโก้แล้วก่อเหตุยิงดาบโก้และภรรยาเสียชีวิต




ทันทีที่ทีมข่าวเดินทางไปถึงเมื่อช่วงค่ำ ปรากฏว่าทางเข้าซึ่งเป็นลานดิน ก่อนที่จะไปเจอกับประตูรั้วทางเข้าด้านใน พบว่ามีการตัดกิ่งไม้และต้นไม้มาวางปิดทางเข้า-ออกเอาไว้ ซึ่งทีมข่าวสังเกตว่ายังคงเป็นต้นไม้ที่เพิ่งตัดได้ไม่ถึง 10 นาที ก่อนทีมข่าวไปถึงยังพบรอยยางของต้นไม้ อีกทั้งยังพบว่าต้นไม้ยังมีลักษณะเขียวและสด ซึ่งยังไม่ได้เหี่ยวเฉาแต่อย่างใด ดังนั้นตามข้อมูลของชาวบ้านในพื้นที่ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า หลังจากที่มีการเชื่อมโยงเกี่ยวกับการเปิดประเด็นหาที่มาของน้ำมัน ปรากฏว่ามีสายรายงานให้จุดดังกล่าวรับทราบ จึงได้มีคนตัดต้นไม้มาวางปิดทางเข้าเพื่อไม่ให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปตรวจสอบภายใน


ด้าน นางวันดี (นามสมมติ) อดีตคนงาน เผยว่า บริษัทรถบรรทุกซึ่งอยู่ใจกลางของศรีมหาโพธิ์ บริษัทดังกล่าว เป็นบริษัทที่ตัวเองรู้จักและเคยผ่านงานมาแล้ว โดยเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในพื้นที่ และมักจะมีการขายน้ำมันให้กับนายชัยวิชิต มือปืน โดยการขายนั้นเรียกได้ว่าเถ้าแก่หรือนายจ้างจะไม่ทราบ หรือรู้ขบวนการ ว่ามีการลักลอบหรือขายให้กับใคร เพราะตัวของเถ้าแก่จะทำทีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หากไม่ขาดทุนหรือเข้าตัวร้อยเปอร์เซนต์ก็จะไม่ดิ้น




แต่สำหรับกลุ่มที่เป็นคนขับรถบรรทุก ทั้งหมดจะทำกันเป็นธรรมเนียม หากมีใครแตกแถวหรือไม่ทำถึงขั้นถูกกระทืบ โดยก่อนหน้านี้มีคนที่ตนเองรู้จัก ซึ่งเพิ่งเข้ามาเข้ามาทำงานใหม่ ไม่ยอมนำน้ำมันไปขาย ไม่ทำตามแถว ลักษณะแตกแถว ถูกกระทืบถึงขั้นสาหัส ดังนั้นการที่ใครเข้ามาอยู่ในวงการนี้ ก็ต้องทำกันเป็นขบวนการ และทำเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ


ส่วนใหญ่การขายจะเรียกว่า "ลูกหมู" หรือ 1 ถังแกลลอน 20 ลิตร โดยทุกครั้งที่มีการเติมในการบรรทุกของออกจากบริษัทจะได้น้ำมันคนละ 80 ลิตร หรือมีการเติมน้ำมันระหว่างทางจนกระทั่งเต็ม 80 ลิตร แต่หลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจ ก่อนเข้าสู่ปลายทางหรือบริษัท ก็จะมีการนำน้ำมันออกจากตัวถังโดยการดูด ซึ่งส่งต่อให้กับลูกน้องหรือกลุ่มของนายชัยวิชิตระหว่างทางก่อนเข้าบริษัท โดยมีการดูดจำนวน 20 ลิตร


และสำหรับในมุมของผู้ที่อยู่ในวงการแอบขายน้ำมัน ยอมรับว่าการที่ดาบโก้มีการไปพบเจอและมีการตรวจนอกพื้นที่ และพบเห็นการกระทำผิด จึงเข้าใจว่าอาจเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยที่ไม่ได้มีการเรียกพวก จึงทำให้เจ้าตัวถึงแก่ชีวิตเพราะไม่ทันระวังตัว และไม่คิดว่ากลุ่มลักลอบขายน้ำมันหรือคนที่แอบซื้อน้ำมันจะมีอาวุธปืน

 

ช่อง 8 กัดไม่ปล่อย! แฉขบวนการน้ำมันเถื่อน จับพิรุธ รถขนน้ำมันล่องหน