จากกรณีในโลกโซเซียลได้มีการเผยแพร่คลิปภาพสถานที่แห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี ว่าสามารถรักษาโรคได้ทุกโรคและอาการเจ็บปวดได้ โดยใช้ญาณและฌาน โดยมีอาจารย์และน้องหญิง เป็นผู้รักษา นั้น
ล่าสุด (16 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ไปยัง "สำนักธรรมสุขาวดี" อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ตั้งอยู่ในเนื้อที่ 11 ไร่ รายล้อมด้วยสวนยางพารา มีการสร้างศาลาสำหรับใช้รักษาคน รวมถึงเพิงพักอาศัย ส่วนใหญ่วัสดุทำจากไม้ไผ่ หลังคามุงด้วยหญ้าคา ขณะที่บริเวณโดยรอบ มีการปลูกต้นไม้เเละพืชผักสวนครัวไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างความร่มรื่น นอกจากนี้บริเวณใกล้เคียง ยังพบว่ามีพระธุดงค์สายกรรมฐาน ได้มาสร้างกุฏิอยู่ใกล้ ๆ กับสำนักดังกล่าวด้วย
และภายในสถานที่แห่งนี้จะมีการติดป้ายในลักษณะเดียวกัน คือ “ไม่ครัทธา ไม่ต้องรักษาไม่หาย ศรัทราเท่านั้นจิงพบปฏิหาริย์ ศรัทธาต่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้า 5 พระองค์” รวมทั้ง ป้ายข้อความ “ไม่เชื่อ : ไม่หาย ไม่ศรัทธา : ไม่หาย ไม่นอบน้อม : ไม่หาย มีแต่สงสัย : ไม่หาย ไม่เชื่อเรื่องเวร-กรรม (ไม่ต้องมารักษา)”
ขณะเดียวกันวันนี้พบว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดอุดร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สำนักพระพุทธศาสนา เเละเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ลงพื้นที่มาตรวจสอบเเละเก็บข้อมูลเรื่องวิธีการ ขั้นตอนการรักษาโรคภัยต่าง ๆ โดย "อาจารย์" เเละ "น้องหญิง" (ไม่เปิดเผยชื่อทางโลก) ผู้ซึ่งเป็นเจ้าสำนักเเละทำหน้าที่รักษาคน ได้ออกมาต้อนรับเจ้าหน้าที่ พร้อมกับได้อธิบายขั้นตอนเเละวิธีการรักษาให้กับเจ้าหน้าที่ฟัง ว่าการรักษารักษาด้วยคลื่นบุญนี้ เป็นศาสตร์ที่เพิ่งถูกค้นพบ เป็นการใช้พลังบวกรักษาอาการเจ็บป่วย ใช้กฎการสั่นสะเทือนของนิวตัน ถ่ายทอดพลังบวกจากภายในสู่ภายนอก ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ หรือที่เรียกว่า "องค์พ่อ" เป็นผู้ส่งพลังให้ เเละอนุญาตให้ตนทั้งสองทำหน้าที่ช่วยเหลือคน สามารถรักษาได้ทุกโรค ทุกอาการ เเม้กระทั่งโรคมะเร็งก็รักษาได้
เเต่ผู้ที่จะมารักษาจะต้องเปิดใจก่อน คือ "มีความศรัทธา" "คิดบวก" "มีพรหมวิหาร 4" "รักษาศีล 5" เเละที่สำคัญต้อง "ไม่พูดคำหยาบ" พูดจาต้องมีหางเสียง เวลาพูดคุยกับอาจารย์ต้องมีหางเสียง หากเป็นผู้ชายต้องลงท้ายด้วย "ครับ" ส่วนผู้หญิงให้มีคำลงท้ายว่า "เจ้าค่ะ" ถ้าหากปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวไม่ได้ หรือขาดข้อหนึ่งข้อใดไป คลื่นพลังจะหาย การรักษาจะไม่ได้ผล ซึ่งขั้นตอนการรักษานั้นจะต้องลงทะเบียน เเละต้องผ่านการอบรม จากนั้นอาจารย์ก็จะเช็กกรรมให้ ว่าเจ็บป่วยด้วยสาเหตุใด จึงจะเริ่มใช้พลังในการรักษา โดยองค์พ่อจะถ่ายทอดพลังผ่านตัวอาจารย์ทำให้เกิด "เสียงสะอื้น"
"อาจารย์น้องหญิง" อ้างว่า เมื่อก่อนอยู่ที่จังหวัดหนองคาย เเละเดินทางไปรักษาผู้ป่วยมาเเล้วทั่วประเทศ ไม่ต่ำกว่าหมื่นคน ส่วนสำนักเเห่งนี้เพิ่งมาอยู่ได้ 2 ปี เนื่องจากมีผู้มีจิตศรัทธาบริจาคที่ดินให้ ตั้งใจช่วยคนโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ระหว่างที่มีการบรรยายนั้น เจ้าหน้าที่ได้ซักถามข้อสงสัย ว่าการรักษาด้วยวิธีนี้ วัดผลสัมฤทธิ์จากอะไร จะพิสูจน์ยังไงว่าการรักษาได้ผล "อาจารย์น้องหญิง" ระบุว่าการรักษาทุกเคสจะมีการติดตามผล มีทั้งคนที่รักษาหายเเละรักษาไม่หาย ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่กล่าวมา เเต่คนที่รักษาหายจะมีมากกว่า
นอกจากนี้ยังอ้างว่า ตอนนี้กำลังทำวิจัยเรื่อง "การรักษาด้วยคลื่นพลังบุญ ด้วยญาณด้วยฌาณของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์" ซึ่งงานวิจัยดังกล่าวทำร่วมกับอาจารย์ท่านหนึ่งของมหาวิทยาลัยในจังหวัดสงขลา โดยอ้างว่า อาจารย์ท่านนี้เคยเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม มารักษากับอาจารย์จนหาย เเล้วเกิดความศรัทธา จึงทำงานวิจัยนี้ขึ้นมา
เจ้าหน้าที่ยังถามอีกว่า ตัวอาจารย์ช่วยรักษาเเบบไม่มีค่าใช้จ่าย เเล้วเอาเงินจากไหนมาใช้จ่ายในสำนักเเห่งนี้ อาจารย์น้องหหญิง อ้างว่าปลูกข้าวปลูกผักทานกันเอง หากถามว่ามีคนบริจาคให้บ้างหรือไม่ น้องหญิงยอมรับว่า "ก็มีบ้าง เเต่ไม่ได้มากมายอะไร เพราะคนส่วนใหญ่ที่มารักษา ก็ไม่ใช่คนร่ำรวยอะไร ส่วนมากคนที่บริจาคให้ก็จะเป็นคนที่เคยมารักษาแล้วหาย จนเกิดความศรัทธา"
จากนั้นทีมข่าวช่อง 8 จึงได้ขอให้อาจารย์และอาจารย์น้องหญิง ช่วยใช้ญาณรักษาอาการ ปวดคอและปวดหัวให้ โดยขั้นตอนแรกทีมงานก็จะให้ทีมข่าวลงทะเบียนพร้อมกับระบุอาการที่ตนเองเป็น จากนั้นก็ให้เข้าสู่ขั้นการอบรม ซึ่งก่อนรักษาจะต้องมีการเข้าอบรมทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยรักษามาแล้ว หรือเป็นคนใหม่ที่เพิ่งเข้ามา โดยขั้นตอนนี้ทีมงานจะทำการสอบถามกับพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ว่าอนุญาตให้ทำได้หรือไม่ ซึ่งผลปรากฏว่าพระพุทธเจ้า 5 พระองค์อนุญาตให้ทีมข่าวเข้าไปทำการรักษาได้
จากนั้นก็จะเป็นขั้นตอนของการรักษาโรค ซึ่งการรักษาโรคจะอยู่ภายในโดมขนาดใหญ่ โดยจะให้ทีมข่าวหันหน้าเข้าอาจารย์ โดยระหว่างที่อาจารย์ใช้ฌานในการสื่อสารกับพระเจ้า 5 พระองค์ โดยผ่านไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นสื่อกลางระหว่างพระเจ้า 5 พระองค์ ก็มีเสียงสะอื้น “กึ๊ด ๆ” (เสียงคล้ายหมูร้อง) ผ่านจมูก ทีมข่าวช่อง 8 ถึงกับกลั้นขำไม่ไหว อาจารย์จึงได้บอกว่าทีมข่าวว่า จิตยังไม่นิ่ง ฌานไม่มี จึงยังไม่สามารถรักษา จะต้องทำการท่องบทขอขมาพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ตามอาจารย์จนกว่าฌานจะเปิด
ต่อมาอาจารย์ได้ใช้ฌานรักษาอาการปวดคอให้กับทีมข่าวช่อง 8 โดยใช้ไม้ศักดิ์สิทธิ์สแกน รอบแรกที่สแกน อาจารย์มีเสียง “กึ๊ด ๆ” ผ่านจมูก จากนั้นก็จะให้เราตรวจสอบดูอาการว่าอาการเราดีขึ้นไหม ซึ่งปรากฏว่า อาการปวดคอยังไม่ดีขึ้น ทันทีที่ทีมข่าวบอกว่าอาการยังไม่ดีขึ้น อาจารย์ก็อ้างว่าเพราะไม่เคารพ ไม่ศรัทธา จึงไม่มีฌาน
จากนั้นอาจารย์ก็ทำพิธีเช่นเดิม ก่อนจะอ้างว่า ที่อาการปวดคอยังไม่หายดี เพราะมีเจ้ากรรมนายเวร เป็นสัตว์ที่มาจากนอกโลก ซึ่งในระหว่างทำพิธีรอบ 2 ปรากฏว่าทีมข่าวก็ยังไม่รู้สึกหาย อาจารย์ก็จะบอกกับทีมข่าวว่า เพราะทีมข่าวสาธุถูกวิธีและพูดไม่เสียงดัง จึงทำให้ฌานออกจากร่างของอาจารย์ จึงทำให้รักษาไม่ได้ ก่อนจะเลิกทำพิธี ซึ่งตลอดการทำพิธีทีมข่าวพยายามกลั้นขำไว้ตลอด เพราะไม่ยังไง ก็จะต้องท่องบทขอขมาและสาธุไปเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ในระหว่างที่อาจารย์ทำพิธีให้กับทีมนักข่าวอีกทีม (อมรินทร์) ที่เข้าไปทำพิธีที่สำนักเช่นกัน ปรากฏว่าทำยังไงก็ไม่หายขาด แต่อยู่ ๆ อาจารย์ก็ชี้มาที่นักข่าวช่อง 8 ก่อนจะบอกว่าทั้งคู่เป็นเจ้ากรรมนายเวรกัน จากนั้นอาจารย์ก็เอาน้ำดื่มมาสองขวดก่อนจะทำน้ำมนต์ จากนั้นก็ให้ทีมข่าวทั้งสองที่เรียกว่า เป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกันดื่มจนกระทั่งมีเสียง “กึ๊ด ๆ” ออกมาจากจมูกอาจารย์ จึงจะแปลว่าเป็นการแก้กรรมต่อกันแล้ว ก่อนที่ภายหลังทีมข่าวจะสอบถามว่า การทำพิธีของทีมข่าวช่อง 8 ทำไมยังไม่หายดี ซึ่งอาจารย์และน้องหญิงอ้างว่าเพราะยังทำพิธีไม่จบ
จากนั้น อาจารย์น้องหญิง ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวถึงความมาในการก่อตั้งสำนักแห่งนี้ โดยได้เล่าย้อนกลับไปว่าเมื่อ 2 ปี ที่แล้ว ตนรู้สึกป่วยและไม่สบาย หลังจากนั้นก็มีปัญหากับคนรอบข้างรู้สึกว่าไม่มีใครรัก จึงหัดทำสมาธิเพื่ออยู่กับตัวเอง จนกระทั่งได้เจอกับอาจารย์อยู่ที่จังหวัดหนองคาย หลังจากนั้นก็เกิดความรู้สึกเคมีตรงกัน จึงได้ชักชวนกันเข้าไปในป่า เพื่อแสวงหาโมกธรรมและฝึกจิตใจ เพื่อที่จะออกมาช่วยมวลมนุษยชาติ ซึ่งในระหว่างนั้นตนและอาจารย์ก็ได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือคนป่วย ซึ่งก็มีคนที่ศรัทธาและบางส่วนก็มองว่าบ้า แต่ตนก็ไม่ย่อท้อ เพราะจุดมุ่งหมายคือต้องการช่วยเหลือสรรพสัตว์และมนุษย์ทั่วโลก
ส่วนสำนักแห่งนี้หลังจากที่ตนได้ไปรักษาที่อำเภอสังคมจังหวัดหนองคาย และมีผู้มารักษาอาการป่วยหอบหืดเบาหวาน แล้วเกิดหายดี จึงศรัทธาและได้มอบที่ดิน 11 ไร่แห่งนี้ เพื่อให้อาจารย์มาตั้งสำนัก โดยตนไม่ได้เก็บค่ารักษาแต่อย่างใด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นลูกศิษย์ที่รักษาหายก็จะถวายเป็นสิ่งของ โดยเฉพาะไฟโซลาร์เซลล์ และการสร้างสำนักที่พักให้คนที่มารักษาได้พักอาศัย
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้มีการสอบถามอาจารย์ ว่าศาสตร์การรักษาของสำนักที่นี่คล้ายกับการเชื่อมจิตของอาจารย์น้องไนซ์หรือไม่ ซึ่งน้องหญิงได้หันไปถามอาจารย์ว่าองค์พ่ออนุญาตให้พูดไหม ซึ่งอาจารย์ก็สัมผัสองค์พ่อและมีเสียง “กึ๊ด ๆ” ผ่านจมูก ก่อนจะบอกน้องหญิงว่าไม่อนุญาตไม่พูดถึง จึงไม่ขอออกความคิดเห็นในเรื่องนี้ บอกเพียงแต่ว่าศาสตร์ของตนเองนั้นเป็นการสอน ให้คนมีสมาธิอยู่ในศีลธรรม ทำความดี และศาสตร์การรักษาของตนเองเป็นการส่งคลื่นฌาน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าศาสตร์ควันตั้ม เป็นการส่งพลังคลื่นสั่นสะเทือนเข้าไปรักษา ซึ่งคลื่นนี้มีอานุภาพมหาศาล แม้กระทั่ง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เซอร์ ไอแซก นิวตัน รวมทั้ง องค์การนาซ่าก็ยังไม่สามารถค้นพบพลังงานพลังงานนี้ แต่ตนและอาจารย์เป็นคนค้นพบ
ด้าน นางบัวลอย อายุ 47 ปี เจ้าของที่ดิน บอกว่า ตนได้เจออาจารย์กับน้องหญิง ตอนที่ทั้ง 2 ท่าน เดินทางไปรักษาชาวบ้านในพื้น อ.สังคม จ.หนองคาย โดยตอนนั้นตนป่วยเป็นโรคเบาหวานและโรคหอบหืดอยู่ พอได้ยินชื่อเสียงของอาจารย์ เลยตัดสินใจไปรักษาบ้าง ปรากฏว่าตนหายจากโรคทั้งหมดจริง จึงศรัทธาในตัวอาจารย์เรื่อยมา
ตนมีที่ดินอยู่ 70-80 ไร่ จึงตั้งใจถวายให้อาจารย์ 11 ไร่ ทำแดนธรรมสุขาวดี แต่เป็นการถวายให้สร้าง โดย ที่ดินยังเป็นชื่อของตนอยู่ โดยในอนาคตตนกับสามีวางแผนเอาไว้ ว่าจะทำเรื่องโอนที่ดินให้ถูกต้องต่อไป ซึ่งระหว่างที่ตน อุทิศตนทำงานกับอาจารย์ทั้ง 2 ท่าน ตนก็ได้เจอปาฏิหาริย์หลายอย่าง เช่น องค์พระพุทธเจ้าไม่ชอบให้ลูกศิษย์พูดจาไม่เพราะ ซึ่งถ้าหากครั้งไหนที่ตนเผลอพูดจาไม่ดี หรือไม่ได้ลงท้ายด้วยคำว่า “ค่ะ” “เจ้าค่ะ” ตนก็จะถูกบิดหู บิดไส้ จนต้องยกมือไหว้ขอโทษ ต่อองค์พระพุทธเจ้าที่อยู่เบื้องบน เมื่อขอโทษต่อองค์ท่านแล้ว ทุกอย่างก็จะหายไป เป็นเหมือนการสั่งสอนขององค์ท่าน
อย่างไรก็ตาม จากกรณีดังกล่าว ทางนายแพทย์สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี บอกกับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า ขณะนี้ตนทราบข่าวแล้ว เบื้องต้นได้ให้รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุดรธานี นำทีมสาธารณสุขอำเภอบ้านผือ ลงพื้นที่รวบรวมข้อมูลรายละเอียดข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งขณะนี้เรายังไม่มีข้อมูลรายละเอียด หากเข้าข่ายหลอกลวงก็เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่กฎหมายบ้านเมือง ส่วนสาธารณสุขเรามีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในเรื่องของสถานพยาบาล แต่หากเป็นเรื่องความเชื่อก็จะเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ซึ่งตอนนี้ทางสาธารณสุขกำลังลงพื้นที่รวบรวมข้อมูลเพื่อให้ได้ข้อมูลครบถ้วน และจะชี้แจงข้อมูลให้สื่อมวลชนทราบอีกครั้ง