กรณีพบศพ นายชายชาวอินเดีย ถูกยิงหัวลากศพโยนทิ้งริมถนนบริเวณ พื้นที่หมู่ 3 บ้านนา ต.หล่อยูง อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา สภาพเลือดออกที่ใบหน้าบริเวณจมูกและกกหู ข้อมือ 1 แผล และท้ายทอยถูกยิงด้วยอาวุธปืนทะลุแก้มข้างซ้าย เบื้องต้นสันนิษฐานขัดแย้งธุรกิจ หรือฆ่าชิงทรัพย์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 15 พ.ค. พื้นที่ สภ.โคกกลอย ตามที่ได้เสอนข่าวไปแล้วนั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบผู้เสียชีวิตชาวอินเดียแล้วพบว่า คือ MR.Poulose Varghese Kadaparambil (เปาลอส เวอเชส คาดาปารัมบิล) สัญชาติอินเดีย โดยผู้ตายได้เดินทางเข้าประเทศไทย มาเมื่อ 19 เมษายน 67 ที่ผ่านมา หรือ 26 วันก่อนจะถูกฆ่าเสียชีวิต โดยผู้ตายได้เดินทางเข้าประเทศมาพร้อมกับ นายยาเซอร์ อายุ 32 ปี ผู้ก่อเหตุ ชาวปากีสถาน โดยผู้ตายมีการแจ้งที่อยู่เข้าพักที่คอนโดแห่งหนึ่ง ใน ต.วิชิต อ.เมือง จ.ภูเก็ต
ส่วนปมเหตุความขัดแย้งตำรวจตั้งไว้สองประเด็นคือ 1. ขัดแย้งทางธุรกิจ และ 2.ประสงค์ต่อทรัพย์สิน
โดยเมื่อคืนวันนี้ พลตำรวจตรีนิพนธ์ พานิชเจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ได้แถลงข่าวการจับกุม พร้อมให้ข้อมูลว่า นายเปาลอส ผู้ตาย และนายยาเซอร์ ผู้ก่อเหตุ เป็นหุ้นส่วนทำธุรกิจร่วมกันที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นครดูไบ
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 67 นายเปาลอสผู้เสียชีวิต ได้ร่วมทุนถือหุ้น “ห้างหุ้นส่วน เทอร์กิด จำกัด” ซึ่งเป็นธุรกิจนำเที่ยวของนางคาดิจายาซิร์ อายุ 39 ปี ภรรยาชาวไทยของนายยาเซอร์
จนกระทั่งก่อนเกิดเมื่อ 15 พฤษภาคม เชื่อว่าผู้ตายและผัวเมียผู้ก่อเหตุทั้ง 2 คนได้มีความขัดแย้งกันเรื่องธุรกิจดังกล่าว จากนั้นสองผัวเมียจึงได้วางแผนจัดเตรียมอาวุธปืน และลวงให้นายเปาลอสผู้เสียชีวิตขึ้นรถเก๋ง ของตัวเองเพื่อเจรจาทางธุรกิจ โดยนายยาเซอร์ผู้ก่อเหตุได้วางแผนให้ภรรยาของตัวเองเป็นคนขับรถ และให้ผู้ตายนั่งเบาะข้างคนขับ ส่วนนายยาเซอร์ได้นั่งเบาะหลังฝั่งซ้าย แต่ระหว่างทางคาดว่าคุยกันไม่ลงตัว และนายยาเซอร์ได้ใช้อาวุธปืนที่เตรียมมาจ่อยิงผู้ตายจากด้านหลังจนเสียชีวิตคาที่ภายในรถ ก่อนจะช่วยกันนำศพไปทิ้งริมทาง
ซึ่งจากการตรวจสอบรถของสองผัวเมีย เจ้าหน้าที่ยังไปพบร่องรอยกระสุนปืน บริเวณคอนโซลหน้ารถฝั่งคนนั่ง ซึ่งเป็นร่องรอยที่ผู้ก่อเหตุยิงผู้ตายกระสุนเจาะท้ายทอยก่อนทะลุไปยังคอนโซนหน้ารถ รวมถึงยังพบคราบเลือดบริเวณใต้เบาะรถฝั่งคนนั่ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐาน รวมถึงภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นภาพชัดเจน จึงมั่นใจว่า ทั้งสองคนเป็นผู้ก่อเหตุ จึงได้ขอศาลจังหวัดพังงาออกหมายจับในที่สุด
ล่าสุดทีมข่าวได้คลิปวิดีโอขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางเดินทางไปจับกุมสองผัวเมียที่ก่อเหตุเพิ่มเติมมาด้วย ในคลิปแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจเดินทางไปจับกุม นางคาดิจายาซิร์ อายุ 39 ปี ภรรยาชาวไทยภายในคอนโดฯแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต พร้อมกับแสดงหมายค้นเพื่อเข้าตรวจสอบห้องพัก โดยเจ้าหน้าที่ไปพบทรัพย์สินของผู้ตายถูกซุกซ่อนอยู่ภายในห้องพัก ทั้ง โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง , นาฬิกาข้อมือสมาร์ทวอช และ แหวนเพชรจำนวน 2 วง ของผู้ตาย
หลังจากนั้น นางคาดิจายาซิร์ ได้ยอมรับสารภาพกับตำรวจว่า ได้ร่วมกับสามีก่อเหตุจริง ก่อนที่ตำรวจจะนำตัวมาโรงพักและทำบันทึกจับกุม
เช่นเดียวกับนายยาเซอร์ผู้ก่อเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการแยกห้องสอบปากคำ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว และได้อ่านหมายจับให้กับนายยาเซอร์ฟัง โดยระหว่างการอ่านหมายจับ นายยาเซอร์ ได้อ้างกับตำรวจว่า “ตนเองทำไปเพราะป้องกันตัว และปกป้องภรรยา โดยอ้างว่า ผู้ตายจะพยายามทำร้ายภรรยาของตัวเองระหว่างขับรถ”
ขณะเดียวกันบรรยากาศที่โรงพักโคกกลอยตั้งแต่ช่วงสาย เวลา 11.00 น. พนักงานสอบสวนได้เบิกตัวนายยาเซอร์ผู้ก่อเหตุมาสอบปากคำ โดยไม่ให้ผู้สื่อข่าวถ่ายภาพด้านในห้อง โดยนายยาเซอร์ได้ร้องขอทนายความและมีตำรวจท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นล่ามในการสอบปากคำ ใช้เวลาการสอบปากคำ ถึงเวลา 14.30 น. รวม 3 ชั่วโมงครึ่ง โดยระหว่างการสอบปากคำนายยาเซอร์ผู้ต้องหา มีสีหน้าที่เคร่งเครียด แต่ยังคงให้ความร่วมมือในการให้การกับตำรวจ และก่อนที่เจ้าหน้าที่จะนำตัวกลับเข้าห้องขัง นายยาเซอร์ ได้ขอเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลหาญาติที่อยู่ต่างประเทศ เพื่อแจ้งว่าตัวเองถูกจับกุมแล้ว ใช้เวลาการวิดีโอคอลพูดคุยกับญาติประมาณ 5 นาที จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวกลับเข้าห้องขัง
และระหว่างการควบคุมตัวเข้าห้องขัง ทีมข่าวพยายามสอบถามนายยาเซอร์ผู้ต้องหา ว่ามีอะไรอยากจะบอกไหม ทำไมถึงลงมือฆ่าเพื่อนของตัวเอง? นายยาเซอร์ ได้หันหน้ามาตอบนักข่าว จับใจความไม่ได้ แต่คล้ายพยายามจะบอกว่า ตัวเองทำไปเพื่อป้องกันตัว
หลังจากนั้นผ่านไป 1 ชั่วโมง พนักงานสอบสวนได้เบิกตัวนางคาดิจายาซิร์ ภรรยาของยาเซอร์ ออกจากห้องควบคุมขังเพื่อสอบปากคำต่ออีกคน เวลา 15.50 น. ตำรวจได้นำตัวนางคาดิจายาซิร์ ออกมาจากห้องควบคุมผู้ต้องขัง โดยพาตัวมาสอบปากคำพร้อมทนาย ซึ่งนางคาดิจายาซิร์ สวมแมสและมีสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นตำรวจได้สอบปากคำถึง 17.30 น. รวมเวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที จากนั้น ตำรวจจึงพาตัวเธอเข้าห้องขังทันที โดยไม่ได้พูดอะไรกับผู้สื่อข่าว
ช่อง 8 เปิดวงจรปิด มัด 2 ผัวเมีย ลวงเพื่อนร่วมธุรกิจอินเดียขึ้นรถก่อนพาไปฆ่า
ล่าสุดทีมข่าวได้ภาพจากกล้องวงจรปิดหลักฐานสำคัญก่อนจะเกิดเหตุ พบว่า วันเกิดเหตุช่วงเย็นวันที่ 14 พฤษภาคม 67 เวลา 18.25 น. จะเห็นนางคาดิจายาซิร์ สวมเสื้อคลุมมุสลิมสีดำลงจากรถ โดยมีนายยาเซอร์ผู้ก่อเหตุและนายเปาลอสผู้ตาย ซึ่งเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจนั่งอยู่ภายในรถเดินทางมาส่งที่ร้านเสริมสวย ในพื้นที่ใกล้หาด กะตะ พื้นที่ อ.เมือง จ.ภูเก็ต จากนั้นจะเห็นเห็นนางคาดิจายาซิร์ ได้เดินข้ามถนนไปยังร้านเสริมสวย ส่วนทั้ง 2 คน ได้พากันไปเที่ยวที่หาดกะตะกัน 2 คน
จากนั้น เวลา 19.44 น. จะเห็นนายยาเซอร์คนก่อเหตุ และนายเปาลอส คนตาย ได้นั่งรถเก๋งกลับมาที่ร้านเสริมสวย เพื่อมารับนางคาดิจายาซิร์ที่ทำสวยภายในร้าน
และเวลา 20.11 น. ภาพสำคัญจะเห็นนายเปาลอสคนตาย ได้ขึ้นรถไปกับสองผัวเมียที่ก่อเหตุ โดยมีการนั่งตำแหน่งเบาะนั่งข้างคนขับ โดยมีนางคาดิจายาซิร์เป็นคนขับรถ และนายยาเซอร์ ผู้ก่อเหตุมือยิงนั่งด้านหลัง ซึ่งภาพนี้จะเห็นว่า ผู้ตายได้สวมใส่ชุดสีครีม เขียวขี้ม้า เป็นชุดเดียวกันกับที่พบเป็นศพ และเชื่อว่า ทั้งหมดสองผัวเมียวางแผนฆ่าไว้อยู่แล้ว เนื่องจากให้ภรรยาเป็นคนขับ แทนมือยิง
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวสวย (นามสมมติ) พนักงานร้านเสริมสวย ให้สัมภาษณ์ว่า เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ช่วงบ่าย นายยาเซอร์ (ผู้ก่อเหตุ) และผู้ตาย ได้ขับรถเก๋งมาส่งนางคาดิจายาซิร์ ที่หน้าร้านเสริมสวยตัวเอง ก่อนที่ผู้ตายและนายยาเซอร์ จะขับรถเก๋งออกไป ซึ่งตัวเองไม่รู้ว่าไปไหน
จากนั้นนางคาดิจายาซิร์ ก็ทำผมในร้านตัวเองตามปกติ ซึ่งเขาเป็นลูกค้าประจำของร้าน แต่ตัวเองก็ไม่ได้สนิทกับเขามาก ตอนทำผมอยู่นางคาดิจายาซิร์ เขาก็พูดคุยยิ้มแย้มปกติ โดยเขาบอกแค่ว่าเขา ไลฟ์สดขายกาแฟลดความอ้วนใน Facebook รวมถึงทำอาชีพเกี่ยวกับพวกออกวีซ่าชาวต่างชาติ ส่วนธุรกิจอื่นๆเค้าก็ไม่ได้เล่าให้ตัวเองฟัง และไม่ได้พูดถึงคนตายให้ตัวเองฟังแต่อย่างใด
กระทั่งเวลาประมาณเกือบสองทุ่ม วันเดียวกันผู้ตาย และนายยาเซอร์ ได้มาจอดรถหน้าร้านตัวเองอีกรอบ แล้วทั้ง 2 ก็เดินขึ้นมาบนร้านเสริมสวย และทักทายตัวเองสั้นๆ ก่อนที่ทั้งสามคนจะเดินลงไปขึ้นรถเก๋งแล้วพากันขับรถออกจากร้านตัวเองไป ด้วยตัวเองก็ไม่คาดคิดหลังจากที่เค้าออกจากร้านตัวเองไปแล้วไปถูกยิงเสียชีวิตและถูกทิ้งศพทิ้งอำพราง
ด้วยตัวเองมาทราบข่าวอีกทีคือเมื่อวันก่อน ตำรวจชุดสืบได้มาที่ร้านเสริมสวยของตัวเอง และมาสอบถามข้อมูลกับตัวเองเกี่ยวกับพฤติกรรมของทั้งสามคน ซึ่งตัวเองก็ได้ตอบเหมือนกับที่บอกกับนักข่าว โดยตำรวจชุดสืบได้มาขอดูกล้องวงจรปิดร้านตัวเอง แต่ว่าที่ร้านของตัวเองไม่มีกล้อง และตำรวจชุดสืบสวนยังบอกกับตัวเองอีกว่า พี่ต้องมาที่ร้านของตัวเองก็เพราะว่า นางคาดิจายาซิร์ และสามี เขาไปให้การกับตำรวจตำรวจว่าเขามาเจอกับผู้ตายครั้งล่าสุดร้านเสริมสวยของตัวเอง ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างต่างต่างจะแยกย้ายกันไป แล้วเขาก็ไม่เจอกับผู้ตายอีกเลย แต่เท่าที่ตัวเองดูภาพจากกล้องวงจรปิด ที่ตำรวจเอามาให้ดู ก็พบว่า ทั้งสามคนไม่ได้แยกย้ายกันที่ตรงนี้ แต่ทั้งสามคนได้ขึ้นรถเก๋งไปพร้อมกัน หลังจากนั้นตัวเองก็ไม่รู้ว่าเค้าไปไหน ซึ่งตัวเองก็รู้สึกตกใจที่ลูกค้าในร้านตัวเองไปร่วมก่อเหตุในครั้งนี้ ไม่นึกว่าเค้าจะมีพฤติกรรมลักษณะนี้มาก่อน
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวชมพู่ (นามสมมติ) เจ้าของห้อง เธอเล่าให้ทีมข่าวฟังว่า ก่อนหน้านี้ประมาณหนึ่งเดือน ผู้ก่อเหตุได้ติดต่อมาหาตัวเองทางแมสเสจ ว่าจะขอเช่าห้องที่คอนโดจำนวนสองห้อง จากนั้นเขาก็ตกลงเช่าห้องของตัวเองจำนวนสองห้อง โดยให้ผู้ตายหนึ่งห้อง และให้ตัวเขาอีกหนึ่งห้อง
ซึ่งที่ผ่านมา ตัวเองก็เห็นว่าทั้งสองคนเค้าไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แล้วตัวเองเจอผู้ตายและผู้ก่อเหตุครั้งล่าสุด เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ซึ่งตอนนั้นตัวเองเห็นทั้งสองคนถือกระเป๋าลากใบใหญ่ จึงถามเค้าไปว่าไปไหนกัน พวกเขาก็ตอบว่าจะไปเล่นน้ำหาดกะตะ
หลังจากเกิดเหตุ ประมาณวันที่ 17 พฤษภาคม เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดต่อมาหาตัวเอง แล้วนำรูปผู้เสียชีวิตมาให้ตัวเองยืนยันว่าใช่คนที่เช่าคอนโดตัวเองหรือไม่ ซึ่งตัวเองก็ตอบไปว่า ผู้เสียชีวิตคือหนึ่งในคนที่เช่าห้องตัวเอง จากนั้นตัวเองก็ได้ส่งข้อความไปหาผู้ก่อเหตุว่า “คุณรู้ไหมว่าเพื่อนคุณตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน ฉันไม่เห็นเพื่อนของคุณเลย” ผู้ก่อเหตุก็ตอบตัวเองกลับมาว่า “ เพื่อนของฉันน่าจะกลับประเทศอินเดียแล้ว”
สักพักหนึ่งตัวเองได้ส่งข้อความไปหาผู้ก่อเหตุอีกครั้งว่า “ คุณทราบข่าวที่เพื่อนของคุณโดนยิงเสียชีวิตแล้วหรือยัง ” ผู้ก่อเหตุก็ตอบตีเนียนกลับมาว่า “ ผมไม่ทราบข่าวนี้เลย” จากนั้นตัวเองก็ได้ส่งข้อความไปให้ผู้เกิดเหตุลงมาพูดคุยอยู่ที่ล็อบบี้ กระทั่งเขาได้มาเจอกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ซึ่งต่อที่ตำรวจสอบถามผู้ก่อเหตุตัวเองก็พิรุธเขาได้หลายอย่าง อย่างแรกวันที่ 14 พ.ค. ที่คนก่อเหตุเขาบอดว่าไปเล่นน้ำกันกับคนตายทำไมเขาต้องพกกระเป๋าลากใบใหญ่ไปด้วย ,อย่างที่ 2 ตอนตำรวจสอบปากคำว่าใช้รถยนต์คันไหน ผู้ก่อเหตุเขาก็โกหกตำรวจว่าใช้รถกระบะสีดำ ทั้งที่จริงแล้วเขาใช้รถเก๋งคันที่ก่อเหตุ ,อย่างที่ 3 ในวันที่ 14 ตัวเองเห็นผู้ก่อเหตุกลับมาที่ห้องคนเดียวจึงถามเขาว่าคนตายไปไหน เค้าก็บอกว่าแยกกับคนตายมาแล้วที่หาดกะตะ ทำให้ตัวเองรู้สึกสงสัยว่าคนตายเค้าขับรถยนต์เองไม่ได้ เวลาเขาไปไหนก็ไปด้วยกันและมีผู้ก่อเหตุขับรถให้ ทำไมครั้งนี้ผู้ก่อเหตุถึงทิ้งให้ผู้ตายไปคนเดียว
กระทั่งเจ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมผู้ก่อเหตุและภรรยาของเขาเองถึงอยากรู้ว่าเค้าไปก่อเหตุยิงเพื่อนจนเสียชีวิต ซึ่งหลังจากเกิดเหตุตำรวจก็ได้มาค้นห้องของผู้ตายและผู้ก่อเหตุ โดยพบทรัพย์สินเท่าที่ตัวเองจำได้มีนาฬิกาและสร้อยทองคำของผู้เสียชีวิตอยู่ในห้องของผู้ก่อเหตุอีกด้วย