"จักรทิพย์" ดับเครื่องชน ป.ป.ช. อ้างมีขบวนการร่วมมืออดีตรอง ผบ.ตร. กลั่นแกล้งคดีรถไฟฟ้าตรวจการณ์

เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เดินทางมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรม พร้อมติดตามความคืบหน้ากรณีที่ได้ยื่นพยานเอกสารเพิ่มเติมให้มีการสอบเพิ่มในคดีที่ประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ชุดใหญ่ มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาพล.ต.อ.จักรทิพย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กับพวก 46 ราย กรณีกล่าวหาการดำเนินงานโครงการรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ (SMART PATROL CAR : SPC) จำนวน 260 คัน วงเงินงบประมาณ 900 ล้านบาท ปีงบประมาณ 2560- 2561

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวภายหลังยื่นหนังสือ ระบุว่า วันนี้เดินทางมาพร้อมด้วยทนายความ เพื่้อติดตามขอความเป็นธรรมสอบถามความคิดเห็นของคณะกรรมการป.ป.ช.บางท่าน และยื่นหนังสือรังเกียจเป็นครั้งที่ 2 ตามพรบ. ป.ป.ช. โดยหนังสือที่ยื่นไปวันนี้มีพยานสำคัญ 5 ปาก มีทั้งพยานบุคคลและพยานวัตถุที่ตนเชื่อว่าสำคัญในคดี

สืบเนื่องจากการที่คณะของพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบช.สพฐ.ตร.) ขณะนั้นเป็น หัวหน้าศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(PCT4) ได้ทำการตรวจค้นบ้านตำรวจนอกราชการนายหนึ่ง และพบเอกสารในคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในบ้านนั้น ระบุเกี่ยวกับคำร้องในคดีของตนที่ยื่นต่อป.ป.ช.

พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวต่อว่า เชื่อว่าเรื่องนี้มีการทำเป็นขบวนการผู้ร่วมขบวนการมี 3 ท่าน ตำรวจนอกราชการ 1 ท่าน ,ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ และมีพันตำรวจโท 1 ท่าน ซึ่งทำหน้าที่เป็นพ่อบ้าน และ มีทนายความที่มีชื่อเสียง ร่วมกันทำหนังสือร้องเรียนกลั่นแกล้งให้ตนได้รับโทษ ไม่ได้ทำด้วยเจตนาโปร่งใส

ในช่วงแรกยอมรับเชื่อว่าคณะกรรมการป.ป.ช.ไต่สวนด้วยความเป็นธรรมไม่ขาดความเป็นกลาง ยุติธรรม ไม่อคติ ทำให้ตนเองปล่อยให้เรื่องดำเนินการไปตามปกติ แต่เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนรับทราบข้อกล่าวหา ตนก็เกิดความข้องใจว่าทำไมเรื่องถึงเป็นแบบนี้ ทำไมให้ตนมารับทราบข้อกล่าวหา สุดท้ายจึงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมนำมาสู่การตั้งข้อรังเกียจ

ทั้งนี้ยืนยันว่าโครงการรถไฟฟ้าของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่เป็นประเด็นไม่ได้เป็นการยัดเยียดรถให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แต่เป็นการมอบหมายนโยบาย สิ่งไหนดีก็มอบหมายให้ไปทำต่อ พร้อมถามกลับว่าตนไม่มีสิทธิ์เพิ่มประสิทธิภาพในหน่วยงานเลยหรือ ทั้งที่นโยบายนี้เป็นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่ระบุให้รณรงค์การใช้พลังไฟฟ้าไม่ต้องพึ่งพาพลังงานน้ำมัน

"หลังรับทราบข้อกล่าวหาคดีนี้ ยอมรับว่าไม่สบายใจและไม่ไว้ใจคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช. ถ้าเป็นไปได้อยากให้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ เพราะ 1 ใน 3 หรือ 2 ใน 3 มีที่มาที่ไปชัดเจนอยู่แล้วว่าอยู่ฝั่งฝ่ายใด" พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ระบุว่าในขบวนการดังกล่าวประกอบด้วยตัวย่อ ‘3 ส. 1 พ.’ ส ตัวแรกเกษียณราชการไปแล้วอีก 1 ส เป็นประธานอนุกรรมการเคยลงสมัครป.ป.ช. ส ที่ 3 คือ นายตำรวจระดับสูง พ 1 รายคือเจ้าหน้าที่ระดับสูงถึงกลาง

ผู้สื่อข่าว ถามว่ามั่นใจหรือไม่ว่าถูกกลั่นแกล้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า ต้องให้คณะกรรมการป.ป.ช.เอาพยานของตนไปสอบเพื่อจะได้รู้ว่าตนถูกกลั่นแกล้งใส่ร้ายหรือไม่ จากนั้นได้เปิดภาพพร้อมข้อความระบุว่า “วันนี้พี่โจ๊กชวนมาทานข้าวที่บ้านวิภาวดีรังสิต คุยเพลินลืมเวลาจะทันเคอร์ฟิวไหม” พร้อมเปิดภาพการท่องเที่ยวต่างๆ ของบุคคลที่เชื่อว่าอยู่ในขบวนการ และระบุว่าถ้าแผนประทุษกรรมเป็นลักษณะนี้ในขณะที่ตนเป็นตำรวจจะออกหมายจับทุกคน

ทั้งนี้หลังเกิดเรื่องฟ้องเอาผิดตนมีมือปืน(ทนายความชื่อดัง)มาขอโทษตนพร้อมกับพวงมาลัย และกล่าวว่าผมไม่น่าทำพี่เลย

“ตนเคยเป็นผบ.ตร.ไม่ใช่คนกะล่อนปลิ้นป้อน เด็กเลี้ยงแกะ เจ้าของโรงน้ำแข็ง วันนี้ตนทนดูการสอบสวนไม่ได้แล้ว ตนเคยมีคดีที่ป.ป.ช.อยู่ 2 คดี คดีเรื่องทนายสมชาย นีละไพจิต สมัยเป็นผู้บังคับการกองปราบปราม เรื่องที่ 2 คือเรื่องนี้ ในชีวิตที่รับราชการมาเคยมีแค่ 2 เรื่องที่ถูกป.ป.ช.สอบ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าว

เมื่อถามว่าตำรวจนอกราชการคนนี้เก่งไหม ต้องบอกเลยว่าเก่ง ตนเองเลี้ยงมาเหมือนน้อง เงินเดือนก็หาให้ ตนไม่ได้ทวงบุญคุณ วันนี้ตนต้องขอโทษน้องๆที่รับราชการอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตนเป็นส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้เขาเจริญเติบโตก้าวหน้าในราชกาล ตนเสียใจกับสิ่งที่ทำมา ตนโดนร้องเรียนป.ป.ช. จะเอาตนถึงตาย ตำรวจคนนี้ๆได้ไปประกาศในวงของเขาว่า “ไม่มีคำว่าพี่น้องแล้ว กูจะเอาไอ้แป๊ะติดคุกให้ได้”

เมื่อถามต่อว่ามีแนวคิดที่จะล่ารายชื่อประชาชนมาถอดถอนกรรมการ ป.ป.ช.หรือไม่ ยืนยันว่าเป็นลูกผู้ชาย จะไม่ทำแบบนั้นไปที่ไหนองค์กรไหนก็วุ่นวาย ตนฟังใครต่อใครพูดมา เห็นพฤติกรรมแบบนั้น องค์กรตำรวจรู้ดีว่าใครสนับสนุนเขามาเป็นตำรวจ แต่ตนเห็นด้วยกับแนวทางที่อดีตรองผบ.ตร. ล่ารายชื่อถอดถอนคณะกรรมการป.ป.ช บางท่าน แต่ในส่วนตนเองกับรองผบ.ตร. เชื่อว่าไม่มีการญาติดีกันแน่