นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี ที่ปรึกษาด้านไอทีที่บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เดินทางเข้าร้องเรียนกับ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมาไทยและผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด หลังถูกแก๊งทวงหนี้ตามบุกพังห้องเพื่อทวงเงิน แล้วล่อลวงออกจากคอนโดไปข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย และบังคับรีดทรัพย์ไปกว่า 200,000 บาท ทั้งที่ผู้เสียหายเป็นหนี้เพียง 35,000 บาท
นายเอ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อปี 2565 ตนได้ร่วมทำธุรกิจกับเพื่อน คือ นายนุ๊ก และนางสาวโอ๋ และตนมีปัญหาส่วนตัว จึงขอยืมเงินเพื่อนมา 45,000 บาท ต่อมาได้ใช้หนี้ไป 10,000 บาท เหลือ 35,000 ซึ่งหลังจากนั้น ตนก็ช่วยทำงานหลายอย่าง ซ่อมบ้าน ซ่อมรถ และตนเคยขอให้เจ๊าหนี้กันไปแลกกับค่าทำงาน เพื่อนก็ไม่ได้ตอบอะไร แต่ก็ไม่ได้ทวงเงิน ตนเลยยังไม่ได้คืนเงินที่เหลือให้
แต่ต่อมา เพื่อนมาทวงเงินจำนวนนี้ และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมที่ผ่านมา เวลาประมาณ 4 โมงเย็น ได้มีคนมาเคาะประตูห้อง พอคนเปิดก็มีคนวิ่งกรูเข้ามากัน 3-4 คนพร้อมกับเพื่อนตนที่เป็นเจ้าหนี้ ตนเลยรีบปิดประตูล็อก แต่ก็โดนพังเข้ามา และมี 2 คนเข้ามาทำร้ายตนบาดเจ็บ พร้อมกวาดข้าวของมีค่าในห้อง ทั้งพระเลี่ยมทอง / แหวนทอง / คอมพิวเตอร์ / ของมีค่าอื่นๆ มูลค่ากว่า 1 แสนบาทไป
จากนั้น ได้มีคนโทรเข้ามา บอกว่าชื่อเบนซ์ นับถือกันเป็นพี่เป็นน้องกับเพื่อนตน ซึ่งคนชื่อเบนซ์อ้างว่า ตนเองเป็นทหารนาวิกโยธิน แล้วขู่ว่า รอให้มาถึงก่อนจะโดนหนักกว่านี้ ระหว่างนั้นตนโดนบังคับให้นอนคว่ำ ไม่ให้ขยับ สักพัก เพื่อนตนที่เป็นเจ้าหนี้ก็รู้สึกกังวลขึ้นมา บอกว่าถ้ามีเรื่องที่นี่จะเดือดร้อน เป็นเรื่องใหญ่ เลยบอกให้ออกไปด้วยกัน ตนก็เลยยอมไปด้วย โดยถูกพาขึ้นรถ
จากนั้นเพื่อนตอนขับรถพาวนไปเรื่อยๆ และบ่นตลอดทางว่าไม่ได้ตั้งใจจะให้มาทำแบบนี้ ซึ่งตอนนั้นเบนซ์ได้ไปถึงที่คอนโดและไม่เจอใคร จึงโทรเข้ามากดดันเพื่อนตน และให้เพื่อนขับรถไปแถวท่าน้ำนนท์ จากนั้น มีลูกน้องของเบนซ์มาคลุมหัวตน แล้วพาเดินเข้าไปที่บ้านหลังหนึ่ง
ขอเข้าไปในบ้าน ตนก็โดนบังคับให้ถอดเสื้อ และมีลูกน้องของเบนซ์ 2 คน เข้ามารุมทำร้าย ใช้ทั้งเหล็กเส้นตี และข่มขู่ด้วยการลับมีดอีโต้โชว์ ส่วนเบนซ์เอาปืนออกมา 2 กระบอก ใส่กระสุนโชว์ แล้วเอายิงเข้าที่หัวตน แต่ปืนไม่ลั่น เบนซ์จึงเปลี่ยนไปใช้ค้อน หยิบมาถามว่า ใช้อันนี้ทุบมึงดีไหม
โดยตนโดนทำร้ายอยู่แบบนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง ตอนนั้นรู้สึกแย่มาก จึงพยายามบอกว่ายอมทุกอย่าง จะใช้หนี้ให้ เพื่อนตนเลยบอกว่า ตนติดหนี้อยู่ 289,000 บาท ซึ่งคิดรวมหนี้สินทุกอย่างที่เกิดจากการทำธุรกิจร่วมกันด้วย และบอกว่าถ้าไม่หาเงินมาให้วันนี้ก็อยู่ที่นี่ต่อไปจนกว่าจะได้เงิน ตน เลยบอกว่าจะขอผ่อนจ่าย เพื่อนก็บอกว่า ถ้าผ่อนต้องจ่าย 600,000 บาท ตนเลยต่อรองว่าจะจ่ายเดือนละ 100,000 บาท แล้วโทรหาแม่ให้โอนเงินมาให้ กลุ่มผู้ก่อเหตุ เลยขับรถกลับไปส่งที่คอนโด และบอกว่า “อย่าแจ้งความ เดี๋ยวรู้กัน”
นอกจากนี้ ตอนที่อยู่ที่บ้านหลังดังกล่าว เบนซ์ยังพูดข่มขู่ด้วยว่า ทำแบบนี้เป็นประจำ ที่บ้านมีบ่อปลาดุก เอาไว้เก็บเศษเนื้อ และมีเครื่องปั่นกระดูกที่ตอนนี้เสียอยู่เพราะใช้งานเยอะ พร้อมบอกว่า ให้จำไว้ว่า “ประเทศไทย ถ้าไม่มีศพ ก็ไม่มีคดี” และเบนซ์ยังได้เปิดรูปในโทรศัพท์มือถือที่มีรูปคนถูกทำร้ายหลายคนให้ดูด้วย
นายเอ ระบุว่า ที่ตนมาร้องเรียน เพราะรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ไม่ใช่แค่กับตนเองแต่กับทุกคนด้วย จึงอยากให้จับตัวกลุ่มผู้ก่อเหตุให้ได้ อีกทั้ง ตนก็กลัวว่า ถ้าถึงกำหนดวันที่ 18 มิถุนายนนี้ แล้วตนไม่จ่ายเงิน 100,000 บาทงวดถัดไป ก็จะถูกตามมาทำร้ายอีก
กล้องวงจรปิดเผยกลุ่มทวงหนี้เดินทางไปที่คอนโดผู้เสียหายก่อนบุกเข้าไปพังประตูและเข้าไปทำร้ายภายในห้อง
(กล้อง 1) ขณะที่กล้องกล้องวงจรปิดภายในภายในคอนโดมิเนียมพบ 14.17 น.เผยภาพนายเชน สาวประเภทสอง เดินนำหน้ามาที่ห้องของนายเอ ผู้เสียหายจากนั้นนายเชนได้เคาะประตู โดยมีนายโอ๋และนายนุ๊กเดินตามมา ตอนที่ทั้งคู่จะ วิ่งเข้าไปที่ประตูห้องพักของนายเอ ขณะที่หญิงคนสุดท้ายพบว่าคือนางสาวเมย์ แฟนเก่าของผู้เสียหาย ยืนอยู่ด้านหลัง
(กล้อง 2) ขณะที่กล้องอีกตัวเผย เผยให้เห็นภาพนายเชน เดินเข้าไปกดกล้องวงจรปิดของคอนโดมิเนียมลงเพื่อไม่ให้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทีมข่าวได้สอบถาม นายกัน (นามสมมติ) พนักงานรักษาความปลอดภัย ที่อยู่ในวันเกิดเหตุ เล่าว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุได้ขับรถมา ท่าทางปกติ แต่ไม่ได้มีคีย์การ์ด อาศัยจังหวะที่มีลูกบ้านเข้าออก แล้งทำทีเป็นมาหาเพื่อน เข้าไปด้วย หลังจากนั้น ก็เห็นกลุ่มนี้เดินลงมาพร้อมกับผู้เสียหาย มีการลากกระเป๋า แต่ผู้เสียหายใส่หมวก ตนไม่ได้สังเกตว่ามีบาดแผลหรือไม่ แล้วก็พากันขึ้นรถไป จากนั้นสักพัก มีผู้ชายขับรถกระบะมา แล้วมาคุยโทรศัพท์เสียงดัง ดูโมโห พูดว่า ทำไมไม่รอ จนตนต้องเดินไปบอกให้เบาเสียง สักพักก็ขับออกไป
ขณะที่ นายทวีผล หัวหน้ารักษาความปลอดภัยของคอนโด เล่าเพิ่มเติมว่า หลังจากช่วงเย็น ได้มีกลุ่มผู้ก่อเหตุกลับมาอีกครั้งช่วง 4 ทุ่ม บอกว่ามีกุญแจ แต่ไม่มีคีย์การ์ด จะขอขึ้นห้อง ซึ่งพนักงานรักษาความปลอดภัยเห็นว่าผิดสังเกต เลยไม่ให้ขึ้น บอกให้รอเจ้าของห้องมายืนยัน สักพัก ก็ให้ผู้หญิงโทรเข้ามา อ้างว่าเป็นเจ้าของห้อง แต่พนักงานรักษาความปลอดภัย จำได้ว่าไม่ใช่เสียงเจ้าของห้องนี้ เลยบอกว่าให้เจ้าของห้องลงมารับ อีกฝ่ายจึงตัดสายทิ้งไป
สักพักก็มีสายโทรเข้ามาใหม่ เป็นเจ้าของห้องจริงๆ บอกให้เปิดให้กลุ่มคนที่มาเข้าไปหน่อย พนักงานรักษาความปลอดภัยเลยเปิด ซึ่งระหว่างที่ไขห้อง สังเกตว่า กล้องวงจรปิดเริ่มขยับ มีการหมุนกล้อง ทิ้งช่วงไปสักพัก ก็เห็นขนของลงมา ตอนตีสามกว่า เลยไม่ให้นำของออก ผู้ก่อเหตุเลยกลับขึ้นไป