กรณีญาติคาใจ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนายพิชิต หรือ ต้น เจ้าของธุรกิจสอนนวดแผนไทย ซึ่งเดินทางไปที่บ้านต่างจังหวัดในจังหวัดมหาสารคามในวันที่ 15 เม.ย. ก่อนที่จะเสียชีวิตปริศนาอยู่ที่แคร่หน้าบ้านวันที่ 16 เม.ย. จากนั้นพบว่าศพได้มีการเผาไปแล้ว แต่ญาติยังคงนำกระดูกและรูปตั้งหน้าศพมาร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากยังคงสงสัยเกี่ยวกับการตาย เพราะสภาพศพดูผิดปกติและแพทย์ลงความเห็นสาเหตุการตายไม่ชัดเจน จึงอยากเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับพี่ชาย และได้เข้าร้องเรียนกับทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ หลังสงสัยว่าพี่ชายอาจถูกฆาตกรรมหรือถูกวางยา ประกอบกับเมื่อวันที่ 8 เม.ย. พี่ชายยังเคยถูกลอบยิงในพื้นที่ สน.วังทองหลาง และคดีนี้ยังไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ นั้น




วันนี้ (21 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ย่านพัฒนาการ ซึ่งเป็นบ้านที่คนตาย เคยอยู่อาศัยกับภรรยา ก่อนที่ช่วงหลังจะมีปัญหาในครอบครัว และฝ่ายหญิงได้ย้ายออกไปอยู่ข้างนอก และยังพบว่าบ้านหลังดังกล่าว เป็นบ้านที่ตำรวจมีการเข้าตรวจค้นเมื่อคืนนี้ ช่วงเวลาประมาณ 21.00 น. เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมในการเชื่อมโยง เกี่ยวกับการเสียชีวิตที่คาใจ รวมทั้งประเด็นเกี่ยวกับคู่ขัดแย้งหรือมีเรื่องกับใครก่อนเสียชีวิต




ซึ่งทีมข่าวช่อง 8 ได้รับคลิปจากญาติของคนตาย ที่มีการบันทึกคลิปมือถือเอาไว้ (ไม่มีเสียง) โดยเป็นการเข้าตรวจสอบภายในบ้านของคนตายเมื่อคืนนี้ เพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงเกี่ยวกับการเสียชีวิต ขณะเดียวกันทีมข่าวยังได้รับภาพจากกล้องวงจรปิดในหมู่บ้าน ซึ่งพบว่าเมื่อวานนี้เวลาประมาณ 21.10 - 21.47 น. โดยประมาณ ตำรวจได้มีการเข้าตรวจค้นบ้านเพื่อหาหลักฐานเชื่อมโยงในคดี ซึ่งจะเห็นความเคลื่อนไหวของตำรวจที่เดินเข้าออกบ้าน รวมถึงตำรวจที่ยืนอยู่บริเวณหน้าบ้าน โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพเอาไว้ได้




ขณะที่นางสาวณัฐปภัษร์ หรือ “เจ” น้องสาวของนายพิชิต ผู้ตาย ให้สัมภาษณ์หลังเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน และผู้กำกับ สน.วังทองหลาง ในคดีที่พี่ชายถูกลอบยิงเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ว่า เมื่อคืนนี้ตำรวจมีการไปเก็บหลักฐานที่บ้านพี่ชาย ย่านพัฒนาการ และวันนี้จึงมาให้ปากคำและนำพยานหลักฐานที่ตนเองทราบมาให้ แต่ขอไม่ตอบว่ามีหลักฐานอะไรบ้าง ขอให้เป็นการให้ปากคำกับตำรวจ และยืนยันว่า หลักฐานที่ตนเองมีเท่าที่สืบทราบได้ พี่ชายมีปัญหาปมเรื่องชู้สาวที่เป็นความขัดแย้งรุนแรง แต่ไม่ขอตอบว่าขัดแย้งกับใครยังไง และปมชู้สาวจะเป็นสาเหตุให้พี่ชายแยกทางกับภรรยาหรือไม่ ก็ไม่ขอตอบเช่นกัน


ส่วนกรณีที่ภรรยาของพี่ชาย ระบุว่า ผู้เสียชีวิตป่วยเป็นคนอารมณ์รุนแรงจนแพทย์แนะนำให้แยกกันอยู่ และต้องกินยานั้น ตนเองไม่ทราบในเรื่องนี้เพราะพี่ชายไม่ได้บอก ส่วนจะหาตัวคนร้ายได้เลยหรือไม่นั้น ขอให้ตำรวจเป็นคนให้สรุปสำนวน




ขณะที่ยังมีเอกสารฉบับหนึ่งที่ทางคุณเจ น้องสาวของเสี่ยต้น ผู้เสียชีวิต ได้ส่งให้กับบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่ง เพื่อยื่นขออายัดไม่ให้ประกันบริษัทนี้ จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนให้หลังจากที่พี่ชายของเธอเสียชีวิต ซึ่งเอกสารฉบับนี้ทางน้องสาวของผู้ตายได้บอกกับทีมข่าวว่า สาเหตุเป็นเพราะหลังจากที่พี่ชายเสียชีวิตแล้วได้มีการสืบสวนเรื่องราวการตายของพี่ชาย แล้วพบข้อสงสัยอยู่หลายจุดว่าพี่ชายอาจจะไม่ได้เสียชีวิตตามธรรมชาติ จึงได้ยื่นเอกสารกับทางบริษัทประกันดังกล่าวในวันที่ 16 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากที่เข้าอายัดแล้วทางประกันจะจ่ายเงินค่าสินไหมหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของบริษัทประกันเอง




นอกจากนี้ยังมีภาพถ่าย และคลิปที่พี่ชายของเธอได้เดินทางไปยังวัดแห่งหนึ่ง ในพื้นที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เพื่อเข้าพบกับพระอาจารย์รูปหนึ่ง โดยทราบว่าผู้ตายได้เข้าไปอาบน้ำมนต์ พร้อมกับดูดวง และเจ้าตัวมีการร้องไห้ออกมา หลังจากผ่านเหตุการณ์ที่เจ้าตัวถูกคนร้ายรอบยิงในวันที่ 8 เม.ย. ที่ผ่านมา


ขณะที่ต่อมาช่วงบ่ายวันนี้ “เจ” น้องสาวของนายพิชิต หรือ “เสี่ยต้น” ผู้เสียชีวิต เดินทางเข้ามาพบ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ เพื่อปรึกษารายละเอียดทางกฎหมายเพิ่มเติม หลังจากเข้าไปให้ปากคำ ที่ สน.วังทองหลาง ในคดีลอบยิงของพี่ชาย โดยทนายเดชา เปิดเผยว่า หลังจากไปประสานตำรวจทั้ง สน.วังทองหลาง และ สภ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี และตอนพยานหลักฐานในคดีลอบยิงค่อยข้างชัด ว่าคนร้าย 2 คน ได้รับการว่าจ้างมาเพื่อฆาตกรรมเสี่ยต้น ผู้เสียชีวิต เนื่องจากเสี่ยต้นมีปัญหาหลายสาเหตุทั้งชู้สาว ความขัดแย้งในครอบครัว และทรัพย์สิน และส่วนตัวมั่นใจผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และชุดสืบสวนกองบัญชาการตำรวจนครบาลจะสามารถเอาตัวผู้ก่อเหตุ และคนจ้างวาน มารับโทษได้ ซึ่งยืนยันได้ว่า คดีที่เกี่ยวกับการลอบยิง มีความคืบหน้าไปมาก แต่ตนเองยังไม่ขอพูดในรายละเอียด และหลัก ๆ เป็นเรื่องในครอบครัว




ส่วนที่ทนายความได้ดูหลักฐานทั้งหมดแล้วมั่นใจหรือไม่ว่าเป็นการฆาตกรรมหรือวางยานั้น ทนายเดชา ยืนยันว่า ข้อมูลเรื่องการลอบยิงเป็นเรื่องจริงแน่นอน และเท่าที่ตนเองทราบข้อมูลในทางลับ น่าจะเป็นการจ้างวาน เพราะเท่าที่มีข้อมูล ผู้ก่อเหตุ 2 คนไม่เคยมีปัญหากับผู้ตายมาก่อน และเรื่องนี้ไม่ได้ทำคนเดียวเพราะมีลักษณะการนัดแนะ โดยมีหลักฐานเป็นการสื่อสารผ่านโทรศัพท์ในการนัดแนะชัดเจน ซึ่งเป็นการนัดแนะเพื่อให้ผู้เสียชีวิตออกมาทานข้าวแถวเลียบด่วนฯ ก่อน ส่วนจะนัดไปกี่ร้านอะไรยังไง ให้เป็นหน้าที่ของตำรวจทำงาน ทั้งนี้ ข้อมูลทั้งหมด เท่าที่ตนเองทราบข้อมูล เป็นปัญหาหลัก ๆ มาจากปัญหาในครอบครัว และชู้สาว แต่ตำรวจก็ยังไม่ได้ตัดประเด็นเรื่องของปัญหาทางธุรกิจ




ทั้งนี้ ยังพบด้วยว่า ก่อนเกิดเหตุลอบยิง เสี่ยต้นก็มีพฤติกรรมที่ผิดไปจากที่เคยทำ และเสี่ยต้นก็รู้ว่าจะมีคนตามฆ่า เขาจึงคอยระมัดระวังตัวมากขึ้นแล้ว แต่ก็ยังถูกลอบยิงและก็รอดมาได้ในวันนั้นแต่ไปเสียชีวิตต่อมาในภายหลัง ส่วนคดีที่เสี่ยต้นถูกลอบยิง จะไปเชื่อมโยงกับการตายของเสี่ยต้นที่ จ.มหาสารคามอย่างไรนั้น ทนายเดชา มองว่า ตำรวจก็ต้องไปหาพยานหลักฐาน หาความเชื่อมโยงของหลักฐานมาประกอบกัน เพราะตนเองเชื่อว่าน่าจะไม่ได้ตายเอง น่าจะตายด้วยการผิดธรรมชาติ และคดีนี้ไม่ต้องห่วงแม้จะเผาไปแล้ว ก็ขอให้เชื่อมั่นในตำรวจไทย และเท่าที่ทราบจากตำรวจ แพทย์สามารถเอากระดูกไปตรวจสอบได้ และกรณีสำนวนการชันสูตร ตนเองยังไม่ได้รับรายงานเพราะเป็นหน้าที่ของตำรวจ


ทนายเดชา ยังระบุกรณีที่ คุณมด ภรรยาของผู้เสียชีวิต โพสต์ข้อความ 8 ข้อกล่าวหาครอบครัวของเสี่ยต้น ผู้เสียชีวิต และภรรยาของเสี่ยต้นแถลงด้วยว่า มีสาเหตุโกรธเคืองภรรยาเป็นเวลากว่า 10 ปี ไม่ชอบขี้หน้ากัน แล้วมีการตั้งคำถามว่าประสงค์ต่อทรัพย์ และหวังสมบัติ โดยทนายเดชา ยืนยันว่า “เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง” หลังจากที่ตนเองได้ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับพ่อแม่และน้องสาวของเสี่ยต้นแล้ว ไม่มีประเด็นเรื่องสมบัติเลย จึงขอฝั่งคู่กรณีอย่าเบี่ยงเบน และเรื่องการพูดจาให้ระวังคำพูดด้วย เพราะอาจจะโดนฟ้องหมิ่นประมาทได้ เพราะทางนี่เขาไม่ได้ประสงค์ต่อทรัพย์ เจตนาที่มาหาทนายมีเรื่องเดียว เพราะคดีลอบยิงยังไม่มีความคืบหน้า ซึ่งที่ไม่คืบหน้า ก็แสดงให้เห็นได้ว่า “มือปืนหรือคนจ้างวานต้องเป็นคนมีเงินหรือไม่ ทั้งที่ยิงกันกลางกรุงเทพฯ แต่ยังจับไม่ได้ และกล้องวงจรปิดเยอะไปหมด ซึ่งเรื่องนี้ไม่ซับซ้อนและมีปัญหาในครอบครัวอย่างเดียว จึงอยากรู้ว่าพี่ชายเป็นอะไรตาย”




ทนายเดชา ยังตั้งข้อสังเกตุด้วยว่า คนที่อายุ 44 ยังแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว หากตำรวจไม่ได้ดำเนินการชันสูตร ก็ถือว่ามีความผิดตาม ม.157 ในการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ด้วย เพราะถือเป็นการตายที่ผิดธรรมชาติ แม้ญาติจะบอกว่าไม่ติดใจให้ชันสูตรก็ตาม เพราะกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า หากตายผิดธรรมชาติต้องชันสูตร ดังนั้นตำรวจต้องทำตามกฎหมาย ส่วนเรื่องประกันชีวิตไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องมรดกเป็นไปตามกฎหมาย เท่าที่ตนเองทราบ ทางบริษัทประกันก็สืบข้อมูลอยู่ว่าเป็นการฆ่าเพื่อเอาประกันหรือไม่ เพราะผู้ตายไม่มีโรคประจำตัว


อีกทั้งมองว่า คู่กรณีถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ควรจะนิ่ง ๆ จะโพสต์อะไรมากมาย การโพสต์นั้นเป็นเพราะร้อนตัวหรือไม่ และขอเตือนด้วยว่า ขออย่ามาใส่ร้ายทางครอบครัวและน้องผู้ตายและบิดามารดา ตามกฎหมายมีสิทธิรับทรัพย์มรดก เพราะถือเป็นทายาทลำดับที่ 2 และการที่แม่ของเสี่ยต้น ถูกภรรยาของเสี่ยต้นให้ออกจากบ้าน ย่านพัฒนาการ โดยอ้างว่าจะทำความสะอาดแล้วเตรียมจะประกาศขาย แม้จะเป็นสินสมรสแต่ตามกฎหมาย ก็ไม่สามารถจะไล่แม่ออกจากบ้านได้ เพราะแม่ก็ถือว่าเป็นทายาทที่จะได้ทรัพย์มรดกส่วนหนึ่งเช่นกัน แต่ยืนยันย้ำว่า ในชั้นนี้พ่อแม่และน้องสาว ยังไม่ได้มาปรึกษาทนายความเรื่องนี้




ล่าสุดช่วงค่ำที่ผ่านมา ตำรวจได้สอบปากคำ นายเต้ น้องชายของเสี่ยต้น พร้อมกับ แม่ของเสี่ยต้น ในคดีที่เกี่ยวข้องกับการลอบยิงด้วย แต่หลบสื่อมวลชนไม่ได้ให้สัมภาษณ์ และหลังการสอบปากคำก็เดินทางกลับทันที ทั้งนี้ จากการสอบปากคำของตำรวจ พบว่า นายเต้ ถือเป็นบุคคลแรก ๆ ที่เสี่ยต้นโทร. หา หลังถูกลอบยิงในวันที่ 8 เม.ย. ซึ่งนายเต้ติดใจประเด็นเรื่องลอบยิงเป็นอย่างมาก และมีการพูดคุยกับเสี่ยต้นในแบบลูกผู้ชาย ว่าให้หาตัวเอาคืนเลยไหม และนายเต้ก็ให้การถึงปมปัญหาความขัดแย้ง ที่พบว่ามีอยู่ประมาณ 1-2 คน แต่ตำรวจยังไม่เปิดรายละเอียด บอกเพียงว่า นายเต้ น้องชายเสี่ยต้น ผู้ตาย ให้การเป็นประโยชน์ ส่วนประเด็นเรื่องการตายที่จังหวัดมหาสารคาม นายเต้ก็ว่าไปตามที่แม่เรียกร้องหาความเป็นธรรม


โดยในวันพรุ่งนี้ ตำรวจได้นัดสอบปากคำบุคคลที่เกี่ยวข้อง ซึ่งถูกพาดพิงจากการสอบปากคำของคุณมด ภรรยาเสี่ยต้น คุณเจ น้องสาวของเสี่ยต้น และ คุณเต้ น้องชายของเสี่ยต้น รวมถึงแม่ของเสี่ยต้นไปแล้ว ซึ่งปรากฏว่ายังมีบุคคลที่ถูกกล่าวถึงหลายคน หนึ่งในนั้นคือ น้องสาวของคุณมด ภรรยาของเสี่ยต้น ที่มีความเชื่อมโยงในข้อความแชตลับ โดยจะต้องเรียกมาสอบปากคำให้สิ้นข้อสงสัยในทุกประเด็น โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างคนตายกับครอบครัวของฝั่งภรรยา


ขณะที่ น.ส.มด ภรรยาของนายพิชิต หรือ เสี่ยต้น และครอบครัว พร้อมนายอนุสรณ์ อะสุระพงษ์ ทนายความส่วนตัว หอบหลักฐานเดินทางมาที่ สภ.ยางสีสุราช เพื่อให้ปากคำเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวน ถึงประเด็นการเสียชีวิตของนายพิชิต และภายหลังการสอบสวน น.ส.มด ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ บอกว่า ตนรู้สึกเสียใจและเสียความรู้สึกมากที่ครอบครัวฝั่งสามีออกมาโจมตีตนแบบนี้ โดยก่อนหน้านี้ตนได้พูดคุยกับครอบครัวสามีว่าจะสร้างกุฏิให้หลวงพ่อ และยกคอนโดให้แม่จริง แต่แค่ตอนนี้ตนยังไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดกจึงยังทำอะไรไม่ได้ เชื่อว่าขั้นตอนการโอนทรัพย์สินนั้น คงไม่รวดเร็วทันใจฝั่งครอบครัวสามี เขาเลยมาร้องเรียนและโจมตีว่าตนฆ่าวางยาสามีตัวเอง




โดยหลังเกิดเหตุ ตนกับครอบครัวสามีไม่ได้คุยกันเลย หรือถ้าหากพูดคุยกันอีกฝ่ายก็จะถามแต่เรื่องเงิน เขากังวลว่าหากอนาคตข้างหน้า น.ส.มด ไปมีครอบครัวใหม่ ใครจะเป็นคนส่งเสียเลี้ยงดูพ่อแม่ของนายพิชิต ในส่วนนี้ น.ส.มด ก็ได้เปิดใจว่า ตนนั้นไม่ใช่ทาสของครอบครัวนายพิชิต ตนเป็นเพียงแค่ลูกสะใภ้ ตนจึงมองว่าหน้าที่ในการดูแลพ่อแม่ควรจะเป็นลูกแท้ ๆ หรือเปล่า


ล่าสุดเมื่อคืนวานนี้ ตนได้คุยกับแม่ของสามี ตอนนั้นตนเห็นว่าแม่ของนายพิชิตกำลังเก็บของ แต่เขาไม่ได้เก็บของตัวเองเพื่อย้ายออกจากคอนโด แต่เป็นการเก็บข้าวของตนและสามีออกจากห้อง และภาพที่เห็นคือแม่เอาของที่เป็นความทรงจำระหว่างตนกับสามีใส่ถุงดำ เหมือนขยะ ตนรู้สึกเสียใจและรับไม่ได้


โดย น.ส.มด ยืนยันว่าปกติสามีไม่มีโรคประจำตัว แต่เป็นคนนอนกรนและจะมีบางช่วงที่หยุดหายใจ ตนก็จะคอยปลุกให้ตื่น คอยจับพลิกตัวเพื่อให้สามีหายใจสะดวกขึ้น ซึ่งสามีจะเป็นแบบนี้ตลอด ฉะนั้นภาพที่ทุกคนเห็นในคืนนั้น คือ กินข้าวเสร็จ สามีนอนหลับ มีเสียงกรน ทุกคนเลยแยกย้ายไปนอน ส่วนถ้าถามว่าทำไมไม่พานายพิชิตไปนอนในบ้านนั้น เป็นความต้องการของสามีเอง เพราะหลังจากทานข้าวเสร็จนายพิชิตก็ได้บอกว่าจะออกไปนอนรีสอร์ต


แต่ทว่า นายพิชิตก็เมาหนักและก็ไม่มีรถที่จะขับออกไปรีสอร์ต คนที่บ้านจึงบอกให้นายพิชิตนอนที่บ้าน ซึ่งนายพิชิตนั้นก็ไม่กล้าเข้าไปนอนในบ้าน เพราะความรู้สึกผิดที่เคยทำไม่ดีไว้กับภรรยา นายพิชิตจึงขอไปนอนที่ทุ่งนาแต่แม่ของตนก็ไม่ให้ไปเพราะกลัวว่าเมาแล้วจะไปเดินตกน้ำตกท่า จากนั้นนายพิชิตจึงขอไปนอนที่ดาดฟ้าบนชั้นสองของบ้าน แต่แม่ของตนก็ไม่ให้ขึ้นไปเพราะกลัวจะพลัดตกลงมา ท้ายที่สุดนายพิชิตจึงตัดสินใจนอนที่ศาลาหน้าบ้าน ตนและแม่จึงได้นำหมอนผ้าห่มและพัดลมมาเปิดไว้ให้ที่หน้าบ้าน




หากถามว่าเหตุใดตนจึงไม่ส่งศพสามีไปชันสูตรที่โรงพยาบาล เป็นเพราะตนไม่รู้กระบวนการ อีกทั้งเเพทย์เวรมีการตรวจร่างกายโดยละเอียดเเล้ว ไม่พบบาดเเผล เเละไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย ตนเองจึงไม่ติดใจ เจ้าหน้าที่ก็อนุญาตให้นำศพทำพิธีได้เลย โดยที่ไม่ต้องส่งชันสูตร นอกจากนี้สภาพศพยังดูปกติเหมือนคนนอนหลับ ไม่ได้มือหงิก หรือเขียวคล้ำตามที่เป็นข่าว ดังนั้นตนจึงมองว่าไม่ใช่เรื่องเเปลก เพราะตอนที่พ่อของตนเสียชีวิต ก็ยังนำร่างมาทำพิธีโดยที่ไม่ได้ส่งชันสูตร เเละยืนยันว่าตนไม่ได้เร่งรัดจัดงานศพ เพราะหลังจากสามีเสียชีวิต ตนเองก็ยังไม่ได้กำหนดวันฌาปณกิจที่ชัดเจน เพราะต้องรอครอบครัวสามีเดินทางมาก่อน


ถ้าถามว่านายพิชิตเคยใช้สารหรือยาตัวไหนบ้าง น.ส.มด ยอมรับว่าสามีใช้สเตียรอยด์ในการเร่งกล้ามจริง แต่โค้ชยืนยันว่าไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยนายพิชิตก็มีการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งเวลาที่สามีใช้ยาตัวนี้ตนเองจะทราบเพราะจะได้กลิ่นสารเคมีอยู่ในห้อง ส่วนสามีจะใช้สารอย่างอื่นหรือไม่นั้น ตนไม่รู้เพราะสามีไม่ได้บอก


ส่วนประเด็นที่เกิดขึ้นในพื้นที่ สน.วังทองหลาง เป็นเหตุการณ์ที่นายพิชิตถูกประกบยิงจากมือปืนรับจ้าง น.ส.มด บอกว่ายังไม่เคยทราบมาก่อนว่าเป็นฝีมือของใคร แต่ในช่วงเย็นวันนั้น (8 เม.ย.) ตนก็ยังนั่งกินข้าวต้มกับสามีตามปกติที่ร้านประจำใกล้บ้าน แล้วก็แยกย้ายกันไป จากนั้นก็มีการนัดเจอกันอีกครั้งในช่วงกลางดึก แต่ตนยอมรับว่าตอนที่นัดเจอกันรอบ 2 กับนายพิชิต ตนไม่ได้ไปตามนัดจริง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติเพราะบางครั้งนายพิชิตก็เป็นฝ่ายเบี้ยวนัดบ้าง ตนเป็นฝ่ายเบี้ยวนัดบ้าง สลับกันไปตามจังหวะเวลาของแต่ละคน แต่ยืนยันว่าหลังจากที่นายพิชิตถูกไล่ยิง ตนเป็นคนพานายพิชิตไปแจ้งความไว้ที่ สน.วังทองหลาง จนถึงเวลาตี 4 ถึงจะได้กลับบ้านพร้อมกัน ในตอนนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งแค่ว่าให้รอสืบสวนตามกระบวนการ




แต่ถ้าถามว่าก่อนหน้านี้นายพิชิตได้มีความขัดแย้งหรือมีปัญหาอะหากับใคร น.ส.มด ก็ยังคงยืนยันว่าไม่รู้และไม่แน่ใจ พร้อมกับบอกให้ไปถามคนใกล้ชิดอย่าง “นายเต้” ซึ่งเป็นน้องชายของนายพิชิต เนื่องจากก่อนที่นายพิชิตจะมาหาตน นายพิชิตก็ได้อยู่กับน้องชายของตัวเอง นอกจากนี้หลังจากที่นายพิชิตเสียชีวิต นายเต้ก็มีการโทรศัพท์มาบอกตนว่า นายพิชิตเคยไปกู้หนี้นอกระบบมาจึงอยากให้ น.ส.มด นำเงินมาใช้หนี้นอกระบบให้ แต่ตอนนั้นอีกฝ่ายไม่ได้นำสลิปเงินมาให้ตนดู ตนจึงไม่เชื่อและไม่ได้โอนเงินไปให้ ต่อมานายเต้ก็บอกว่าแม่ของน้องสะใภ้ป่วยจึงอยากขอยืมเงิน 15,000 บาท ไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล แต่พอตนโอนเงินไปให้ ปรากฏว่าอีกฝ่ายโทร. กลับมาบอกว่า “เงินที่โอนให้แม่น้องสะใภ้ เอาไปใช้หนี้ให้พี่ต้นแล้วนะ” ทำให้ตนรู้สึกงงว่าเงินที่ตนให้ยืมไปนั้นจะได้กลับคืนมาหรือไม่ ตนจึงสงสัยว่าพี่น้องคู่นี้ไปทำอะไรกันมา เพราะตนก็เคยเปิดไปเห็นแชตระหว่างสามีและน้องชายมีการพูดถึงการสั่งซื้อปืน เพราะฉะนั้นตนยืนยันว่าไม่ทราบจริง ๆ ว่าระหว่างที่แยกกันอยู่กับสามี นายพิชิตจะไปมีปัญหาอะไรกับใครหรือเปล่า และตนได้ให้ข้อมูลเหล่านี้ไปกับพนักงานสอบสวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ส่วนประเด็นที่น้องสาวสามีสงสัย ว่า มือถือของสามีไม่ได้หายไปไหนนั้น คือ วันที่เกิดเหตุทุกอย่างมันวุ่นวาย โทรศัพท์จึงถูกเก็บไว้ในถุงที่เก็บรวมของต่าง ๆ หลังเสร็จงานจัดของเข้าที่เข้าทางจึงเจอโทรศัพท์ของสามี และตนได้นำไปมอบให้ตำรวจ สภ.วังทองหลาง แล้ว

 

"เดชา" เผยคดี "CEO" พิรุธเพียบ เมียสงสัยสเตียรอยด์ทำ "ศพดำ"