จากกรณีเวลา 10.30 น. วันนี้ (22 พฤษภาคม 2567) พ.ต.อ.ชัชวาลย์ ดวงแก้ว ผกก.สภ.เมืองสกลนคร รับแจ้งเหตุชายคิดสั้นทำท่าจะกระโดดสะพานลอย จึงประสานกำลังเจ้าหน้าที่ชุดจราจร สายตรวจ กู้ชีพโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร กู้ภัย และ ศูนย์ ปภ.เขต 7 รุดไปยังที่เกิดเหตุ โดยที่เกิดเหตุอยู่ที่บริเวณสะพานลอย ถนนนิตโย สกลนคร-อุดรธานี ใกล้ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ต้องจัดการจราจร เนื่องจากค่อนข้างมีรถสัญจรไปมาหนาแน่น จากนั้นจึงกางเบาะลมเตรียมพร้อมบริเวณด้านล่างของสะพานลอย เมื่อขึ้นไปตรวจสอบ พบเป็นชาย ทราบต่อมาชื่อ นายกฤติพงษ์ หรือ พีท อายุ 46 ปี เป็นชาว กทม. อยู่ในอาการลักษณะเครียด






ต่อมา ตำรวจ สภ.เมืองสกลนคร ชุดเจรจาขึ้นไปพูดคุยเพื่อเกลี้ยกล่อม จนทราบว่าชายรายนี้มีปัญหาในการสู่ขอสาวชาว จ.สกลนคร เมื่อ 2-3 อาทิตย์ก่อน เพราะไม่มีเงินไปสู่ขอสาวตามที่ชายคนนี้ไปรับปากไว้ และทางญาติฝ่ายสาวไม่ปลื้มกับชายรายนี้ จึงทำให้เครียดมาหลายวันก่อนจะมาเป็นเรื่องนำไปสู่การคิดสั้นดังกล่าว

 

จากนั้น เจ้าหน้าที่ก็พยายามติดต่อโทรศัพท์ไปหาฝ่ายหญิงตามที่ชายรายนี้อยากจะคุยด้วย กระทั่งวางโทรศัพท์ไว้เพื่อให้ติดต่อกัน ชายรายนี้เลยจะเดินไปหยิบโทรศัพท์พอได้จังหวะ เจ้าหน้าที่ที่รออยู่ก็เลยเข้าควบคุมตัวไว้เพื่อความปลอดภัย ก่อนจะนำตัวกลับลงมาบริเวณด้านล่าง นำตัวส่งโรงพยาบาลศูนย์สกลนคร เพื่อตรวจเช็กร่างกาย จากนั้นจะได้นำตัวไป สภ.เมืองสกลนคร เพื่อหาทางช่วยเหลือและเกลี้ยกล่อมดึงสติกลับมา


พ.ต.อ.ชัชวาลย์ ดวงแก้ว ผกก.สภ.เมืองสกลนคร กล่าวว่า เบื้องต้นทราบว่าชายรายนี้มีปัญหาเรื่องความรักกับหญิงสาวรายหนึ่งที่ไปรู้จักกันมาได้ประมาณ 1 ปี ในจังหวัดอื่น จนทำให้งานสู่ขอนั้นยกเลิกไป ฝ่ายชายเครียดกับเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะไม่มีเงินไปสู่ขอ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลทางฝ่ายหญิงทราบคร่าว ๆ มาว่าชายรายนี้ไม่มีที่อยู่หรืออาชีพเป็นหลักแหล่งและมีพิรุธ ทางครอบครัวและฝ่ายหญิงเลยไม่มั่นใจเกรงว่าจะถูกหลอกลวง ส่วนสาเหตุจูงใจครั้งนี้ก็เพราะเครียดและอยากพูดคุยกับหญิงสาวของเขา




อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวเองถึงกับโอละพ่อ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุชายรายนี้ก็ต้องร้องอ๋อทันที เพราะก่อนหน้านี้เมื่อ 4 วันก่อน ชายรายนี้ได้ไปโพสต์ขายอวัยวะ บอกหาเงินไปใช้หนี้แฟนสาว 2 แสนบาท จนโซเซียลพากันแชร์ออกไปจำนวนมาก เมื่อผู้สื่อข่าวได้ไปพบกับนายพีท ทราบมาว่าอดีตมีอาชีพขายผลไม้ ได้ไปพบรักหญิงสาวชาว จ.สกลนคร ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และเตรียมมาสู่ขอที่ จ.สกลนคร แต่ไม่มีเงินสู่ขอ หลังพูดคุยกับนายพีทการจะขายอวัยวะนั้นผิดกฎหมาย จนผู้สื่อข่าวต้องเกลี้ยกล่อมให้ไปหาทางออกแล้วคุยกันดี ๆ ซึ่งตอนนั้นชายรายนี้ก็บ่นอยู่ตลอดว่ารักหญิงสาวคนนี้มาก หากหาเงินไม่ได้ก็บ่นคิดสั้นจนเกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น ทั้งนี้ส่วนเรื่องราวจะจบยังไงนั้นไม่ทราบได้ เพราะทางฝ่ายหญิงนั้นไม่ออกสื่อหรือตอบประเด็นใด ๆ กับเรื่องนี้ โดยอ้างว่าก็เสียหายเช่นกัน




ล่าสุด ทีมข่าวช่อง 8 ได้เข้าพูดคุยกับนางสาวเกด (นามสมมติ) อดีตเจ้าสาวของนายพีท เปิดใจกับทีมข่าวว่า ตนเองรู้จักกับนายกฤติพงษ์ หรือ พีท เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 เขาทักมาจีบตนในเฟซบุ๊ก ก่อนที่จะคุย ๆ กันได้ประมาณ 10 กว่าวัน และนัดเจอแถวที่ทำงานตนที่อยุธยา โดยตอนที่เจอกันเขาก็มีท่าทีแปลก ๆ ตนพาเขามาที่บ้าน เขาก็ไม่นอนเลยทั้งคืน แล้วพอเช้ามาตนก็พบว่าเขาหนีหายไป ทั้ง ๆ ที่ตกลงกันว่าเดี๋ยวตอนเช้าจะไปเที่ยวกัน ตนจึงไม่ได้คุยกับเขาต่อ


ต่อมาช่วงเดือนมกราคม 2567 เขาก็ได้ติดต่อตนมาและได้ถามตนว่าตนกลับบ้านที่สกลนครหรือไม่ ก็เลยได้กลับมาคุย ๆ กันอีกครั้ง และเขาก็บอกว่ารอบนี้เขาจริงจัง จะมาสู่ขอแต่งงานกับตน ซึ่งเขาก็ได้มีการหลอกตนว่าเขาเป็นกำนันอยู่ที่จังหวัดระยอง และมีสวนทุเรียนเป็นของตัวเอง ซึ่งตนมารู้ทีหลังว่าไม่ใช่




จากนั้นก็ได้มีการตกลงกันว่าจะแต่งงานในตนเดือนพฤษภาคม 2567 นี้ และก็มาอยู่บ้านตนที่สกลนครด้วย ต่อมาเขาได้บอกว่าคนรับซื้อทุเรียนรายใหญ่โกงเงินเขา เขาขอกลับไปขึ้นศาลก่อนในวันที่ 6 พฤษภาคม แล้วเดี๋ยวเขาจะโอนเงินค่าแต่งงานมาให้ตน 5 แสน ในวันที่ 15 แต่ก็ไม่ได้โอน พอวันที่ 16 ซึ่งเป็นวันแต่งงาน ทางฝ่ายตนก็ได้มีการเตรียมงานแต่งขึ้น โดยเขาบอกว่าฝ่ายหญิงต้องเป็นคนจ่ายค่าจัดงาน ตนก็จ่ายไป 30,000 กว่าบาท เพื่อจัดงานแต่งขึ้นที่บ้านตน แต่สุดท้ายนายพีทหนีไปจากงานแต่ง


โดนเหตุการณ์คือ ช่วงตี 4 นายพีทบอกว่าจะต้องไปรับญาติที่สนามบิน โดยญาติจะเอาสินสอดมาให้เงิน 2 แสนบาท และทอง 2 บาท ตนก็งงว่ามันมีไฟท์บินมาสกลตอนตี 4 ด้วยหรือ แต่ก็ไม่ได้อะไร นายพีทก็ได้ขับรถไปส่งตนที่ร้านแต่งหน้า และเขาก็ไปสนามบินพร้อมน้องชายตน


จากนั้นประมาณ 6 โมงเช้า นายพีทได้โทรมาหาตน และบอกตนว่าญาติคนนั้นไม่มาแล้ว และเอาเงินเขาหนีไป ตนจึงถามเขาว่าแล้วจะเอายังไงต่อ นายพีทจึงบอกตนว่า เขาจะต้องกลับระยองเพื่อไปตามเอาเงินคืน ตนก็ว่าจะตามได้ยังไง 9 โมงเราจะต้องเข้าพิธีกันแล้ว ตนเลยเสนอให้เขามาเข้าพิธีก่อน เพราะเสร็จงานค่อยไปตามญาติที่ระยองด้วยกัน แต่เขาบอกไม่ได้ต้องไปเลย




ตนจึงรีบเดินทางไปสนามบิน โดยโทร. บอกน้องชายตนให้เฝ้าเขาไว้ แต่เขาหนีไปโดยใช้จังหวะน้องขายตนเผลอ ตนถึงสนามบินก็ตามหาเขาแต่ไม่พบ ตนจึงโทร. แจ้งตำรวจ ตำรวจก็มาแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จนตนไปพบกับคนขับแท็กซี่ เขาเลยบอกว่าเพิ่งไปส่งนายพีทที่ บขส.สกล ตนจึงตามไปอีกก็ไม่พบ จึงไปแจ้งความที่ สภ.เมืองสกลนคร แต่เขาไม่รับแจ้ง และให้ตนไปคุยกับทนาย ทนายก็บอกว่ามันเป็นคดีแพ่ง จะต้องฟ้องร้องเอาเท่านั้น และให้คนไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สภ.กุดบาก ซึ่งเป็นท้องที่บ้านตนที่ตัดงานแต่ง ตนก็ไปลงไว้


จากนั้นเขาก็ได้มีการโทร. หาตน ตนก็คุยกับเขาบ้างเล็กน้อย แต่ตนไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขาแล้ว จากนั้นวันที่ 20 ตนพาพ่อไปหาหมอตามนัด เขารู้เขาก็มาดักรอ พอตนจอดรถเขาก็มาขึ้นรถตน และเปิดกระเป๋าให้ตนดู ตนก็เห็นมีดเล่มหนึ่งในกระเป๋า ตนจึงแย่งมีดมาเอาไปทิ้ง เขาจึงขอติดรถตนว่าให้ไปส่งที่ บขส. เขาจะกลับระยอง พอตนไปส่งเขากลับไม่ลงรถ และบอกว่ามีคนโทร. มาให้ไปรอที่เซเว่นฯ ตนก็เลยบอกว่าไม่ไปแล้ว และจะจอดส่งเขาตรงนี้ และตนจึงจอดให้เขาลงสะพานที่เขาจะโดดวันนี้ แต่เบาบอกว่าจอดตรงนี้ไม่มีรถผ่านกลับไม่ได้ ตนจึงไปส่งที่หน้าโรบินสัน พอเขาจะลงรถเขาก็ได้หยิบกิ๊ปการ์ดตนไป และบอกตนว่าหากอยากได้คืน ก็ให้ลงไปคุยกับเขา ตนจึงบอกเขาเอาไปเลย แล้วตนก็ขับรถออกไปเลย




จนพอมาวันนี้ตำรวจโทร. มาหาตนให้ช่วยเกลี่ยกล่อมเขา ตนจึงบอกตำรวจไปว่าตนเป็นผู้เสียหายนะ ตนโดนเขาหลอกแบบนี้นะ ตำรวจเขาก็เลยบอกให้ตนพูดกับนายพีทให้เขาไม่โดดก่อน เลยให้ตนหลอกเขาว่าเดี๋ยวตนจะไปหา จนสุดท้ายตำรวจระงับเหตุได้ ตนก็ไม่ได้มีการพูดคุยกับนายพีทอีก แต่ทางโรงพยาบาลก็ได้ติดต่อตนมาให้ตนไปรับตัว ตนก็บอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกัน และไม่ต้องพามาส่งให้ตนด้วย


นอกจากนี้ พอตนไปเช็กประวัตินายพีทนั้น พบว่า เขาเป็นมิจฉาชีพเลย มีคดีติดตัวทั้งลักทรัพย์ต่าง ๆ นอกจากนี้ตอนอยู่บ้านตนเขายังได้ขโมยสร้อยข้อมือทอง 2 สลึง และโน๊ตบุ๊ก สร้อยพระต่าง ๆ ตนไปอีกด้วย