จากกรณีเช้าของวันที่ 22 พ.ค. ที่ผ่านมา ช่วงเวลาประมาณ 08.50 น. นางไพรินทร์ อายุ 58 ปี ได้เดินทางเข้ามาบันทึกประจำวันที่ สน.บางยี่ขัน ว่าของหายเพื่อจะนำบันทึกประจำวันไปขอดูภาพจากกล้องวงจรปิดของกรุงเทพมหานคร ต่อมานางไพรินทร์ได้เดินทางกลับมาที่ สภ.บางยี่ขัน อีกครั้ง และแจ้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ได้ทำทองหล่นหายบริเวณสะพานลอย ตรงข้ามโลตัสปิ่นเกล้า น้ำหนักกว่า 40 บาท และอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อหาทองคำที่หล่นหาย เบื้องต้นชุดสืบไล่กล้องวงจรปิดพบภาพจากกล้องวงจรปิด ขณะที่นางไพรินทร์ทำถุงที่ระบุว่ามีทองอยู่ข้างในหล่นแล้ว แต่ขณะนี้กำลังไล่ตรวจสอบอยู่ว่า รถคันไหนหรือใคร ที่มาเก็บกระเป๋าใส่ทอง ดังกล่าวไป


นอกจากนี้ยังมีข้อมูลอีกว่า นางไพรินทร์ รับฝากทอง ซึ่งเป็นร้านทองแห่งหนึ่ง ในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี และร้านทองที่เพชรบุรี นำทองมาส่งให้นางไพรินทร์ ที่ จ.นครปฐม ก่อนที่นางไพรินทร์จะนำทองมาส่งให้กับร้านทองแห่งหนึ่งใน กทม. และทองคำน้ำหนัก 604.1 กรัม (หรือน้ำหนักครึ่งกิโลกว่า ๆ ประมาณ 49 บาท) หล่นหายดังกล่าว




ล่าสุดวันนี้ (23 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าทางคดี ที่ สภ.บางยี่ขัน กรุงเทพฯ โดยตามข้อมูลที่ตำรวจให้มากับทีมข่าว คือ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ทางนางไพรินทร์ ผู้เสียหาย ที่มาแจ้งความว่าทำทองหล่นหายไม่ประสงค์ให้ข้อมูลอะไรกับสื่อ โดยตามคำให้การที่นางไพรินทร์ แจ้งไทม์ไลน์กับตำรวจไว้ในการสอบปากคำ เวลา 08.51 น. วันที่ 22 พฤษภาคม นางไพรินทร์ อ้างว่าทำกระเป๋าหล่นหาย ซึ่งภายในมีกระเป๋าเงินมีบัตรต่าง ๆ และมีกล่องกระดาษบรรจุทองของร้านทองศรีภูมิ ซึ่งฝากมาให้ไปขายที่ร้านทอง คุณฮั้ว น้ำหนักรวมประมาณ 49 บาท ทองรูปพรรณ (เก่า) และทองแท่ง ราคาประมาณ 1 ล้าน 9 แสนเศษ


ส่วนพฤติการณ์ในวันที่ทำของมีค่าหล่นหาย ตามวันเวลาก่อนเกิดเหตุ นางไพรินทร์ ในฐานะที่เป็นพนักงานของร้านทองคุณฮั้ว อยู่ภายในห้างดิโอสยาม และทำงานมาประมาณ 25 ปี แล้ว ซึ่งจะเข้าทำงานเวลาประมาณ 09.00 น. เลิกงานประมาณ 17.00 น. และมีวันหยุดเป็นวันอาทิตย์ โดยในช่วงการทำงานแต่ละวันจะต้องเดินทางไปกลับ บ้านที่จังหวัดนครปฐม และที่ทำงานในกรุงเทพฯ ซึ่งจะนั่งรถโดยสารประจำทางมินิบัส สาย NK 997 วิ่งจาก นครปฐมมาที่ปิ่นเกล้า และลงรถบริเวณหน้าห้างเมเจอร์ปิ่นเกล้า แล้วจึงนั่งรถประจำทางสายที่วิ่งผ่านไปลงที่ห้างดิโอสยาม เป็นปกติทุกวัน หากแต่วันไหนมาสายก็จะนั่งวินจักรยานยนต์ที่หน้าห้างเมเจอร์แทน


โดยปกติ นางไพรินทร์ รู้จักกับร้านทองศรีภูมิ มาประมาณ 25 ปี แล้วตั้งแต่ทำงาน ซึ่งร้านดังกล่าวมีนายปุ๊ เป็นเจ้าของ โดยนายปุ๊จะนำทางรูปพรรณเก่า (ทองที่ใช้แล้ว ซึ่งรับซื้อจากประชาชน) มาฝากไปส่งขายที่ร้านทองคุณฮั้ว ที่นางไพรินทร์ทำงานอยู่ แต่นางไพรินทร์ไม่ทราบเรื่องราคาหรือการซื้อขายใด ๆ โดยเรื่องการซื้อขายจะเป็นเรื่องของเจ้าของร้านไปคุยกันเอง ส่วนนางไพรินทร์เพียงมีน้ำใจช่วยรับฝากไปส่งให้เท่านั้น โดยไม่มีค่าฝากแต่อย่างใด ที่ร้านทองคุณฮั่วก็ไม่ได้สั่งให้ทำแต่อย่างใด เป็นการที่มีน้ำใจทำให้กับลูกค้าเอง ซึ่งรับฝากส่งทองมาประมาณ 3-4 ปี


โดยวิธีที่นายปุ๊นำมาฝากนั้น คือ จะนำกล่องบรรจุทองอยู่ด้านใน ไม่สามารถมองเห็นได้ เป็นกล่องกระดาษสีขาวพันเทปกาวไว้ 1 รอบ แล้วเขียนคำว่า “ศรีภูมิ” ซึ่งเป็นชื่อร้านทองไว้ และจะไม่ทราบว่ามีน้ำหนักเท่าใด ส่วนวันเวลาฝากนั้น แล้วแต่รอบว่าจะมาฝากตอนไหน ไม่กำหนดแน่ชัด หากจะฝากนายปุ๊จะโทร. บอกแล้วนำมาฝากที่บ้านในจังหวัดนครปฐม


ต่อมาเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม เวลาประมาณ 19.30 น. นายปุ๊ได้นำทองมาฝากเหมือนเช่นเคย โดยเป็นกล่องกระดาษสีขาว พันเทปกาว แล้วเขียนชื่อ “ศรีภูมิ” ส่วนเรื่องน้ำหนักของทองนั้น จะอยู่ในกล่องโดยไม่ทราบว่าภายในมีทองอยู่กี่บาท จากนั้นวันที่ 22 พฤษภาคม เวลาประมาณ 07.20 น. นางไพรินทร์ ให้การว่าได้ขึ้นรถมาจากองค์พระปฐมเจดี จังหวัดนครปฐม ซึ่งจะไปลงที่เมเจอร์ปิ่นเกล้า แล้วต่อด้วยรถจักรยานยนต์เพราะว่าสายแล้ว


ซึ่งนางไพรินทร์ ยังให้การอีกว่า นำกล่องใส่ทองใส่ไว้ในกระเป๋าผ้ามีลาย สีครีม และมีกระเป๋าเงินอยู่ด้วย ซึ่งตอนที่ขึ้นวินรถ จยย. มีการนำมาวางไว้บนตักแล้วนั่งรถจักรยานยนต์ออกมาจากป้ายรถเมล์ กระทั่งเมื่อมาถึงบริเวณ ปากซอยศรีรงค์ทอง ได้ทำกระเป๋าใบดังกล่าวหล่นลงรถ จึงบอกให้รถจักรยานยนต์ขี่เลยไปนิดหน่อย จากนั้นได้บอกกับวินว่า ทำของหล่นให้ย้อนศรกลับไปดู ปรากฏว่าไม่พบกระเป๋าแล้ว ไม่ทราบว่าผู้ใดเอาไป และนางไพรินทร์ยังให้การว่า ตอนที่ย้อนกลับมาดูของมีการเดินหาอยู่บริเวณดังกล่าว พร้อมกับโทร. บอกนายปุ๊ว่าทำกระเป๋าหล่น นายปุ๊จึงบอกว่าให้โทร. แจ้ง จส.100 ให้ช่วยตามหา


จากนั้น เมื่อของหายจึงได้โทร. ไปแจ้ง นายพิชัย ซึ่งเป็นพนักงานร้านทองเดียวกัน บอกว่ากระเป๋าที่ใส่ทองหายไป นายพิชัย ซึ่งมีบ้านอยู่แถวบางบัวทอง ก็ขี่รถจักรยานยนต์จะไปทำงานพอดี ได้ขี่มาหาและพาไปแจ้งความ ซึ่งทางตำรวจก็ถามว่า​เหตุใดตอนแจ้งความจึงแจ้งว่า เป็นเรื่องเอกสารหาย ปรากฏว่านางไพรินทร์ ตอบว่าเป็น​เพราะ ในกระเป๋าที่หาย มีกระเป๋าเงินและเอกสารอยู่ด้วย ส่วนเรื่องที่ไม่ยอมบอกจำนวนทองและราคา เพราะไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของจึงไม่กล้าบอก




โดยทางตำรวจถามต่อว่า​ ทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายไป มีอะไรบ้าง โดยนางไพรินทร์ ก็ตอบว่า​ทรัพย์สินที่ถูกประทุษร้ายไป คือ 1. กระเป๋าผ้ามีลาย สีครีม จำนวน 1 ใบ ราคา 2,000 บาท 2. กระป๋าเงิน ราคาประมาณ 1,000 บาท 3. บัตรประชาชนและบัตรต่าง ๆ จำนวนหลายใบ จำแน่ชัดไม่ได้ 4. กล่องกระดาษสีขาวพันเทปกาวไว้ 1 รอบ แล้วเขียนคำว่า “ศรีภูมิ” ภายในมีทองคำรูปพรรณและทองคำแท่ง น้ำหนักรวมประมาณ 49 บาท ราคาประมาณ 1,900,000 บาทเศษ


จากนั้น ตำรวจจึงถาม​ต่อว่า หลังจากเกิดเหตุ ทำอะไรบ้างดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งนางไพรินทร์ ให้การว่าโทร. แจ้งนายปุ๊ ซึ่งเป็นเจ้าของทอง และได้ตามหาจนแน่ใจว่าหาย จึงมาแจ้งความแล้วไปขอดูกล้องที่สำนักงานเขตบางพลัด โดยให้นายพิชัยเป็นคนพาไป ผลปรากฏว่า เจ้าหน้าที่แจ้งว่ากล้องออฟไลน์ต้องให้ช่างไปดู และดึงข้อมูลมาใช้เวลาประมาณ 4-5 วัน จากนั้นตนเองกับนายพิชัยจึงได้กลับมาที่ สน.บางยี่ขัน ไปดูกล้องกับเจ้าหน้าที่สืบสวน เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะดำเนินการให้รอเจ้าหน้าที่ที่ดูได้มาเสียก่อน ตนกับนายพิชัยจึงได้กลับไปทำงานที่ร้าน


ต่อมาได้รับแจ้งจาก นายปุ๊ เจ้าของทอง ว่าให้มาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน แต่จำหมายเลขวินรถจักรยานยนต์และชื่อวินไม่ได้ จำได้เพียงใส่เสื้อวินสีส้ม ใส่หมวกกันน็อกครึ่งใบและใส่หน้ากากอนามัย และตอนที่รู้สึกว่าทองหล่น จำได้แค่ว่ามีรถแท็กซี่จอดบริเวณดังกล่าวประมาณ 3-4 คัน แต่จำสีและป้ายทะเบียนไม่ได้ จากนั้นได้เดินไปถามคนขับรถแท็กซี่ที่จอดอยู่บริเวณดังกล่าว และสอบถามร้านกาแฟ แต่ทุกคนพูดว่า ไม่เห็น

 


ส่วนวงจรปิดในวันเกิดเหตุ กล้องของตำรวจที่หน้าเมเจอร์ วงจรปิดชุดที่ 1 จะเห็นว่า เวลา 08.18 น. ของวันที่ 22 พฤษภาคม รถมินิบัสขับเข้ามาจอดที่ป้ายรถเมล์หน้าเมเจอร์ และให้สังเกตที่ถนนว่าวันเวลาดังกล่าวเป็นวันหยุด ซึ่งรถไม่ได้ติดตามคำให้การของนางไพรินทร์


ส่วนวงจรปิดคลิปที่ 2 จะเห็นว่าเมื่อรถมินิบัสจอด ก็จะเห็นนางไพรินทร์เดินลงมาจากรถ แต่ไม่เห็นตอนเดินไปขึ้นวิน เนื่องจากมีเต็นท์บังอยู่ จากนั้นคลิปที่ 3 เมื่อรถมินิบัสขับออกไปแล้ว ก็จะเห็นว่านางไพรินทร์มีการนั่งวิน จยย. ออกไปจริง ๆ ซึ่งเมื่อวินขี่รถออกไปแล้ว ภาพไกล ๆ จะเห็นเงาคล้าย ๆ กับมีของตกลงมาที่ถนน จากนั้นก็จะเห็นว่าวิน จยย. มีการชิดซ้ายเข้ามาที่เลนในสุด และคลิปที่ 4 ทีมข่าวก็ไม่เห็นใครจอดรถหยิบของหรือมีใครวิ่งออกไปเก็บของที่ถนน




ส่วนวงจรปิดชุดที่ 2 ที่ทีมข่าวช่อง 8 ไปไล่กล้องตามทางมา จะเป็นกล้องวงจรปิด 2 จุด ซึ่งกล้องจุดที่ 1 จะเป็นจุดที่นางไพรินทร์ อ้างว่าทำกระเป๋าทองหล่น โดยภาพมุมที่ 1 และมุมที่ 2 จะเห็นว่า หลังจากนางไพรินทร์ ขึ้นรถวิน จยย. ออกมาผ่านหน้ากล้อง ก็จะเห็นว่ามีกระเป๋าสีขาว ๆ วางอยู่บนตัก แต่ไม่มีอะไรหล่นลงมาตามที่นางไพรินทร์ ให้การกับตำรวจ หรือจำผิดหรือไม่ว่าทำของหล่นลงมาตรงจุดดังกล่าว




ส่วนวงจรปิดจุดที่ 2 จะเป็นภาพนาทีที่นางไพรินทร์ นั่งวินมาผ่านจุดที่รถแท็กซี่จอดและร้านกาแฟ ตามคำกล่าวอ้างว่ามีการลงรถเดินไปถามกับรถแท็กซี่และถามกับร้านกาแฟ ซึ่งภาพที่ทีมข่าวได้มา จะเห็นว่าวิน จยย. มีการขี่พานางไพรินทร์ ผ่านมาจริง ๆ และในภาพจะเห็นว่ารถวิน จยย. คันดังกล่าว มีการชะลอรถและได้มีการจอดที่ข้างทาง จากนั้นพอจอดรถเสร็จก็จะเห็นว่าวิน จยย. มีการขับรถย้อนศร พานางไพรินทร์ ย้อนกลับไปที่จุดแรก แต่ไม่เห็นนางไพรินทร์ ลงจากรถไปถามรถแท็กซี่ หรือถามที่ร้านกาแฟ


จากนั้น เมื่อย้อนศรตรงกล้องจุดที่ 2 ก็จะเห็นว่าวิน จยย. มีการขี่รถย้อนศพพานางไพรินทร์ ไปที่กล้องจุดแรก จากนั้นก็มีการขี่รถวนกลับมา และมีการจอดแวะที่หน้าปากซอยศรีรงค์ทอง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้เดินถามใครตามที่ให้การกับตำรวจ




ขณะเดียวกัน วงจรปิดเหตุการณ์ดังกล่าวที่เห็นแต่ภาพรถ จยย. ที่นางไพรินทร์ นั่งรถผ่านตามจุดต่าง ๆ วันนี้นอกจากทีมข่าวจะไปไล่ดูรถและดูนางไพรินทร์ ว่าทำอะไรบ้างในวันเกิดเหตุ ทีมข่าวได้ไปไล่กล้องเพิ่มในจุดเดียวกัน แต่กล้องชุดที่ 3 จะเป็นภาพที่ทีมข่าวไปไล่ดูคนเดินผ่านหลังจากที่นางไพรินทร์ อ้างว่าทำทองหล่น


โดยภาพวงจรปิดตัวที่ 1 ทีมข่าวไปพบว่าในเวลาใกล้เคียงที่นางไพรินทร์ อ้างว่าทำทองหล่น มีคนเดินย้อนกลับมาทางเมเจอร์ ทั้งหมด 4 คน ซึ่งคนแรกจะเป็นผู้ชายในเสื้อสีขาวเดินผ่านมา โดยชายเสื้อขาว มีกระเป๋าสีดำห้อยมาด้วย จากนั้นก็เดินผ่านกล้องไป


ส่วนคนที่ 2 เป็นผู้ชายเช่นเดียวกัน แต่เป็นพนักงานร้านที่ทีมข่าวไปเอากล้อง ซึ่งจะเห็นว่าชายคนที่ 2 ถือถุงขาว ๆ มาในมือ แต่ทีมข่าวพิสูจน์ทราบแล้วว่าเป็นถุงใส่กับข้าว ส่วนคนที่ 3 ทีมข่าวพบว่า เป็นผู้หญิงใส่เสื้อสีขาว มีการเดินผ่านกล้องและที่มือมีการหิ้วถุงสีขาว ๆ มาด้วย ส่วนผู้หญิงคนที่ 4 ที่ใส่เสื้อสีชมพูมีการเดินสวนกับ 3 คนแรกไป


ขณะเดียวกันเพื่อความแน่ชัดว่าทั้ง 3 คนที่เดินผ่านมา ได้แวะหยิบอะไรติดไม้ติดมือมาหรือไม่ ซึ่งกล้องจุดนี้จะอยู่ก่อนจะถึงจุดที่นางไพรินทร์ ทำของตก โดยทีมข่าวจึงย้อนกลับไปไล่ดูกล้องอีกจุด ปรากฏว่า ในภาพชายคนที่ 1 มีการเดินผ่านมาและมีกระเป๋าสีดำติดตัวมาอยู่แล้ว ส่วนชายคนที่ 2 ก็ถือถุงแกงมาอยู่แล้ว และผู้หญิงคนที่ 3 ก็ถือถุงสีขาว ๆ ติดมือมาอยู่แล้ว ส่วนผู้หญิงคนที่ 4 ก็เดินผ่านกล้องไปอีกจุด โดยในมือถือเพียงขวดน้ำเท่านั้น




ขณะเดียวกันวันนี้ ทีมข่าวมีโอกาสได้ไปเจอกับคุณนาง อายุ 30 ปี ซึ่งเป็นผู้หญิงคนที่ 3 ที่เดินผ่านกล้องในช่วงไทม์ไลน์ที่นางไพรินทร์ อ้างว่าทำทองตก เปิดเผยว่า ช่วงเวลาดังกล่าว ตนเองเดินผ่านกล้องตามภาพวงจรปิดจริง ซึ่งภาพวงจรปิดที่เห็นกำลังเดินมุ่งหน้าไปที่เมเจอร์ และจะเดินข้ามสะพานลอยไปอีกฝั่ง เนื่องจากที่ทำงานอยู่ฝั่งตรงข้ามเมเจอร์


ส่วนของในมือที่ถือเดินผ่านกล้อง เป็นถุงกับข้าวที่แวะซื้อไปกินที่ทำงาน ส่วนประเด็นที่เดินผ่านกล้อง ถามว่าเห็นอะไรผิดปกติหรือไม่ ยอมรับว่าไม่ได้สังเกตเห็นอะไรตกอยู่บนถนน แต่ที่จำได้ไม่เห็นใครเดินออกไปเก็บของหรือมีรถจอดเก็บของกลางถนน ในระหว่างที่ตนเองเดินผ่าน ยืนยันถ้าส่วนตัวเห็นของตก ยังไงก็ต้องเก็บไปคืนให้เจ้าของ




ขณะเดียวกัน นอกจากทีมข่าวจะไปเจอกับคนที่เดินผ่านกล้อง วันนี้ทีมข่าวยังไปเจอกับพนักงานกวาดถนน เขตบางพลัด ซึ่งคุณกิ๊ก และคุณวรรณ พนักงานฝ่ายรักษาความสะอาดเขตบางพลัด บอกกับทีมข่าวว่า วันเกิดเหตุไม่ได้เข้ามากวาดถนนตรงจุดเกิดเหตุ ซึ่งปกติก็จะเข้ามากวาดถนนตรงจุดเกิดเหตุ แต่เมื่อวานนี้เข้าเวรรอบบ่าย ซึ่งเท่าที่ถามกับเวรรอบเช้า ก็ไม่มีใครเห็นของตกในจุดเกิดเหตุ


ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนตัวก็อยากจะเจอกับคนที่ทำของตก จะได้ช่วยถามกับพนักงานคนอื่นว่ามีใครเห็นหรือมีข้อมูลบ้างหรือไม่ โดยจุดเกิดเหตุ ยอมรับว่าก่อนหน้านี้ก็มีคนมาทำของตกบ่อย และล่าสุดเมื่อวานนี้ตอนเย็นก็มีคนขี่รถมาทำกระเป๋าเงินตก ซึ่งพอทุกคนทำของหาย ก็มุ่งหน้ามาถามแต่คนกวาดถนน ซึ่งทุกครั้งที่ตนเองพบของตกข้างทาง ยืนยันว่านำไปส่งให้ตำรวจทุกครั้ง ยืนยันไม่มีพนักงานคนไหนเห็นของตกแล้วไม่ส่งคืนเจ้าของ ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เชื่อว่าจะมีคนทำทอง 40 กว่าบาทตกง่าย ๆ เพราะขนาดคนอุ้มหมาอุ้มแมว ยังดูและรักษาอย่างดี


ขณะเดียวกัน วันนี้ทีมข่าวยังมีการจำลองเหตุการณ์ โดยนำก้อนหินน้ำหนักใกล้เคียงกับน้ำหนักทองที่นางไพรินทร์ ทำหล่นในวันเกิดเหตุ ซึ่งวันนี้ทีมข่าวได้มีการขี่รถ จยย. โดยให้ป้าวรรณ พนักงานกวาดถนน นั่งรถถือถุงก้อนหิน เพื่อจะจำลองว่าหากทำของตก ป้าวรรณจะรู้สึกตัวหรือไม่




โดยหลังจากนักข่าวนำก้อนหินไปใส่ถุงผ้าให้ป้าวรรณถือ ก็ได้มีการพาป้าวรรณซ้อนท้ายรถ จยย. ขี่ออกไปตามถนน ซึ่งพอถึงจุดที่นางไพรินทร์ให้การกับตำรวจว่าทำทองตก ป้าวรรณ คนกวาดถนน ก็ได้มีการทำก้อนหินตกในจุดดังกล่าว ซึ่งในขณะที่จำลองเหตุการณ์จะได้ยินเสียงนักข่าวถามว่า ป้าเห็นของตกหรือไม่ ซึ่งป้าวรรณ ก็บอกว่าเห็นและของที่ตกอยู่บนถนน จะเห็นว่าตอนที่รถ จยย. ขับมาเหยียบ ของก็ยังอยู่ที่เดินตามภาพที่ป้าวรรณ เดินออกไปเก็บก้อนหินคืนมา


จากนั้นเมื่อจำลองเหตุการณ์เสร็จแล้ว ทีมข่าวจึงมาย้อนสัมภาษณ์ป้าวรรณ ถึงความรู้สึกอีกครั้ง ซึ่งป้าวรรณ บอกกับทีมข่าวว่า ยังไงตอนที่ทำของตกก็ต้องมีความรู้สึก ซึ่งตอนที่แกล้งทำของตกตอนจำลองเหตุการณ์ ยังร้องอุ๊ย ออกมาเพราะตกใจ และถ้าเหตุการณ์จริงเป็นป้าทำทองตก ยังไงป้าก็ต้องรีบลงจากรถและรีบวิ่งไปเก็บทองคืน ซึ่งป้ามองว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนทำของมีค่าตกและไม่รู้สึกอะไร เพราะถ้าเป็นตัวป้าเอง เงินตก 500 บาท ป้าก็ต้องรีบกระโดดลงรถไปเก็บคืนมา




ขณะเดียวกันวันนี้ เมื่อเวลา 17.40 น. ตำรวจได้เชิญทางนางไพรินทร์ และนายพิชัย ไปสอบปากคำเรื่องไทม์ไลน์ ในการใช้โทรศัพท์ในวันเกิดเหตุ ซึ่งทันทีที่นางไพรินทร์เดินออกมาขึ้นรถ ทีมข่าวก็พยายามสอบถามกับเจ้าตัวอีกครั้ง ซึ่งเจ้าตัวก็บอกว่า "ถามอีกละ สงสัยอะไรหนักหนา" โดยทีมข่าวก็ลองเปิดภาพคนที่เดินผ่านในกล้องในดู และถามว่าสงสัยใครที่เดินผ่านมาบ้างไหม ซึ่งนางไพรินทร์ ก็บอกว่า "ในกล้องเขาถือถุงแกงหนิ ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว ต้องรีบกลับไปทำงาน เดี๋ยวเถ้าแก่ไล่ออก"


ส่วนความคืบหน้าทางคดี เวลา 20.00 น. ของวันนี้ ทางผู้บังคับการตำรวจนครบาล 7 จะมีการเดินทางมาติดตามความคืบหน้าทางคดีด้วยตัวเอง เนื่องจากตามเวลาดังกล่าว ทางพนักงานสอบสวนได้มีการนัดเจ้าของทอง ให้เข้ามาสอบปากคำ ซึ่งขณะนี้ตำรวจอยู่ระหว่างเชิญตัววิน จยย. ในภาพวงจรปิดเข้ามาสอบปากคำ




จากกรณีดังกล่าวทีมข่าวจึงได้เดินทางไปพบกับ นายชัยพร หรือ เสี่ยปุ๊ เจ้าของทองห้างทองแห่งหนึ่ง ใน อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี โดยเสี่ยปุ๊ ได้เล่าให้กับทีมข่าวฟังว่า เมื่อวันอังคารที่ 21 พ.ค. ช่วงเย็นตนได้ปิดร้านทอง และได้นำทองคำ ซึ่งเป็นทองรูปพรรณและทองแท่งมาแพ็กใส่กล่อง เพื่อจะนำไปฝากให้กับนางไพรินทร์เพื่อที่จะนำเข้าไปร้านทองร้านใหญ่ ในกรุงเทพฯ เพื่อนำทองจำนวนนี้ไปฝากไว้รอที่จะขาย โดยวันนั้นจำนวนทองคำทั้งหมดที่ตนและลูกสาวได้แพ็กใส่กล่องกระดาษ หนักทั้งสิ้น 604.1 กรัม ซึ่งเป็นจำนวนทอง 49 บาท และมีมูลค่าเกือบสองล้านบาท


โดยหลังจากที่ตนได้แยกทองคำและแพ็กใส่กล่องเสร็จ ตนจึงได้เดินทางไปที่จังหวัดนครปฐม เพื่อไปพบกับนางไพรินทร์ บ้านของเขา ซึ่งหลังจากพบกับนางไพรินทร์ จึงได้นำทองจำนวนดังกล่าวซึ่งใส่อยู่ภายในกล่องกระดาษและติดสก็อตเทปพันรอบกล่องให้กับนางไพรินทร์ก่อนจะแยกย้าย จากนั้นในช่วงเช้าวันรุ่งขึ้นนางไพรินทร์จึงได้นั่งรถตู้โดยสารไปลงที่เมเจอร์ปิ่นเกล้า และได้นั่งวินรถ จยย. เพื่อมุ่งหน้าไปยังร้านทองร้านใหญ่ แต่ในช่วงนั้น เขาได้ทำกระเป๋าของเขา ซึ่งมีกล่องทองอยู่ด้านในตกจากรถ จยย. และได้บอกคนขับให้ย้อนกลับไปเก็บกระเป๋าดังกล่าว แต่เมื่อถึงบริเวณจุดที่ทำกระเป๋าหล่นกลับไม่พบกระเป๋า นางไพรินทร์จึงได้โทร. มาบอกกับตนว่าได้ทำกล่องทองซึ่งอยู่ภายในกระเป๋า พลัดตกขณะนั่งรถจักรยานยนต์รับจ้าง และในตอนนี้ได้มาลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว




ซึ่งในขณะนั้นที่นางไพรินทร์ได้โทร. มาบอกกับตน ตอนนั้นรู้สึกตกใจและช็อกมากเพราะกลัวว่าจะไม่ได้ทองจำนวนดังกล่าวกลับคืนมา ทั้งนี้ส่วนตัวไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรกับนางไพรินทร์ เพราะตนได้ทำธุรกิจแบบนี้มามากกว่า 10 ปีแล้ว และไม่เคยมีปัญหา เพิ่งจะมามีปัญหาครั้งนี้ และก่อนหน้านี้ก็เคยฝากทองกับนางไพรินทร์ไปมากกว่านี้ ซึ่งบางครั้งก็มีมูลค่าเกือบสี่ล้านบาท ก็ไม่มีปัญหา


ทั้งนี้ตนคิดว่า นางไพรินทร์อาจจะทำตกหล่นจริงและไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนี้ตนอยากให้ผู้ที่เก็บกระเป๋าดังกล่าว และทราบว่ามีทองอยู่ด้านใน ช่วยนำทองกลับมาคืนให้กับตน ซึ่งความตั้งใจของตนไม่ได้คิดจะดำเนินคดีแต่อย่างใด เพียงแต่อยากได้ทองกลับคืนมาเท่านั้น ซึ่งถ้าหากว่ามีใครแจ้งเบาะแส หรือผู้ที่เก็บได้และนำทองกลับมาคืนตนก็จะจะมีรางวัลให้ เพื่อเป็นการตอบแทน โดยในวันนี้ตนก็จะต้องเข้าไปพบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่กรุงเทพฯ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เรียกเข้าไปสอบปากคำเรื่องกรณีเกี่ยวกับทองดังกล่าว


หลังจากที่เสี่ยปุ๊ได้พูดคุยกับทีมข่าวเสร็จสิ้น ก็ยังย้ำว่าจากกรณีดังกล่าวไม่ต้องการจะดำเนินคดีกับผู้ใด เพราะมันยุ่งยาก และอยากให้ผู้ที่เก็บทองจำนวนดังกล่าวได้ ให้นำมาคืนซึ่งตนก็จะไม่เอาเรื่องอะไรเลย และถ้าหากมีผู้ให้เบาะแส หรือผู้ที่เก็บได้นำกลับมาคืนตนก็จะมีรางวัลให้เป็นจำนวนเงิน 100,000 บาท

 

สาวใหญ่ทำทอง 49 บาทหล่น ช่อง 8 แกะรอยพิสูจน์ทองหายไปไหน ?