จากรณีการเสียชีวิตของ นายพิชิต หรือ เสี่ยต้น เจ้าของธุรกิจสอนนวดแผนไทย หลังถูกพบเป็นศพเสียชีวิตหน้าบ้านภรรยาที่ จ.มหาสารคาม และต่อมาพบว่าก่อนเผา ศพได้กลายเป็นสีดำ ญาติ ๆ เชื่อว่าน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเพราะก่อนจะเสียชีวิต เสี่ยต้นได้ถูกลอบยิงและยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ นั้น


ล่าสุดวันนี้ (25 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่ไปยังบ้านของนางสาวมด (ภรรยาของของเสี่ยต้น) ในพื้นที่ตำบลดงเมือง อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม และได้พูดคุยกับนางกล่ำ (นามสมมติ) ซึ่งเป็นแม่ของนางสาวมด และเป็นแม่ยายของนายพิชิต หรือเสี่ยต้น (ผู้เสียชีวิต) โดยในวันนี้นางกล่ำได้ยอมพูดคุยเปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ในบางประเด็น เริ่มแรกคือความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวและลูกเขย นางกล่ำก็ยอมรับว่า ช่วงหลังมานี้ทั้งคู่ก็มีทะเลาะกันบ้าง แต่ไม่ได้หนักหนาใหญ่โตอะไร ซึ่งนางสาวมดก็เคยพูดเปรย ๆ ให้ฟังว่าสามีแอบไปมีผู้หญิงคนอื่นแต่ก็ไม่ได้เล่ารายละเอียดให้ฟัง ส่วนเรื่องที่ทั้งคู่คิดจะหย่ากัน ตนเป็นแม่ก็ยังไม่ทราบข่าวเรื่องนี้เพราะลูกสาวไม่เคยพูดหรือปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องการหย่าเลย




ในวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา ตนก็ยอมรับว่านายพิชิตหรือต้นมาหาที่บ้านจริง แต่ก็ไม่ได้มีการถกเถียงหรือทะเลาะอะไรกัน ทุกคนก็นั่งกินข้าวด้วยกันที่ศาลาเหมือนอย่างเคย ทุกคนก็กินอาหารจานเดียวกัน ยืนยันว่าไม่มีการลอบวางยาและตนก็ไม่รู้ว่าทำไมจะต้องวางยาลูกเขย ในเมื่อทั้งหมดไม่ได้มีเรื่องผิดใจอะไรกัน


โดยในวันนั้นมีการนั่งร่วมวงกินข้าวกัน โดยมีอาหารทั้งหมด 3 อย่าง ได้แก่ ลาบเป็ดที่นางต้อยทำมาจากบ้านของตัวเอง , ยำไข่มดแดงที่นายถนอมทำมาจากบ้านของตัวเอง , ต้มเนื้อที่นางกล่ำไปซื้อมาจากตลาด , เงาะที่นางกล่ำซื้อมาจากตลาด นอกจากนั้นก็มีเหล้ากับเบียร์ที่วางไว้อยู่ก่อนแล้วแต่ไม่ทราบว่าใครซื้อมา ซึ่งเหล้าเบียร์ก็ไม่ได้มีใครชงให้ใคร ต่างคนก็ต่างกินในแก้วของตัวเอง


หลังจากนั้นในวันที่ 16 เม.ย. พบว่าลูกเขยเสียชีวิต ตนก็ได้สั่งโลงเย็นมาใส่ศพของลูกเขยตั้งแต่เวลาประมาณ 09.00 น. ซึ่งตอนนั้นสภาพศพของนายพิชิตก็ดูปกติดีทุกอย่าง ไม่ได้มีสีดำคล้ำหรือสิ่งผิดปกติอะไร แต่หลังจากนั้นหลายชั่วโมงก็เริ่มมีกลิ่นเหม็นโชยออกมาจากโลงศพ ซึ่งตนก็คิดว่าโลงเย็นนั้นไม่เย็นพอที่จะรักษาสภาพศพ พร้อมกับยืนยันว่าเจ้าของร้านหีบศพไม่ได้นำโลงเย็นมาเปลี่ยนให้ในวันที่ 16 เม.ย. แต่ร้านหีบศพได้นำโลงเย็นอันใหม่มาเปลี่ยนให้ในช่วงเย็นของวันที่ 17 เม.ย. ซึ่งกว่าจะเปลี่ยนโลงใหม่ก็ผ่านไปเป็นเวลากว่า 1 วันแล้ว แต่ในตอนนั้นทางร้านหีบศพก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าไปดู ทางร้านได้ทำการรีบเปลี่ยนและรีบออกไปในทันที




จนกระทั่งวันเผาศพนายพิชิต นางกล่ำก็ยืนยันว่าไม่มีใครทักท้วงอะไร แม่ของนายพิชิตเองก็มีความประสงค์ให้เผาศพนายพิชิตโดยที่ไม่ต้องมีการส่งผ่าชันสูตร ซึ่งในวันนั้นตนก็ไม่ได้ขึ้นไปดูหน้าศพของลูกเขยเป็นครั้งสุดท้ายเพราะกำลังวุ่นอยู่กับการเตรียมเอกสารต่าง ๆ แต่ในวันนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องความผิดปกติของสีศพที่ดำคล้ำ


จนกระทั่งล่วงเลยมาจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลา 1 เดือนกว่าแล้ว ทางครอบครัวของนายพิชิตจึงจะมาเรียกร้องสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ตนก็ไม่อยากไปกล่าวโทษหรือตัดสินหรอกว่าอีกฝ่ายทำไปเพราะสาเหตุอะไร โดยนางกล่ำยืนยันว่าครอบครัวของนายพิชิตไม่เคยติดต่อมาพูดคุยอะไรกับตนแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งหลังจากเกิดเรื่องขึ้นตนและนางสาวมดก็ไม่ค่อยได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องของคดี แต่ตนกับลูกสาวจะโทรศัพท์พูดคุยเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเท่านั้น เช่น ลูกกินข้าวหรือยัง นอนหลับพักผ่อนบ้างไหม เครียดหรือเปล่า แต่ส่วนตัวนางกล่ำนั้นยืนยันว่าไม่กังวลและไม่เครียดอะไร


ขณะที่ทีมข่าวได้สอบถาม นางประภาพินท์ อายุ 63 ปี แม่ของเสี่ยต้นถึงข้อสงสัยหรือติดใจการตายของลูกชาย ซึ่งได้เปิดเผยว่า ก่อนหน้าที่ลูกชายจะถูกยิงเมื่อวันที่ 8 เมษายน มดลูกสะใภ้ได้โทรศัพท์มาชักชวนตัวเองให้ออกไปกินข้าวด้วยกัน ซึ่งมดได้ขับรถไปรับตนเองที่คอนโด ไปพร้อมกับหลานซึ่งลูกของมดและเสี่ยต้น และเมื่อตัวเองไปถึงร้านอาหารกับมดและหลานลูกชายจึงได้เดินทางตามมา ก็นั่งกินข้าวและพูดคุยเป็นปกติ ทั้งสองคนไม่ได้มีการโต้เถียงหรือทะเลาะกันแต่อย่างใด




จนกระทั่งตัวเองได้รู้ว่าวันนี้ที่ลูกสะใภ้ไปรับมา เพราะทั้งสองคนมีปัญหากันมาก่อนและต้องการที่จะนัดเคลียร์ ปัญหากันและให้ตัวเองอยู่ด้วย ซึ่งตนเองก็เพิ่งจะรู้ว่าทั้งสองคนมีปัญหากันจึงได้บอกว่าให้คุยกันดี ๆ อย่าทะเลาะกัน และตัวเองก็เพิ่งรู้ว่าทั้งสองคนแยกกันอยู่ และเมื่อกินข้าวเสร็จต่างคนก็ต่างแยกย้ายตนเองก็กลับไปคอนโดส่วนสองคนก็ต่างคนต่างไปไม่ได้กลับไปอยู่ด้วยกัน และวันที่มีการนัดหมายเสี่ยต้นกับมดไปเจอกับร้านอาหารแห่งหนึ่งจนถูกยิงตนเองก็ไม่รู้ว่ามาก่อน


ส่วนสิ่งที่ทำให้ตนเองติดใจการที่ลูกตนเองถูกยิงและเสียชีวิตอย่างปริศนา เริ่มมาจากหลังจากที่นัดกันไปกินข้าวระหว่างตนเองกับลูกสะใภ้และลูกชาย เมื่อตนเองรู้ว่าลูกชายอยู่บ้านคนเดียวจึงได้พูดคุยกับลูกสะใภ้ ว่าจะไปนอนเป็นเพื่อนลูกชายที่บ้าน แต่มดได้บอกกับตัวเองว่าช่วงนี้แม่ไม่ต้องไปนอนที่บ้าน แต่ตัวเองก็ยังไม่เอะใจทำไมถึงไม่ให้ไปนอนเป็นเพื่อนลูกชาย ต่อมาหลังจากนั้นประมาณ 3 -4 วัน ลูกสะใภ้ก็ให้หลานตัวเองโทร. มาบอกว่าให้เก็บเสื้อผ้าของต้นใส่ถุงดำเพื่อจะเอาไปบริจาค ตัวเองจึงตอบกลับไปว่าทำไมต้องทำแบบนั้นเพราะต้นก็ยังอยู่ที่บ้านหลังนี้ แต่ตัวเองก็เริ่มแปลกใจอยู่แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าทั้งสองคนยังอยู่ในช่วงที่ทะเลาะและแยกกันอยู่ และหลังจากวันนั้นอีกหลายวันลูกชายตัวเองก็ไปถูกยิงดังกล่าว จึงทำให้รู้สึกว่าการกระทำของลูกสะใภ้ทั้งสองครั้งเป็นสิ่งผิดปกติมีพิรุธหลายอย่าง โดยต่อมาตัวเองจึงมานอนเป็นเพื่อนลูกชายเพราะเป็นห่วงและไม่ได้เชื่อลูกสะใภ้อีกแล้วที่ว่าไม่ให้มานอน




จนกระทั่งตัวเองมาเจอลูกสะใภ้อีกครั้ง ตอนที่ลูกชายเสียชีวิตซึ่งก็ยังกอดกันร้องไห้เสียใจ แต่เมื่อเผาศพลูกชายแล้วตัวเองก็กลับมาอยู่บ้านลูกชายแต่ลูกสะใภ้ไม่ได้เข้ามาอยู่อ้างว่ากลัวผี ซึ่งบ้านหลังที่ตัวเองอยู่เกาะลูกชายได้เสียชีวิตมดลูกสะใภ้เคยประกาศขายมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนที่มีปัญหากันอยู่กับลูกชาย แต่เมื่อหลังจากงานศพแล้วงดได้มีการโพสต์ข้อความว่า คนซื้อไม่ได้อยู่คนอยู่ไม่ได้ซื้อตัวเองจึงรู้ว่า ที่ลูกสะใภ้โพสต์หมายถึงตัวเอง และยังกล่าวหาตัวเองว่าไปบุกรุกบ้านของมด แต่ตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นบ้านของลูกเช่นเดียวกัน ตัวเองจึงมีสิทธิ์ที่จะอยู่ ทำให้ลูกตัวเองและญาติเกรงว่าจะไปรับความปลอดภัย จึงไปรับตัวเองมาอยู่ที่คอนโดของเจ ลูกสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นน้องสาวของต้น


ด้านนายธนิตชัย หรือ ตั้ง ประธานสมาคมสันนิบาตเสรีชน จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งสนิทสนมกับเสี่ยต้น เปิดเผยว่า หลังจากที่เสี่ยต้นถูกยิงเมื่อคืนวันที่ 8 เมษายน วันรุ่งขึ้นพอตัวเองกับภรรยาทราบเรื่องก็ได้รีบไปหา ก่อนจะมีการพูดคุยกันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จนเสี่ยต้นได้เผยชื่อบุคคลต้องสงสัยออกมา ส่วนชนวนเหตุ เสี่ยต้นคาดว่ามาจากปัญหาในครอบครัวที่เคยด่าพาดพิงไปถึงบุคคลที่ 3 หลังจากนั้นตัวเองกับภรรยาก็เริ่มหาหลักฐานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เสี่ยต้นถูกยิง โดยมีการจำลองเหตุการณ์ด้วยการไปนั่งในรถโตโยต้า อัลพาร์ด คันเกิดเหตุ ในตำแหน่งคนขับ ก่อนจะมีการถ่ายคลิปวิดีโอตามแนววิถีกระสุน ซึ่งก็พบว่าถ้านั่งในตำแหน่งนี้ กระสุนจะเข้าทางลำตัวด้านซ้ายเต็ม ๆ และทำให้เสียชีวิตแน่นอน แต่ต่อมาเมื่อพูดคุยกับเสี่ยต้น บอกว่า ท่านั่งขับรถของตัวเอง จะนั่งเอนไปข้างหลัง แขนเหยียดตรงจึงทำให้กระสุนเฉียดลำตัวไป




นายธนิตชัย ยังตั้งข้อสังเกตอีกว่า ที่เสี่ยต้นรอดตายมาจากเหตุลอบยิง อาจเป็นเพราะคนร้ายไม่คาดคิดมาก่อนว่าเสี่ยต้นจะขึ้นทางด่วนกลับบ้าน จึงตั้งใจขี่รถมอเตอร์ไซค์ตามประกบแล้วยิงในระยะประชิด แต่ระหว่างเกิดเหตุเมื่อเหตุรถเสี่ยต้นกำลังจะขับเข้าด่านทางด่วน จึงต้องรีบลงมือยิงทำให้พลาดเป้า




นายธนิตชัย ยังบอกด้วยว่า ตอนแรกตัวเองกับภรรยาตั้งใจจะขับรถพาเสี่ยต้นเดินทางไปจังหวัดมหาสารคาม เพื่อให้เสี่ยต้นไปง้อขอคืนดีกับภรรยา แต่ทราบว่าต่อมาเสี่ยต้นได้มีการพูดคุยกับภรรยาจนมีการส่งตั๋วเครื่องบินมาให้ ระหว่างเสี่ยต้นเดินทางไปตัวเองกับภรรยาก็รู้สึกเป็นห่วงตลอด และมีการติดตามความเคลื่อนไหวผ่านทางโซเชียล จนกระทั่งเช้าวันที่ 16 เมษายน ก็มาทราบว่าเสียชีวิต ซึ่งตัวเองก็เชื่อว่าไม่ปกติแน่นอน


นายธนิตชัย ยังบอกด้วยว่า ในงานศพของเสี่ยต้นมีความผิดปกติหลายอย่าง แต่ที่แน่ชัดคือวันเผาศพ ซึ่งจะมีการล้างหน้าศพก่อนทำพิธีฌาปนกิจ ทางเจ้าภาพได้มีการเปิดฝาโลงออก แต่ไม่เปิดผ้าที่ปิดหน้าศพไว้ จนมีญาติของเสี่ยต้นคนหนึ่งโวยวายขึ้นมาว่า จะเผาแล้วยังไม่ได้เห็นหน้าเลย ทำให้มีการเปิดผ้าคลุมออกแล้วทุกคนก็ตกใจว่า สภาพศพทำไมจึงดำคล้ำผิดปกติ แล้วระหว่างนั้นญาติคนเดิมก็ร้องไห้โวยวายขึ้นมาอีก ว่า ทำไมศพถึงเป็นแบบนี้ จนทำให้คนในงานเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันถึงความผิดปกติ ตัวเองจึงรีบไปดึงญาติคนนั้นออกมาเพราะกลัวว่าจะมีปัญหา ทั้งนี้ ส่วนตัวเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เสี่ยต้นถูกลอบยิง กับการเสียชีวิตปริศนาที่จังหวัดมหาสารคาม มีความเชื่อมโยงกันแน่นอน

 

ที่แรกเปิดชื่อคนจองเวรเสี่ยต้น แม่ยายฉะไม่ได้วางยาพิษ