จากรณีการเสียชีวิตของ นายพิชิต หรือ เสี่ยต้น เจ้าของธุรกิจสอนนวดแผนไทย หลังถูกพบเป็นศพเสียชีวิตหน้าบ้านภรรยาที่ จ.มหาสารคาม และต่อมาพบว่าก่อนเผา ศพได้กลายเป็นสีดำ ญาติ ๆ เชื่อว่าน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังเพราะก่อนจะเสียชีวิต เสี่ยต้นได้ถูกลอบยิงและยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ นั้น


ล่าสุด (25 พ.ค. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เข้าไปพูดคุยกับนางต้อย (นามสมมติ) อายุ 50 ปี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่เข้าไปนั่งร่วมวงกินข้าวกับนายพิชิตในคืนวันที่ 15 เมษายน 2567 โดยนางต้อยเผยว่า ในวันนั้นตนก็ไปเที่ยวเล่นที่บ้านของนางกล่ำตามปกติ ซึ่งก็พบว่ามีญาติ ๆ ของนางกล่ำอยู่กันหลายคน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม




กลุ่มที่ 1 คนที่นั่งเล่นอยู่ภายในบ้านและไม่ได้ออกมาร่วมวงกินข้าว คือ ลูกทั้งสามคนของนางสาวมดและนายพิชิต , นางสาวส้ม (น้องสาวของมด) , นางรุณ (น้าของมด) , นายเซียน (สามีของรุณ) กลุ่มที่ 2 คนที่นั่งร่วมวงกินข้าวที่ศาลา คือ นายพิชิต (ผู้ตาย) , นางสาวมด (ภรรยาของผู้ตาย) , นางกล่ำ (แม่ของมด) , นางต้อย (เพื่อนบ้าน) , นายบรรลุ (ผู้ป่วยจิตเวช) , นายถนอม (คนขับรถไปรับนายพิชิตที่สนามบิน) โดยในวันนั้นมีการนั่งร่วมวงกินข้าวกัน โดยมีอาหารทั้งหมด 3 อย่าง ได้แก่ ลาบเป็ดที่นางต้อยทำมาจากบ้านของตัวเอง , ยำไข่มดแดงที่นายถนอมทำมาจากบ้านของตัวเอง , ต้มเนื้อที่นางกล่ำไปซื้อมาจากตลาด , เงาะที่นางกล่ำซื้อมาจากตลาด นอกจากนั้นก็มีเหล้ากับเบียร์ที่วางไว้อยู่ก่อนแล้วแต่ไม่ทราบว่าใครซื้อมา ซึ่งเหล้าเบียร์ก็ไม่ได้มีใครชงให้ใคร ต่างคนก็ต่างกินในแก้วของตัวเอง




โดยนางต้อย ยืนยันว่า ระหว่างที่นั่งร่วมวงกินข้าว นางสาวมดและนายพิชิตไม่ได้มีการทะเลาะอะไรกัน ทั้งหมดก็นั่งกินข้าวกันตามปกติ ทุกคนกินอาหารเหมือนกันทุกอย่าง แต่นายพิชิตนั้นจะดื่มเหล้าเยอะกว่าคนอื่น ซึ่งนายพิชิตจะดื่มเหล้าเพียว ๆ โดยที่ไม่ใส่โซดา (กินแสงโสมแบน) และนายพิชิตก็ดื่มไปเยอะพอสมควร จนกระทั่งเวลาประมาณ 23.00 น. ก็ถึงเวลาแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน ทว่านายพิชิตก็ไม่ยอมกลับเข้าไปนอนในบ้านและยืนกรานจะออกไปนอนที่รีสอร์ตนอกบ้าน แต่ในตอนนั้นมีแต่ผู้หญิงอยู่ที่บ้าน นายพิชิตก็ค่อนข้างตัวใหญ่จึงไม่มีใครอุ้มไหวเพราะนายพิชิตก็เมาหนัก สุดท้ายนายพิชิตก็บอกว่าจะนอนที่ศาลาหน้าบ้านแทน ทำให้ทุกคนแยกย้ายกันในทันที




ทีมข่าวช่อง 8 ได้เข้าไปพูดคุยกับนายถนอม อายุ 56 ปี ซึ่งเป็นคนที่ขับรถไปรับนายพิชิตถึงสนามบินจังหวัดร้อยเอ็ด และขับมาส่งถึงบ้านของนางกล่ำที่จังหวัดมหาสารคามในวันที่ 15 เมษายน 2567 อีกทั้งนายถนอมยังเป็นหนึ่งในคนที่นั่งร่วมวงกินข้าวกับนายพิชิตในคืนนั้น โดยนายถนอม เปิดเผยว่า หลังจากที่ขับรถมาส่งนายพิชิตถึงบ้าน ตนก็ได้นั่งร่วมวงกินข้าวที่บ้านของนางกล่ำ ซึ่งก็มีอาหารที่แต่ละคนนำมาจากบ้านของตัวเองและมีเครื่องดื่มเป็นเหล้าเบียร์ที่นางสาวมดซื้อเตรียมเอาไว้ให้ โดยทั้งหมดก็ได้นั่งกินร่วมกันตามปกติ ส่วนนายพิชิตและนางสาวมดก็มีการพูดคุยเคลียร์ใจกัน ซึ่งนายพิชิตได้ทำการง้อขอคืนดีกับนางสาวมดและก็เห็นว่าทั้งคู่สามารถปรับความเข้าใจกันได้ด้วยดี ทั้งคู่ก็มีการนั่งกุมมือกัน พูดคุยยิ้มแย้มกัน ตนเห็นดังนั้นก็รู้สึกดีใจที่ทั้งคู่คืนดีกันเพราะตนก็เคยเห็นนางสาวมดมาตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ


อีกทั้งที่ตนก็ชื่นชอบนายพิชิตเนื่องจากนายพิชิตเป็นคนนิสัยดี อัธยาศัยดี ใจถึงพึ่งได้ คอยช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ หลังจากนั้นประมาณ 23.00 น. ทั้งหมดก็เริ่มแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน แต่นายถนอมนั้นได้อยู่ต่อเนื่องจากต้องช่วยอุ้มนายพิชิตขึ้นไปนอนที่ศาลา เหตุการณ์ตอนนั้นคือนางสาวมดได้แบกตัวนายพิชิตเอาไว้ที่หลัง (มือนายพิชิตกอดคอนางสาวมดไว้แต่ขาลากพื้น) ส่วนนายถนอมก็ได้ประคองตัวนายพิชิตเอาไว้และนำขึ้นไปนอนบนศาลา จากนั้นนางกล่ำก็ได้นำหมอนผ้าห่มมาให้พร้อมกับเปิดพัดลม เมื่อตนเห็นว่านายพิชิตนอนหลับจนกรนแล้ว ตนก็ได้ขอตัวกลับบ้านซึ่งนางกล่ำก็ได้หยิบเบียร์ที่เหลือ 2 ขวดใส่ถุงให้ตนกลับไปกินต่อที่บ้าน




ต่อมาทีมข่าวก็ได้ถามถึงคนอื่น ๆ ในครอบครัวของนางสาวมด นายถนอมก็ได้บอกว่านางสาวมดนั้นมีน้องสาวชื่อว่าส้ม ซึ่งนางสาวส้มก็ได้ย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ พร้อมกับพี่สาวของตัวเอง แต่ทุกเทศกาลสำคัญทั้งคู่ก็จะพากันกลับมาเยี่ยมนางกล่ำผู้เป็นแม่ที่บ้านเกิด ทีมข่าวก็ได้ถามว่า "นอกเหนือจากแฟนของนางสาวมดแล้ว นายถนอมเคยเห็นแฟนของนางสาวส้มบ้างหรือเปล่า" นายถนอมก็ยืนยันว่า ไม่เคยเห็นและไม่รู้จักเลย ลูกเขยของนางกล่ำที่ตนก็รู้จักเพียงแค่นายต้นคนเดียวเท่านั้น แต่คิดว่าก่อนหน้านี้ นางสาวส้มคงจะเคยพาแฟนมาเยี่ยมบ้านเกิดบ้างแหละ เพียงแค่ตนไม่รู้จักเองก็เท่านั้น


นอกจากนี้ชุดสืบสวนตำรวจภูธรภาค 4 เเละชุดสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดมหาสารคาม ได้ลงพื้นที่บ้านหลังเกิดเหตุเพื่อสอบปากคำนางกล่ำ ซึ่งเป็นเจ้าของบ้าน เเละนายถนอม คนที่ขับรถไปรับนายพิชิต (ผู้ตาย) จากสนามบินเมื่อวันที่ 15 เมษายน สำหรับประเด็นการสอบปากคำ เจ้าหน้าที่ยังคงมุ่งเน้นในเรื่องของไทม์ไลน์เวลา และเหตุการณ์ต่าง ๆ ในวันที่ 15 เเละ 16 เมษายน โดยมีการแยกกันสอบ เพื่อจะนำคำให้การมาเปรียบเทียบกัน โดยนางกล่ำและนายถนอม ก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ใช้เวลาสอบปากคำประมาณ 1 ชั่วโมง




ต่อมาทีมข่าวได้เข้าไปพูดคุยกับนางรุณ (นามสมมติ) เผยว่า ตนนั้นมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับนางสาวมด และตนก็มักจะเข้าออกบ้านของนางกล่ำอยู่เป็นปกติ เพราะต้องเข้าไปช่วยเลี้ยงหลานและมีหน้าที่ช่วยดูแลไร่นาให้กับนางกล่ำ โดยครั้งล่าสุดที่นายพิชิตได้มาเที่ยวบ้านในวันที่ 15 เมษายน 2567 ตนก็นั่งร่วมวงกินข้าวกับญาติ ๆ ตามประสาพี่น้อง ซึ่งทุกคนก็กินข้าวเหมือนกันหมด พอมาเห็นข่าวเรื่องการลอบวางยาเกิดขึ้น ตนก็ยังรู้สึกงงอยู่เลยเพราะคนอื่นที่กินข้าวเหมือนกันก็ไม่เห็นจะมีใครเป็นอะไร


ถ้าให้บอกความรู้สึกตรง ๆ นางรุณไม่เคยคิดที่จะเอะใจหรือสงสัยน้องของตัวเองหรอก เพราะรู้ดีว่านางสาวมดไม่มีทางทำแบบนั้นแน่นอน ส่วนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ตนยืนยันว่านางสาวมดและนายพิชิตรักใคร่กันมาอย่างดีตลอด แต่ก็คงจะมีบ้างที่ลิ้นกับฟันกระทบกัน ซึ่งทุกครั้งที่นายพิชิตเมาก็จะมีอาการโวยวายและด่าทอคนในบ้าน แต่ตนก็ไม่ขอเล่ารายละเอียดที่ลึกกว่านี้ พร้อมกับยืนยันว่าเคยมีปากเสียงกันเพียงอย่างเดียว ไม่เคยมีการลงไม้ลงมือทำร้ายกันในครอบครัว


จากนั้นทีมข่าวจึงได้เปิดภาพนายเต้ (คู่เขยของนายต้น) ให้กับนางรุณดูว่าคุ้นหน้าคุ้นตาหรือรู้จักบ้างไหม นางรุณก็ตอบว่า “คนนี้ชื่อเต้ ฉันรู้จัก แต่เขาไม่ค่อยได้มาที่นี่หรอกเพราะเขาต้องเลี้ยงหมูอยู่ที่ปราจีนบุรี” ซึ่งนายเต้เป็นแฟนของนางสาวส้ม และนายเต้เคยมาเที่ยวเล่นที่บ้านของนางกล่ำประมาณ 2 ครั้งในช่วงวันหยุดเทศกาล แต่ถ้าถามว่านายเต้เคยเจอกับนายต้นหรือไม่นั้น ตนเองก็ไม่ทราบแต่ก็คิดว่าทั้งคู่คงจะเคยเจอกันบ้าง เนื่องจากนายเต้ก็ได้ไปเรียนตัดผมอยู่กับนางสาวมดที่กรุงเทพฯ ส่วนในงานศพของนายพิชิต นางรุณก็ได้เผยว่านายเต้ไม่ได้เดินทางมาร่วมงาน ซึ่งตอนแรกนายเต้ก็รับปากว่าจะมางานแต่สุดท้ายก็ไม่ได้มาเพราะบอกว่าติดธุระเนื่องจากหมูที่ฟาร์มตาย ทีมข่าวก็ได้ถามต่อว่า “รู้สึกแปลกไหมที่เป็นคู่เขยกันแต่ไม่มาร่วมงานศพ” นางรุณก็ยืนยันว่า ไม่แปลกพร้อมกับตอบสวนกลับมาว่า น้องสาวแท้ ๆ ของนายพิชิตยังไม่มาร่วมงานเลย แล้วทำไมคู่เขยจะต้องมา


จากนั้นทีมข่าวก็ถามนางรุณ ว่าคิดอย่างไรกับเหตุการณ์ลอบยิงนายพิชิตที่กรุงเทพฯ นางรุณก็ไม่ขอออกความเห็นเพราะตนไม่ทราบความเคลื่อนไหวที่กรุงเทพฯ ตนไม่รู้เรื่องจริง ๆ ต่อมาทีมข่าวก็ถามว่า “คิดว่าเต้เกี่ยวข้องไหมเพราะนายเต้หายไปหลังจากที่เกิดเรื่อง” นายรุณก็ตอบเสียงดังฟังชัดว่า “ไม่คิดนะ เต้ไม่เคยหายตัวไปจากที่ไหน แต่ฉันก็ไม่รู้นะ ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเป็นยังไงเพราะฉันไม่ชอบเสพข่าว มันน่าปวดหัว” พร้อมกับยืนยันว่าทุกครั้งที่เคยเจอนายเต้ นายเต้ก็ดูเป็นคนนิสัยใจคอดีมาก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ตอนนี้ทางครอบครัวฝ่ายตนยืนยันไม่ได้ติดใจหรือสงสัยใครเป็นพิเศษ ตอนนี้เรากังวลแค่ความรู้สึกของคนในครอบครัวโดยเฉพาะความรู้สึกของนางสาวมดที่เอาแต่ร้องไห้เสียใจ ตนก็ได้แต่ให้กำลังใจบอกให้นางสาวมดสู้ เชื่อว่าหากเราไม่ได้ทำยังไงก็หลุด ไม่เป็นไรหรอก




ภายหลังจากที่เมื่อช่วงค่ำของเมื่อวานที่ผ่านมา พลตำรวจตรีนพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลได้เรียกชุดสืบสวนคลี่คลายคดี ของนครบาลประชุมผ่านระบบคอนเฟอร์เรน กับตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 คดีการลอบยิงเสี่ยต้น และต่อมาญาติติดใจเพราะพบว่าไปเสียชีวิตปริศนาที่จังหวัดมหาสารคาม ก่อนที่ตำรวจจะระบุว่าจากแนวทางการสืบสวนพบแน่ชัดแล้วว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุ คือ มือปืนรับจ้าง และเป็นการจ้างวานฆ่า อย่างแน่นอน มีการแบ่งหน้าที่กันทำ ชี้เป้าและก่อเหตุ


เนื่องจากมีพยานหลักฐาน เป็นภาพกล้องวงจรปิด สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง ที่เสี่ยต้นเดินทางไปในวันเกิดเหตุ ซึ่งหลังจากที่เสี่ยต้นเดินทางมาถึงร้าน เวลา 22.46 น. หลังจากนั้น เพียง 4 นาที คนร้ายก็มาถึงร้านเช่นเดียวกันเชื่อว่าคนร้ายรู้ความเคลื่อนไหวของเสี่ยต้นตลอด ตั้งแต่การเดินทางมาถึงที่ร้านและการเดินทางออกจากร้าน ซึ่งทำให้ ตำรวจมั่นใจว่ามีคนชี้เป้าซึ่งวิธีการก่อเหตุลักษณะนี้ เป็นการทำงานของกลุ่มมือปืนรับจ้าง มีการวนรถดูที่เกิดเหตุและขี่รถจักรยานยนต์มารอ ก่อนจะลงมาตรวจสอบรถที่เสี่ยต้นขับมา เพื่อยืนยันตัวเป้าหมาย หลังจากนั้น 23.31 น. เสี่ยต้นเดินทางออกจากร้าน ก่อนจะถูกคนร้ายตามประกบยิง




ส่วนประเด็นความขัดแย้ง ตำรวจยังไม่ขอเปิดเผย เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อรูปคดี แต่มั่นใจว่า มีผู้บงการจ้างวานฆ่า อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องความเชื่อมโยงกับคดีการเสียชีวิตในพื้นที่ ตำรวจภูธรภาค 4 ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบพยานหลักฐานว่ามีจุดใดที่มีความเชื่อมโยงกัน


ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันนี้บรรยากาศที่สถานีตำรวจนครบาลวังทองหลาง ยังไม่พบว่ามีตำรวจเรียกพยานคนใด มาสอบปากคำเพิ่มเติมแต่มีรายงานว่าในช่วงบ่ายของวันนี้ตำรวจจะเรียกพระพ่อของเสี่ยต้น เข้ามาสอบปากคำถึงประเด็นกรณีที่สาเหตุไม่ส่งศพของเสี่ยต้นที่เสียชีวิตในจังหวัดมหาสารคาม เพื่อผ่าพิสูจน์สาเหตุการตาย ส่วนการออกหมายจับผู้ก่อเหตุยังอยู่ในขั้นตอนการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อเตรียมที่จะไปขอศาลอนุมัติขอออกหมายจับต่อไป




ด้านหลวงพ่อวสันต์ พ่อของเสี่ยต้น เปิดใจกับผู้สื่อข่าวอีกครั้ง ถึงปมความขัดแย้งภายในครอบครัวของเสี่ยต้น ลูกชาย ระบุว่า ตัวเองสังเกตเห็นความปกติตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม เพราะลูกชายเอาแต่เก็บตัวอยู่ที่บ้านย่านพัฒนาการ ไม่ไปทำงาน แล้วยังมีการดื่มสุราด้วย พอสอบถามก็ไม่พูดไม่บอกอะไร แต่ตัวเองพบเห็นลูกชายมีอาการเครียดอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ถูกลอบยิงเมื่อวันที่ 8 เมษายน ซึ่งครั้งนั้นลูกชายรอดตายมาได้ เพราะเห็นมือปืนชักปืนจ่อมาที่รถ จึงเลื่อนเบาะที่นั่งไปทางด้านหลัง ทำให้กระสุนเฉียด ผ่านลำตัวไป แต่หลังจากเกิดเหตุลูกชายก็ไม่ได้เล่าปัญหาให้ฟัง ทั้งยังบอกด้วยว่า ไม่ได้มีความขัดแย้งกับใคร ซึ่งเข้าใจว่าลูกชายไม่อยากให้ตัวเองไม่สบายใจ ขณะที่ตัวเองมาทราบในภายหลังจากนางสาวหมวย ญาติที่สนิมสนมกันกับลูกชาย ว่า ลูกชายมีปัญหากับภรรยา เรื่องที่น้องสาวภรรยาชอบพาภรรยาของลูกชายไปเที่ยวจนเกิดมีปากเสียงกัน กระทั่งแยกบ้านกันอยู่


หลวงพ่อวสันต์ บอกด้วยว่า หลังจากถูกลอบยิง ลูกชายเคยมาเล่าให้ฟัง ว่า ระหว่างเดินทางเข้าแจ้งความกับตำรวจที่ สน.วังทองหลาง ตำรวจได้สันนิษฐาน ว่า ลูกชายโดนใบสั่งฆ่า จึงได้เตือนให้ระวังตัว แล้วได้มอบพระเครื่อง ประกอบด้วย หลวงพ่อทวดกับพระพุทธชินราชให้ติดตัวไว้ จนกระทั่งต่อมา ทราบว่า ลูกชายจะเดินทางไปบ้านภรรยาที่จังหวัดมหาสารคาม จึงได้รีบเดินทางไปหาก่อนที่ลูกชายจะไปขึ้นเครื่องบิน พร้อมเตือนให้ระวังตัวแล้วแนะนำให้พาตำรวจไปด้วย 2 นาย เพราะลูกชายกำลังถูกปองร้าย แต่ลูกชายก็ไม่ฟัง ซึ่งตอนนั้นตัวเองก็รู้สึกสังหรณ์ใจว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น และคิดว่าคงเป็นกรรมของลูกชายที่ต้องเดินทางไปในช่วงเวลานี้ แล้วพอเช้าวันรุ่งขึ้นก็ได้รับโทรศัพท์จากนางปภาพินท์ แม่ของเสี่ยต้น แจ้งว่า ลูกชายเสียชีวิตแล้ว


หลวงพ่อวสันต์ บอกว่า หลังจากทราบข่าวลูกชาย ตัวเองก็รีบติดต่อกับญาติเพื่อขออาศัยรถเดินทางไปที่จังหวัดมหาสารคามทันที ระหว่างทางก็ได้ทราบว่าลูกสะไภ้กำลังเตรียมการเรื่องเผาศพ จึงได้รีบโทรศัพท์ไปหาตำรวจสภ.ยางสีสุราช เพื่อขอระงับการเผาศพ เพราะต้องการจะนำร่างของลูกชายไปชันสูตรอย่างละเอียด ซึ่งตัวเองกับญาติเดินทางไปถึง สภ.ยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม ประมาณ 4 ทุ่มของวันที่ 16 เมษายน แล้วตัวเองกับแม่ของเสี่ยต้น ก็ได้เข้าไปพูดคุยกับตำรวจถึงเรืองการชันสูตรศพอย่างละเอียด แต่ได้รับแจ้ง ว่า จะต้องดำเนินการเองและจ่ายเงินเองทั้งหมด ทั้งในส่วนของค่าเคลื่อนย้ายศพและค่าชันสูตรพลิกศพ ซึ่งตัวเองมีเงินติดตัวไปเพียง 400 บาท จึงไม่รู้จะทำอย่างไร และคืนนั้นก็จึงไม่ได้ดำเนินการใดๆต่อ รวมทั้งไม่ได้เดินทางเข้าไปที่บ้านงานศพด้วย เพราะคิดว่าดึกแล้ว และมีความกังวลในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ครอบครัวไม่ค่อยดีเท่าไรนัก


หลวงพ่อวสันต์ บอกว่า เช้าวันรุ่งขึ้น (17 เม.ย.) ตัวเอฃกับญาติ ๆ ได้เข้าไปที่งานศพ ระหว่างที่ตัวเองจุดธูปหน้าโลงศพลูกชาย ลูกสะไภ้ก็ได้เข้ามานั่งข้าง พร้อมบอกว่า ถ้านำร่างของลูกชายไปชันสูตรแล้วพบสารสเตียรอยด์ หรือ สารกระตุ้น ประกันชีวิตที่ลูกชายทำไว้จะไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทน นอกจากนี้ลูกสะไภ้ ยังได้ยื่นข้อเสนอว่า หากได้เงินประกันมาแล้ว จะเเบ่งเงินให้ตัวเองประมาณ 2-3 ล้านบาท เอาไว้ใช้จ่ายยามแก่เฒ่า แต่ตัวเองปฏิเสธเพราะเป็นพระไม่ต้องใช้จ่ายอะไร และขอเพียงแค่ยกคอนโด 1 ห้องให้แม่ของเสี่ยต้น เพื่อได้มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง และขอให้สร้างกุฏิถวายสงฆ์เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เสี่ยต้นที่เสียชีวิตเท่านั้น




นางสาวณัฐปภัษร์ หรือ เจ น้องสาวของ นายพิชิต หรือ เสี่ยต้น เปิดใจหลังถูกกระแสสังคมกล่าวหาการออกมาหาสาเหตุการตายของพี่ชายหวังเรื่องสมบัติ ว่า ตนเริ่มหาข้อมูลตั้งแต่แรก เพราะสงสัยการตาย ทำไมใน เฟซบุ๊กของพี่ชายถึงมีการโพสต์ภาพหญิงอื่น ทั้ง ๆ ที่กลับไปง้อภรรยาและลูกที่จังหวัดมหาสารคาม ทำไมมีบางคนโพสต์ขายทรัพย์สินต่าง ๆ ของพี่ชาย เช่น บ้านที่พัฒนาการ คอนโด เป็นต้น รวมถึงเดิมทีพี่ชายเป็นคนสุขภาพแข็งแรง เล่นฟิตเนส จะตายได้อย่างไร และเคยถูกลอบยิง จึงรวบรวมข้อมูลทั้ง รูปภาพการตาย รูปภาพงานศพ รูปภาพก่อนเผา เอกสารใบมรณะบัตร


จากนั้นเดินทางไปที่ศาลอาญา ซึ่งได้พบกับทนายอาสาท่านหนึ่ง นำหลักฐานต่าง ๆ ไปปรึกษาทางทนายแนะนำว่า หากเริ่มจากคดีอาญานั้นยาก เพราะไม่ได้ชันสูตรศพ แต่ให้เริ่มสืบจากทรัพย์สินมรดกต่าง ๆ ก่อน ต่อมาตนได้เดินทางไปสภาทนายความพร้อมกับหลวงพ่อ ก็เล่าให้ฟังว่าเราสงสัยอะไรเหมือนเดิม ทางนั้นก็บอกว่า เท่าที่ดูแล้ว ก็แจ้งว่ายากอีก เราสามารถเคสต่อไปได้คือทำเรื่องคดีมรดกไปก่อน ซึ่งเป็นเหตุผลที่เรายื่นเอกสารไปเมื่อวัสที่ 7 พ.ค. และทางนั้นตีกลับมา วันที่ 16 พ.ค. ว่าไม่ได้ในคดีมรดก ซึ่งก่อนหน้านั้นเราเปิดด้วยคดีอาญาแต่ท่านแนะนำให้เปิดด้วยคดีมรดกก่อน


แต่ด้วยความที่ครอบครัวมีเจตนาทราบสาเหตุการตาย จึงเข้ามาหาทนายเดชา เพื่อปรึกษาคดีอาญาอีกครั้ง ซึ่งเมื่อดูหลักฐานแล้ว ทนายเดชาก็บอกว่าทำเป็นคดีอาญาได้ จนนำมาถึงเส้นทางการสืบสวนคดีในปัจจุบัน ส่วนที่สังคมพาดพิงมาที่ในลักษณะกล่าวหาเรื่องหวังทรัพย์สิน น.ส.เจ ระบุว่า ขณะนี้ไม่มีอะไรกังวลใจ ยืนยันทำตามกฎหมายทั้งหมด ทำตามคำแนะนำของทนาย และความตั้งใจตนอยากพิสูจน์การตายของพี่ชาย เป็นคำถามคาใจของพ่อแม่ด้วยว่าทำไมโดนยิง ทำไมนอนตาย ยอบรับช่วงแรดมืดแปดด้าน ตนถามทุกคนที่ไปงานศพและเอกสารที่หาได้ ผิดปกติ จนต้องออกมาทำอะไรบ้าง


อย่างไรก็ตาม น.ส.เจ ประชาสัมพันธ์รูปพรรณของคนร้ายทีก่อเหตุลอบยิงเสี่ยต้น มักชอบคาดแว่นบนหัว มีหนวด ใส่ต้มหู สูงประมาณ175 ซม. ใครพบเห็นแจ้งเจ้าหน้าที่หรือครอบครัวได้ เมื่อถามว่าส่วนตัวของ น.ส.เจ รู้จักคนในภาพวงจรปิดหรือไม่ ยืนยันไม่รู้จัก แต่เชื่อว่ามีคนที่รู้จักคนคนนี้แน่นอน

 

วงเหล้าแฉเมียเสี่ยต้นซื้อเบียร์ หามผัวนอนก่อนตาย พิรุธ 1 คนหายหัววันงานเผา