จากกรณี คุณยายฉวี พร้อมหลานทั้ง 4 คน ออกมาร้องขอความช่วยเหลือหลังจากอ้างว่าถูกเจ้าของห้องเช่าแถววัดบางไผ่ ไล่ออกจากห้องเช่า เนื่องจากค้างค่าเช่ามา 4 เดือน และทำลายข้าวของชุดนักเรียนหลานและเอกสารสำคัญ ทำให้หลานไม่สามารถเข้าเรียนได้ อีกทั้งยังทำลายทรัพย์สินมีค่า ทั้งเตาแก๊ส เครื่องซักผ้า ตู้เย็น และของใช้สิ่งสำคัญต่าง ๆ และยังบอกว่าลูกของคุณยายมีทั้งหมด 5 คน ไม่เคยเลี้ยงดูและสนใจคุณยายปล่อยให้เลี้ยงหลานอยู่เพียงลำพังในวัย 70 ปี หลังจากที่เรานำเสนอข่าวไปแล้วนั้น ปรากฏว่ามีผู้ชมหลายคนให้ความสนใจรวมไปถึงหน่วยงานราชการต่าง ๆ เข้าไปช่วยเหลือยายฉวีและหลาน แต่วันนี้ปรากฏว่าคดีพลิก กลายเป็นเรื่องที่ยายฉวีพูดนั้นไม่จริง นั้น
ล่าสุดวันนี้ (30 พ.ค. 2567) วันนี้ทีมข่าวช่อง 8 ลงพื้นที่บ้านเช่า ที่ยายฉวีเคยเช่าอยู่ ย่านวัดบางไผ่ จังหวัดนนทบุรี โดยพบ นางสาวภัสสมณฑ์ ลูกสาวของครูเงาะ เจ้าของห้องเช่า เปิดเผยกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตนเองเป็นคนบอกให้แม่พิจารณาการช่วยเหลือยายฉวี เนื่องจากพบว่ายายฉวีมีลูกคอยดูแลโดยทุกวันเสาร์ ลูกที่ชื่ออ้อ จะมารับไปอยู่บ้านที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง แต่ยายฉวีค้างค่าเช่า 4 เดือนโดยไม่สนใจจะติดต่อขอจ่าย หรือผ่อนผันใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งบ้านเราทำธุรกิจห้องเช่าก็ไม่ใช่มูลนิธิ จึงขอให้ยายพิจารณาว่าจะอยู่ต่อหรือย้ายออกก็ให้มาคุยกัน แต่ปรากฏว่ายายออกไปและไม่ได้เอาข้าวของออกไป จากนั้นจึงเข้าไปดูในห้องก็พบว่าสภาพห้องมีกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง เครื่องซักผ้าซึ่งเป็นแบบชนิดสองถัง ก็มีเสื้อผ้าแช่น้ำจนเน่าส่งกลิ่นเหม็น เอกสารเปียก และของใช้ในห้อง ทั้งตู้เสื้อผ้า ชุดนักเรียนยังคงอยู่ครบ ส่วนเตาแก๊สที่ยายฉวีบอกนั้นไม่มี มีแต่เตาอั้งโล่หนึ่งอัน ซึ่งสิ่งที่ยายฉวีออกข่าวไปนั้นเป็นเรื่องไม่จริง
โดยนางสาวภัสสมณฑ์ พาทีมข่าวมาดูจุดที่วางของคุณยายไว้ ยังคงมีตู้หนึ่งใบ เมื่อเปิดออกมาก็จะเจอเตาอั้งโล่หนึ่งอัน ด้านบนมีชุดนักเรียน เสื้อนักเรียน 3 ตัว กางเกง 2 ตัว กระโปรง 1 ตัว วางทิ้งไว้ นอกจากนี้ยังมีกระทะ เขียง และไม้ปีบพริก หรือสากกะเบือ 1 อัน ถุงใส่เสื้อผ้า รองเท้า ยังอยู่ครบ พร้อมทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าเครื่องซักผ้า ตู้เย็น ยังอยู่ครบ หากยายฉวีจะมาเอาก็มาเอาได้เสมอ ทั้งนี้การที่ยายฉวีย้ายออกไปถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะทำให้ห้องเช่าของตนเองสงบ ซึ่งแต่ก่อนนั้นที่ยายฉวีอาศัยอยู่ดึกดื่นก็ไม่หลับนอน ส่งเสียงดังและที่สำคัญหลานที่เป็นวัยรุ่นก็มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับคนอื่น จนมีการมาปาระเบิดปิงปองหน้าที่พักมาแล้ว 2 ครั้ง ทำให้คนอื่นต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงและรำคาญ นอกจากนี้พฤติกรรมของยายฉวียังมีอีก ดังนี้
1. ไปขอข้าววัด ทั้งอาหารคาวหวาน บอกทางวัดว่าขอมากิน แต่นำมาขายให้กับครูเงาะ เพื่อเอาเงินไปใช้จ่าย โดยครูเงาะยอมซื้อไว้เพราะอยากให้เงิน เพื่อที่จะได้ให้หลานไปโรงเรียน
2. ยายฉวีตกปลาบริเวณคลองอภัยทาน แล้วนำปลามาทำอาหารมาขายให้ครูเงาะ
3. หลานของยายฉวีมีการยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่ กัญชา และอาจจะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด
4. ยายฉวีมักจะทุบตีสามีเป็นประจำตอนที่ป่วย
5. ลูกชายของยายฉวีที่อยู่จังหวัดลำปาง เคยส่งข้าวสารมาให้แต่ยายฉวีไม่เอา และไม่ได้ติดต่อกับลูกชายคนนี้
6. ลูกสาวที่ชื่ออ้อ จะขับรถมารับทุกวันเสาร์ เพื่อมานอนบ้านพักของนางสาวอ้อ
7. สิ่งที่ยายฉวีพูดไม่เป็นความจริง
ทั้งนี้ เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด ทางครอบครัวต้องออกมาชี้แจงเพราะทนไม่ไหวกับการที่ถูกด่า สังคมดูข่าวของยายฉวีแล้วเกิดความสงสาร แต่ความเป็นจริงแล้วไม่เป็นไปตามที่ยายฉวีให้ข่าว ดังนั้นจึงขอความเป็นธรรมกับครอบครัวตนด้วย และจากนี้ก็อยากบอกยายฉวี ว่าอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีก โดยเฉพาะกับคนที่มีบุญคุณและช่วยเหลือ
ขณะที่ครูเงาะ เจ้าของห้องเช่า ซึ่งเป็นครูเกษียณราชการมาทำธุรกิจห้องเช่า เปิดใจกับทีมข่าวช่อง 8 ว่า เห็นข่าวของยายฉวีที่ออกมาพูดแล้วก็ตกใจ และมีผู้คนทั้งในโลกโซเชียล และคนที่ไม่รู้เรื่องเสพข่าวก็มาด่าทางครอบครัวของครูเงาะที่ขับไล่คุณยาย จนทำให้ยายและหลานทั้ง 4 คน ลำบาก ซึ่งครูเงาะ ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริงเรื่องจริงนั้น มีดังนี้
1. ครูเงาะให้คุณยายค้างค่าเช่า 2 ห้องเป็นเวลาทั้งหมด 4 เดือนรวมเป็น เงิน 13,111 บาท
2 เรื่องที่ยายฉวีอ้างว่าไม่มีลูกคอยดูแล ทั้งที่มีลูกตั้ง 5 คน ไม่เป็นความจริง ลูกชาย 1 คนอยู่กับยายฉวีส่วนบ้านที่ยายฉวีไปอาศัยอยู่ ที่บอกว่าเป็นพลเมืองดีชื่อนางสาวอ้อนั้น ก็คือลูกสาวของยายฉวีนั่นเอง นางสาวอ้อไม่ใช่พลเมืองดี พร้อมทั้งโชว์เอกสารทะเบียนบ้านให้ดู เพื่อยืนยันว่านางสาวอ้อคือลูกของยายฉวี
3. กรณีข้ออ้างว่าทางห้องเช่าทำลายข้าวของเสียหาย และขับไล่ไม่เป็นความจริง จากการตรวจสอบในห้องพบว่าเครื่องซักผ้ามีผ้าแช่น้ำจนเน่าอยู่ในถังส่งกลิ่นเหม็น ตู้เย็นก็มีกลิ่นเน่าเหม็น ส่วนเตาแก๊สที่พูดถึงก็ไม่มีเตาแก๊สมีเตาอั้งโล่ 1 อันเท่านั้น
4. กรณีชุดนักเรียนและเอกสารสำคัญ ยืนยันว่าชุดนักเรียนยังอยู่ครบ แต่ไม่ได้มีการทำความสะอาดและทางห้องห้องเช่าก็เก็บไว้ให้ ส่วนรองเท้านักเรียนและรองเท้าต่าง ๆ ก็ยังอยู่ครบ
5. เอกสารสำคัญทางห้องเช่าไม่ได้มีการทำลายแต่ช่วงระหว่างที่ยายฉวีไม่อยู่ ไม่รู้ว่าหลานทำอะไรกับลังเก็บเอกสาร ทำให้เอกสารเปียกน้ำเปื่อยยุ่ย จนไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งยายฉวีบอกว่าจะนำเอกสารนี้ไปขอเงินทำศพสามี แต่ไม่ได้ไปทำเอกสารเกี่ยวกับการเรียนตามที่ออกข่าว
6. ยายฉวียังทิ้งหมาไว้ให้เจ้าของบ้านเช่าเลี้ยงอีก 1 ตัว ชื่อเจ้าไข่เจียว ตอนนี้มันมีอาการซึมเพราะคิดถึงเจ้าของ
ทั้งนี้ ครูเงาะ บอกว่า สิ่งที่ยายฉวีพูดและให้ข่าวนั้นไม่เป็นความจริงทั้งหมด ตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไปเพื่อต้องการอะไรเพราะที่ผ่านมาเมตตาช่วยเหลือมาตลอด ตอนแรกเข้ามาอยู่พร้อมกับลูกชาย โดยเช่าสองห้อง ห้องเช่าของลูกชายก็ค้างค่าเช่า ห้องเช่าของยายฉวีก็ค้างค่าเช่าอีกเช่นกัน จึงขอให้ยุบสองห้องมาอยู่รวมกันหนึ่งห้อง โดยให้โอกาสทยอยจ่ายค่าเช่าที่ค้างไว้ แต่ไม่เคยจ่ายแม้แต่บาทเดียว และบางครั้งหลานก็มาขโมยของที่ร้านชำหน้าบ้าน ซึ่งรับรู้มาตลอดแต่ก็ไม่เอาเรื่องเพราะสงสาร แต่สิ่งที่ยายฉวีทำและพูดออกมาให้ร้ายทางบ้านเช่านั้น ทำให้เกิดความเสื่อมเสียก็ไม่รู้เหตุผลว่าเพราะอะไร หรือเขาต้องการอะไรแต่อยากจะบอกยายฉวีว่าเวรกรรมมันมีจริง
ด้านนายเกียรติคุณ ต้นยาง หรือทนายโป้ง สส.พรรคก้าวไกล เขต 7 จ.นนทบุรี น.ส.นันทิพา ไพศาลลิ้มเจริญกิจ ผู้ชำนาญการประจำตัว สส.เขต 8 นนทบุรี ดร.พิมพ์พัชชา หยิมการุณ นายกเทศมนตรีเมืองบางคูรัด และ เก่ง ไทรน้อย แอดมินกลุ่มข่าวสาร-คนไทรน้อย-นนทบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านบางบัวทอง ต.บางคูรัด อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี หลังจากมีกระแสตีกลับหนังคนละม้วนเกี่ยวกับครอบครัวของยายฉวี และเด็กทั้ง 4 คน รวมถึงตัวของหญิงสาวชื่อ น.ส.อ้อ ที่อ้างว่าเป็นผู้ใจดีให้ที่พักอาศัย ซึ่งยายฉวีได้ยอมรับว่าเป็นแม่ลูกกับ น.ส.อ้อ จริง และยกมือไหว้ขอโทษสังคม ที่ทำไปเพียงเพราะสงสาร น.ส.อ้อ ที่พิการและต้องมาหาเลี้ยงคนในครอบครัว
โดย น.ส.อ้อ กล่าวทั้งน้ำตาว่า ที่ตนต้องโกหกเพียงเพราะต้องการให้คนสงสาร และมาช่วยบริจาคข้าวสาร อาหารแห้งให้กับครอบครัว เพราะตนตกงาน ไม่มีใครรับทำงานเนื่องจากรู้ว่าตนมีบัตรประจำตัวคนพิการ และติดกำไล EM อยู่ ตนเสียใจและเคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง ตนไม่มีข้าวกิน และไม่ได้กินยารักษาอาการจิตเวชมานานกว่า 3 ปีแล้ว ที่เป็นแบบนี้เพราะเคยรับเหมาก่อสร้างและถูกโกงจนหมดตัว ไม่รู้ว่าสิ่งที่โพสต์ขอรับบริจาคเพียงข้าวสาร อาหารแห้ง ไม่ได้ขอรับเงินก็มีความผิด ซึ่งตนยอมให้สังคมตราหน้าว่าเป็นลูกอกตัญญู ขอเพียงอยู่เบื้องหลังและให้คนเห็นใจมาช่วยเหลือแม่และหลานของตน
ทีมข่าวสอบถาม คุณยายฉวี เปิดเผยว่า ขอยอมรับว่าสิ่งที่พูดออกไปนั้นไม่เป็นความจริง เช่น เรื่องที่อ้างว่ามาพักบ้านของพลเมืองดี ซึ่งเป็นคนรู้จักกันนั้น แท้จริงแล้วเป็นบ้านเช่าของลูกสาว เช่าอาศัยอยู่กับครอบครัว และยายก็มาอาศัยอยู่บ้านหลังนี้ระยะหนึ่งแล้ว
ส่วนลูกคนอื่นไม่เคยเลี้ยงดูมีเพียงลูกสาวคนนี้เท่านั้นที่ดูแล แต่ที่ไม่ได้เปิดเผยเพราะกังวลว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจลูกสาวเนื่องจากเขาป่วยเกี่ยวกับจิตเวช จึงไม่ยอมบอกความจริงทำให้คนเข้าใจผิดยาย ส่วนกรณีการขอข้าววัดแล้วบอกว่าจะนำไปกินกับหลาน ๆ แต่ที่จริงนำไปขายให้กับครูเงาะนั้น ยายฉวียืนยันว่าไม่เป็นความจริง ข้าวที่นำไปขายให้กับครูเงาะ เป็นข้าวสารที่ซื้อมาจากที่อื่น แล้วแบ่งขายให้ครูเงาะไม่ใช่ข้าวที่มาจากการขอพระ
ส่วนกรณีทรัพย์สินต่าง ๆ ที่อยู่ในบ้านแล้ว ยายฉวีอ้างว่าถูกไล่ออกจากห้องเช่า และทำลายข้าวของจนเสียหาย เจ้าตัว ยอมรับว่า เจ้าของห้องเช่าไม่ได้มีการขับไล่ออกจากห้องเช่า แต่มาบอกว่ายายอยู่ไม่ได้แล้วนะเพราะคนอื่นมาอยู่แล้วแบบนี้ก็หมายความว่าไม่ให้ยายอยู่ จึงต้องย้ายออกมาอยู่บ้านกับลูกสาว อีกทั้งเสื้อผ้าและทรัพย์สินต่าง ๆ ในห้องถูกทำลายจริง ชุดนักเรียนที่เห็นในวันนี้ก็เพิ่งโผล่มา
จากเดิมตอนที่ยายไปเก็บเสื้อผ้าครั้งแรก ไม่เห็นชุดนักเรียนเหล่านี้ ส่วนเตาแก๊ส ก็ยืนยันว่ายายมีเตาแก๊สแต่ไม่รู้ว่าเตาอั้งโล่ของใคร ทีมข่าวจึงถามหลานยายว่าเตาอั้งโล่เป็นของคุณยายหรือไม่หลานของ คุณยายตอบว่าใช่
ส่วนเรื่อง เจ้าไข่เจียว หมาที่ยายทิ้งไว้ไม่ยอมนำไปเลี้ยงแล้วปล่อยให้เป็นภาระเจ้าของห้องเช่านั้น ยืนยันว่าไม่ได้ทิ้งจะกลับไปเอาเจ้าไข่เจียวมาเลี้ยงเหมือนเดิม และฝากลุงข้างห้องเลี้ยงในราคา 100 บาท เมื่อพูดถึงครูเงาะเจ้าของห้องเช่า ยายก็น้ำตาซึมแล้วบอกว่าครูเงาะเป็นคนดีที่สุด และมีบุญคุณช่วยเหลือตนเองและครอบครัวมาตลอด ตนเองสำนึกบุญคุณและรักครูเงาะ ช่วงที่พูดประโยคนี้ ยายฉวีก็น้ำเสียงสั่นเครือแล้วบอกว่า “ฝากไปถึงครูเงาะหากตนเองมีเงินจะไปจ่ายค่าเช่าที่ค้างไว้ 4 เดือน และไม่เคยลืมบุญคุณที่เคยช่วยเหลือ”
ส่วนเรื่องการโกหกนั้น ก็ยอมรับว่าโกหกจริง เพราะยายเป็นคนไม่รู้หนังสือ จุดประสงค์ไม่ได้ต้องการเงินบริจาค ยายแค่ต้องการข้าวสารอาหารแห้ง และให้หลานได้ไปโรงเรียนเท่านั้น จากนี้ก็จะงดให้สัมภาษณ์จะขอใช้ชีวิตอยู่ดูแลหลานกับลูกต่อไป