วันที่ 30 พ.ค. 2567 มีรายงานว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า จับกุม แป้ง นาโหนด ได้ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยวันพรุ่งนี้ (31 พ.ค.) กระทรวงยุติธรรม จะมีการประสานเพื่อรับตัว "แป้ง นาโหนด" ที่กรุงจาการ์ตา สืบเนื่องจากกรณี นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการต่างประเทศ ติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ให้ตนเองบินไปที่ประเทศอินโดนีเซีย เพื่อประสานกับทางการของอินโดนีเซีย โดยมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือ ป.ป.ส. และอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ และนายกรัฐมนตรี ยังมอบหมายให้ พล.อ. นิพัทธ์ ทองเล็ก ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านการต่างประเทศ เนื่องจาก แป้ง นาโหนด ได้ปลอมหนังสือเดินทาง และเข้าไปอยู่ในอินโดนีเซีย ซึ่งมีรายงานว่า อยู่อย่างระมัดระวังที่เมืองเมดัน เกาะสุมาตรา ที่บาหลี และอีกหลายแห่ง ทั้งนี้ ตำรวจของอินโดนีเซียได้ให้ความร่วมมือจนกระทั่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้มีการเข้าควบคุมตัว แป้ง นาโหนด ได้ที่บาหลี
พ.ต.อ.ทวี ยังเปิดเผยด้วยว่า ต่อมาได้มีการวิดีโอคอลมายังตนเองเพื่อให้สอบปากคำ แป้ง นาโหนด และเป็นการยืนยันว่าเป็นแป้ง นาโหนดจริง พร้อมกันนี้ต้องขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะตำรวจภูธรภาค 9 และที่สำคัญเมื่อได้ตัว แป้ง นาโหนด แล้วอาจจะนำมาซึ่งเบาะแส เมื่อได้ตัวมาแล้วก็อาจจะได้เครือข่ายองค์กรอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย
โดยเบาะแสสำคัญคือ "มีผู้หญิงหลายคนบินไปหา แป้ง นาโหนด ที่อินโดนีเซียตลอด แต่รายละเอียดอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน และไม่ขอระบุว่าเป็นคนในครอบครัวหรือไม่ เนื่องจากต้องรอกระบวนการสอบสวน แต่เท่าที่ดูเบื้องต้นไม่ใช่คนในครอบครัว ซึ่งเชื่อมโยงกับกรณีจับชาวอินโดนีเซียไปเรียกค่าไถ่ด้วย"
ส่วนขั้นตอนการนำตัวกลับมาดำเนินคดี นั้น พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า อยู่ในกระบวนการของตำรวจอินโดนีเซีย เนื่องจากแป้ง นาโหนด ปลอมแปลงบัตรประชาชน ซึ่ง แป้ง นาโหนด อาจจะเคยถูกตำรวจอินโดนีเซียจับกลุ่มหลายครั้ง แต่จะแสดงตัวเป็นคนใบ้ เพราะไม่สามารถพูดภาษาอินโดนีเซียได้ ขณะเดียวกันต้องชื่นชมความสามารถของตำรวจอินโดนีเซีย เมื่อได้รับทราบข้อมูลและจากการที่ตนไปที่อินโดนีเซีย 2-3 วัน ได้ดูเทคนิควิธีการสืบสวนสอบสวนมีความเป็นมืออาชีพ พร้อมบอกว่าขอให้เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมว่าเขาจะทำให้เต็มที่
"ต้องยอมรับว่าหลังจากตำรวจภูธรภาค 9 คว้าน้ำเหลวในการจับกุม ก็ได้มีการติดตามตัวมาโดยตลอด และยอมรับว่า แป้ง นาโหนด เป็นมืออาชีพ แม้แต่ตำรวจอินโดนีเซีย ก็บอกว่านี่คือมืออาชีพ" ส่วนตอนที่ไปจับกุม พบว่ามีเซฟเฮาส์หรือไม่ พ.ต.อ.ทวี ระบุว่า เขาเพิ่งบินไปเที่ยวบาหลี แต่ปกติพักอยู่ที่เมดัน เนื่องจากมีคอนโดใหญ่อยู่ที่นั่น
ส่วนจะมีเส้นทางทางการเงินส่งไปให้ แป้ง นาโหนด ตลอดใช่หรือไม่ นั้น ขอให้มีการสอบสวนก่อน ทั้งนี้ จากการพูดคุยแป้ง นาโหนด เจ้าตัวยอมรับว่า "ผมจนมุมแล้ว" ซึ่งทางเราได้ขอให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และจะรับรองเรื่องความปลอดภัย อีกทั้ง แป้ง นาโหนด ไม่เคยเตรียมตัวว่าจะถูกจับกลุ่มได้ เพราะคงคิดว่าเป็นช่วงที่ปลอดภัยที่สุดจึงไปเที่ยว หากคิดว่าไม่ปลอดภัยก็จะอยู่แต่ในห้อง "ก่อนถูกจับกุม แป้ง นาโหนด ไปเที่ยวบาหลีและทะเลาะกับผู้หญิงชาวอินโดฯ จึงเป็นที่มาของการจับกุม"
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้ภาพวงจรปิดเป็นหลักฐานสำคัญ ก่อนที่ทางชุดปฏิบัติการพิเศษจับกุมเสี่ยแป้ง โดยเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา จากภาพวงจรปิดจะเห็นกิ๊กสาว ชาวอินโดนีเซีย เดินภายในคอนโดหรู คล้ายกำลังหนีบางอย่างอยู่ ก่อนที่เปิดประตูบันไดหนีไฟ
ต่อมาไม่นานจะเห็นเสี่ยแป้งเดินออกตามหาหญิงดังกล่าว ด้วยท่าทีที่รีบร้อนและลนลาน โดยมีการเดินไป เดินมาตามหาและเปิดประตูบันไดหนีไฟ ก่อนตัดสินใจเดินออกมากดลิฟท์แล้วก็เปลี่ยนใจไม่เข้าลิฟท์ แล้วเดินไปตามหาทางอื่น ซึ่งนี่เป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้ตำรวจแกะรอยตามเจอเสี่ยแป้งได้ในที่สุด เพราะภาพวงจรปิดชัดเจนว่าชายที่ปรากฏในคลิปคือเสี่ยแป้ง
ทีมข่าวช่อง 8 ได้รับการเปิดเผยจากชุดปฏิบัติการพิเศษจับกุมเสี่ยแป้ง ซึ่งชุดดังกล่าวเป็นชุดปฏิบัติการพิเศษจากหลายหน่วยงาน ได้รับมอบหมายโดยตรงจากนายกรัฐมนตรี เพื่อปฎิบัติการพิเศษครั้งนี้ในการตามล่าแป้ง นาโหนด ที่หนีไปยังประเทศอินโดนีเซีย โดยชุดเฉพาะกิจดังกล่าว ประกอบด้วย ชุดสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 9 , กองบังคับการปราบปรามภาค 6 , ดีเอสไอ , ตม. , ป.ป.ส. , และกระทรวงยุติธรรม
โดยทีมข่าวได้รับการเปิดเผยภาพนิ่ง ขณะที่ชุดปฏิบัติการพิเศษจับกุมเสี่ยแป้ง ประชุมหารือกันถึงภารกิจครั้งนี้ หลังมุ่งหน้าไปยังประเทศอินโดนีเซีย ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม จากนั้นวันที่ 25 -26 พฤษภาคม ทางชุดปฏิบัติการพิเศษจับกุมเสี่ยแป้ง ได้ประสานงานและวางแผนร่วมกับสถาบันตำรวจแห่งชาติอินโดนีเซียและไทย สำนักงาน ป.ป.ส. กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมราชทัณฑ์ กงสุลกิตติมศักดิ์ ประจำนครเมดาน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และคณะ ณ เมืองเมดัน เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย
ในที่สุดทางชุดปฏิบัติการพิเศษจับกุมเสี่ยแป้ง สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาที่หลบหนีจากประเทศไทยได้ในช่วง 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาประมาณ 10.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศไทย ได้ที่ที่พักแห่งหนึ่ง ในเมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย
ส่วนการจับกุมครั้งนี้เป็นการปฎิบัติการพิเศษ หลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ชุดปฏิบัติการพิเศษ ติดตามคนใกล้ชิดทุกคนของแป้งเพื่อดูความเคลื่อนไหวผิดปกติ จนกระทั่งพบกิ๊กสาวของแป้ง ซึ่งมีหลายคนที่มีการเข้าออกประเทศไทยผิดปกติ โดยมีกิ๊กสาวของแป้งสองคนที่เข้า-ออกประเทศไทยบ่อย โดยเดินทางระหว่างประเทศอินโดนีเซียกับประเทศไทย
จึงมีการติดตามกิ๊กสาวของแป้งสองคนนี้ จนกระทั่งพบเบาะแสว่าลงไปที่สนามบินที่เมืองเมดัน ในประเทศอินโดนีเซีย จากนั้นแกะรอยจากกล้องวงจรปิดที่สนามบินที่เมืองเมดัน จนกระทั่งทราบว่ากิ๊กสาวของแป้งได้นั่งรถแท็กซี่ไปที่คอนโดหรูแห่งหนึ่ง กลางเมืองเมดัน ในประเทศอินโดนีเซีย
ต่อมาตำรวจอินโดนีเซียได้ตามตัวคนขับรถแท็กซี่ที่รับกิ๊กสาวไทยไปหาเสี่ยแป้ง จนกระทั่งตามตัวมาสอบปากคำในที่สุดและทราบว่าเสี่ยแป้งอยู่ที่คอนโดหรูแห่งหนึ่ง ที่เมืองเมดาน จึงเร่งตามไปตรวจสอบ จากนั้นปรากฏว่ามี รปภ. คนหนึ่งของคอนโดหรูให้เบาะแสตำรวจไทย โดยเปิดคลิปขณะชายรายหนึ่งกำลังทะเลาะกับกิ๊กสาว ซึ่งเป็นชาวอินโดนีเซียภายในคอนโดหรู จนโป๊ะแตกว่าชายที่อยู่ในคลิปคือ เสี่ยแป้ง ทางตำรวจจึงแกะรอยตามจับแป้งจากคลิปดังกล่าวจนกระทั่งถาม รปภ. ว่าแป้งพักอยู่ห้องใด และประสานให้ตำรวจอินโดนีเซียรีบจับกุมทันที แต่ปรากฏว่าเมื่อไปถึงห้องพักของเสี่ยแป้งในคอนโดหรู เสี่ยแป้งไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว และย้ายออกจากคอนโดก่อนหน้านี้
จึงมีการตามหากิ๊กสาวชาวอินโดนีเซียที่ทะเลาะกับแป้ง จนกระทั่งตามตัวมาสอบปากคำได้สำเร็จ ซึ่งกิ๊กสาวชาวอินโดนีเซีย ยอมรับว่า เป็นหญิงที่อยู่ในคลิปที่ทะเลาะกับเสี่ยแป้ง เพราะจับได้ว่าเสียแป้งมีกิ๊กหลายคน ทั้งมีหญิงไทยที่เข้ามาหาที่ห้องพัก และยังมีหญิงอินโดนีเซียคนอื่น ซึ่งนอกใจตนเองเลยทะเลาะกัน หลังทะเลาะกันเสร็จเสี่ยแป้งได้ย้ายออกจากคอนโดหรูแห่งนี้ โดยไปกับกิ๊กสาวชาวอินโดนีเซียคนหนึ่ง มุ่งหน้าไปอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ในเมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และส่วนกรณีที่เสี่ยแป้ง นั่งเครื่องบินภายในประเทศอินโดนีเซีย ได้เนื่องจากเสี่ยแป้งปลอมแปลงบัตรประชาชนเป็นชาวอินโดนีเซีย จึงส่งผลให้เสี่ยแป้งบินได้เฉพาะสายการบินในประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น แต่ไม่สามารถบินนอกประเทศได้
ต่อมาตำรวจอินโดนีเซียก็เข้าจับกุมตัวเสี่ยแป้งตามเบาะแสที่ได้ภายในโรงแรมแห่งหนึ่ง ในเมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซียทันที โดยจับกุมได้ในช่วง 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของประเทศอินโดนีเซีย ขณะนี้ตัวเสี่ยแป้งยังอยู่ที่เมืองบาหลี โดยจะถูกตำรวจไทยคุมตัวจากเมืองบาหลี ไปที่เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ในวันพรุ่งนี้ (31 พ.ค.)
โดยขณะนี้ทางชุดปฏิบัติการพิเศษได้มีการควบคุมเสี่ยแป้ง จากเมืองบาหลีมายังเมืองจาการ์ตาแล้ว ส่วนขั้นตอนหลังจากนี้ รัฐบาลไทย โดยอัยการสูงสุดและกระทรวงการต่างประเทศ จะประสานกับทางการอินโดนีเซีย ผ่านสนธิสัญญาส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน นำตัวเสี่ยแป้งมาดำเนินคดีที่ประเทศไทย คาดว่ารัฐบาลไทยจะเป็นผู้แถลงข่าวในครั้งนี้
ขณะที่ กระทรวงยุติธรรม พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีได้รับรายงานจากทางการเทศประอินโดนีเซีย ว่าสามารถทำการจับกุม นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ "เสี่ยแป้ง นาโหนด" ผู้ต้องขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกาที่ถูกขังในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และได้หลบหนีไปจากการควบคุมระหว่างการเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เมื่อช่วงกลางดึกของวันที่ 22 ต.ค. 2566 ว่า เบื้องต้นภายหลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอินโดนีเซียได้จับกุมตัวนายเชาวลิตได้นั้น ทางเราจะมีการประสานรับตัวกับทางการอินโดนีเซีย ซึ่งทางอินโดนีเซียจะมีขั้นตอนกฎหมายของเขาอยู่แล้ว แต่ในวันพรุ่งนี้ (31 พ.ค.) เราได้วางแผนไปประสานงานเพื่อให้มีการรับตัว ส่วนในวันนี้ตนได้ให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ที่รับผิดชอบในเรื่องของการจับกุม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ดำเนินการคู่ขนาน เพราะเรามีหมายแดง (Interpol) สำหรับการจับกุมนายเชาวลิต โดยหากเป็นไปได้ในวันพรุ่งนี้ ถ้ารับตัวเขากลับมาได้ ก็จะได้นำกลับมาที่ประเทศไทยเพื่อดำเนินคดีต่อไป
พ.ต.อ.ทวี เผยอีกว่า ส่วนในเรื่องการสืบสวนสอบสวนคดีของนายเชาวลิตนั้น จะเป็นการรับผิดชอบของพนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เป็นผู้สอบสวน โดยอาจมีการตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด และหากเราได้รับตัวนายเชาวลิตกลับมาไทย ก็อาจจะต้องพิจารณานำตัวไปคุมขังไว้ในเรือนจำที่มีความมั่นคงสูง ส่วนเรื่องราวต่าง ๆ อาจต้องรอผลการสอบสวนก่อน
เมื่อถามว่าในวันพรุ่งนี้ (31 พ.ค.) จะสามารถนำตัวเสี่ยแป้งกลับมายังประเทศไทยได้เลยหรือไม่นั้น พ.ต.อ.ทวี เผยว่า เนื่องจากเป็นเรื่องของกฎหมายประเทศอินโดนีเซีย เพราะตอนนั้นเขาอาจหลบหนีเข้าเมืองโดยการปลอมแปลงบัตรประชาชน จึงขอไปตรวจสอบรายละเอียดก่อน แต่ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้พบตัวนายเชาวลิต ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และตนได้พูดคุยกับตำรวจอินโดนีเซียแล้ว ทราบว่าจะมีการนำตัวนายเชาวลิตกลับไปที่จาการ์ตา แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ดีเอสไอ กระทรวงยุติธรรม และกรมราชทัณฑ์ เราก็ได้มีการทำงานร่วมกับตำรวจอินโดนีเซีย และหากนำกลับมายังประเทศไทยแล้ว เราก็จะมีการแจ้งข้อหาเพิ่มเติม คือ หลบหนีไปจากการคุมขัง
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น หากนำตัวนายเชาวลิตกลับมาได้ เจ้าหน้าที่จะนำตัวกลับเข้าเรือนจำก่อน แต่ก็ต้องไปดูว่าหลังจากนั้นจะควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หรือเรือนจำความมั่นคงในต่างจังหวัดแทน ขอให้เป็นดุลพินิจของนายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์
เมื่อถามว่าต้องแยกขังเดี่ยวนายเชาวลิตหรือไม่ เพื่อป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ พ.ต.อ.ทวี แจงว่า คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่เราจะทำในลักษณะเพื่อป้องกันไม่ให้เขาหลบหนีอีก ส่วนเรื่องมาตรการต่าง ๆ ทางกรมราชทัณฑ์จะเป็นผู้พิจารณาดำเนินการ และคงไม่ได้ติดกำไลอีเอ็ม (EM) ระหว่างอยู่ภายในเรือนจำฯ แต่จะจัดให้อยู่ในเเดนขังที่มีความมั่นคงเอาแทน
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 เดินทางมายังบ้านของ ด.ต.หญิง ซึ่งถือเป็นตัวละครสำคัญและพยานปากเอกถึงกระบวนการช่วย “แป้ง นาโหนด” หลบหนีตั้งแต่ครั้งแรก โดย ด.ต.หญิง รายนี้ ยังเป็นหน้าห้องของตำรวจชั้นผู้ใหญ่ของตำรวจภูธรภาค 9 ค่อยส่งสัญญาณและแจ้งความเคลื่อนไหวของตำรวจในการไล่ล่าติดตามตัว “แป้ง นาโหนด” นั้น
เมื่อมาถึงบ้านหลังดังกล่าวทีมข่าวได้พูดคุย กับนายต้น (นามสมมติ) ลูกชายคนโตของดาบตำรวจหญิงคนดังกล่าว เจ้าตัวให้สัมภาษณ์กับทีมข่าว กรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมเสี่ยแป้งได้วันนี้นั้น ตัวเองก็รู้สึกเฉยเฉย เนื่องจากไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันกับเสี่ยแป้ง ยอมรับว่าแม่รู้จักกับเสี่ยแป้งแต่ก็ไม่ได้สนิทกันมาก ส่วนข่าวที่ว่าแม่ไปให้การช่วยเหลือและคอยให้เบาะแสกับเสี่ยแป้งในการหลบหนีนั้น ตัวเองก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะแม่ไม่น่าจะทำแบบนั้น
นายต้น บอกกับทีมข่าวว่า ตอนนี้แม่ตัวเองอยู่ในเรือนเรือนจำ เนื่องจากถูกจับกุมคดีเกี่ยวกับการเรียกค่าไถ่ชาวอินโดนีเซียเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาที่ผ่านมา ด้วยตัวเองก็คิดว่าแม่น่าจะทราบข่าวที่เสี่ยแป้งโดนจับกุมแล้ว เพราะในเรือนจำน่าจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับข่าวนี้อยู่บ้าง โดยส่วนตัวยืนยันว่าแม่เป็นคนนิสัยดี ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือเสี่ยแป้ง
ทีมข่าวช่อง 8 ได้มาพูดคุยกับ กษิดิ์ชาติ อายุ 47 ปี หรือ พงษ์ ลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยแป้ง ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวช่อง 8 ว่า ตอนนี้ข่าวการจับกุมเสี่ยแป้งได้ในวันนี้ ยอมรับว่า ตัวเองมีสองความรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจ สำหรับความรู้สึกดีใจก็คือว่าตัวเองเห็นสภาพร่างกายน้องตัวเองสมบูรณ์ และไม่มีการสูญเสียเกิดขึ้นกับน้องชาย ส่วนเรื่องความเสียใจนั้นก็มาจากความเป็นห่วงว่า หากน้องชายถูกนำมาดำเนินคดีตามกฎหมาย เขาจะโดนกี่ข้อหา โดยกังวลว่าเขาต้องโดนหลายข้อหาแน่
จากที่เห็นคลิปของน้องชาย ยอมรับว่า เขามีบางอย่างที่แตกต่างไปจากเดิมกับที่เห็นครั้งล่าสุด อาทิ ร่างกายดูกำยำมากขึ้น และผิวขาวมากขึ้น ตัวเองยืนยันว่า หากเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวน้องชายมาดำเนินคดีที่ประเทศไทยแล้ว ตัวเองจะไปเยี่ยมน้องชายแน่นอน เพราะยังไงก็เป็นญาติกัน ส่วนเรื่องคดีก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย
ตัวเองยืนยันว่าที่เห็นภาพจับกลุ่มเสี่ยแป้งนั้น ยืนยันว่าเป็นเสี่ยแป้งตัวจริง ไม่ใช่ตัวปลอม เพราะตัวเองจำศีรษะของน้องชายได้ จำคางของน้องชายได้ เพราะน้องชายมีแผลเป็นที่คางเนื่องจากเคยประสบอุบัติเหตุก่อนหน้านี้ก่อนหน้านี้ แล้วตัวเองก็จำรอยสักที่กลางลำตัวที่ไหลทั้งสองข้างของน้องชายได้ ส่วนรอยสักที่แผ่นหลังตัวเองก็ไม่ค่อยคุ้นเท่าไร
สำหรับเสี่ยแป้งถึงแม้ว่าเขาไม่ใช่น้องชายที่คลานตามมาด้วยกัน แต่ตัวเองก็เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็ก อาบน้ำด้วยกัน ไปโรงเรียนด้วยกันไปเล่นด้วยกัน เปรียบเสมือนน้องชายแท้แท้เลยก็ว่าได้ ตั้งแต่เสี่ยแป้งหายตัวไปยืนยันว่าเขาไม่ได้ติดต่อมาหาตัวเองเลยสักครั้ง
กรณีของดาบตำรวจหญิงรายหนึ่งที่มีข่าวว่าเขาเป็นคนให้เบาะแสการหลบหนีกับเสี่ยแป้ง และติดต่อกับเสี่ยแป้งอยู่ตลอดนั้น ตัวเองก็ไม่รู้ข้อมูลนี้มาก่อน และดาบตำรวจยิงคนดังกล่าว ตัวเองก็ไม่ได้รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัว ไม่เคยสัมผัสกัน ถามว่าคดีเรียกค่าไถ่ชาวอินโดนีเซียเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา เป็นกุญแจสำคัญทำให้จับกลุ่มเสี่ยแป้งได้ในครั้งนี้หรือไม่นั้น ตัวเองก็ไม่ทราบรายละเอียดที่แน่ชัด แต่ยอมรับว่าเคยติดตามข่าวเกี่ยวกับการจับชาวอินโดนีเซียเรียกค่าไถ่มาเหมือนกัน
ถามว่าเป็นเพราะดาบตำรวจยิงคนดังกล่าวเกม น้องชายก็เลยเกมไปด้วยหรือไม่นั้น ตัวเองก็ตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้ความสัมพันธ์เบื้องลึกระหว่างดาบตำรวจหญิงกับน้องชายหรือเสียแป้งมาก่อน โดยตัวเองไม่ทราบว่าเสี่ยแป้งเคยมีธุรกิจในประเทศอินโดนีเซียมาก่อนหรือไม่ และยืนยันว่าเสี่ยแป้งก็ไม่มีญาติในประเทศอินโดนีเซียอีกด้วย
ถ้าเสี่ยแป้งอยู่ต่อหน้าตัวเอง ตัวเองอยากจะบอกเขาว่า “ไม่เป็นไร โดนจับแล้วเราก็ต้องยอมรับความจริง ผิดก็ไปตามผิด ตรงไหนไม่ผิดก็ต้องขอความเป็นธรรมให้กับเขา” กรณีมีข่าวว่าเสี่ยแป้งแกล้งทำตัวเป็นใบ้ตอนที่โดนตำรวจอินโดนีเซียจับกลุ่มนั้น ตัวเองก็บอกว่าเขาไม่ได้แกล้งเป็นใบ้หรอก ที่เขาไม่พูดไม่จาก็เพราะว่าเขาไม่สามารถสื่อสารภาษาอินโดนีเซียได้ จึงมีลักษณะแบบนั้นออกมาในคลิป
หลังให้สัมภาษณ์นายกษิดิ์ชาติ ก็ได้ดูคลิปวิดีโอตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกลุ่มเสี่ยแป้ง พร้อมกับดูรอยสักต่าง ๆตามร่างกาย และดูตำหนิแผลเป็นที่คางของเสี่ยแป้ง พร้อมกับยืนยันกับทีมข่าวว่า นี่คือเสี่ยแป้งตัวจริงไม่ใช่ตัวปลอม
ขณะที่ทีมข่าวได้เดินทางไปที่ วัดเขาอ้อ จ.พัทลุง พร้อมเปิดรอยสักเสี่ยแป้งให้ พระปลัดวิเชียร สีลโชโต เจ้าอาวาสวัดเขาอ้อ ดูปรากฏว่า เจ้าอาวาสเผยว่า ตนเองไม่ได้สักยันต์ให้เสี่ยแป้ง เพราะตนสักไม่เป็น แต่ยอมรับว่ายันต์บนตัวเสี่ยแป้งเป็นยันต์ของวัดเขาอ้อจริง โดยยันต์บนอกเสี่ยแป้ง เรียกว่า ยันต์โสฬส ตามความเชื่อ สักเพื่อความคงกระพันชาตรี แคล้วคลาดและบังตา ส่วนยันต์ตรงหน้าท้องของเสี่ยแป้ง เรียกว่า ยันต์แปดทิศ ตามความเชื่อ เป็นยันต์มหาอุตแคล้วคลาด ซึ่งการสักยันต์ดังกล่าว จะต้องทำความดีเท่านั้นถึงจะเห็นผล