จากกรณีของนายพิชิต หรือ เสี่ยต้น อายุ 44 ปี นักธุรกิจสอนนวดแผนไทย ที่ถูกลอบยิงเมื่อวันที่ 8 เม.ย. ในพื้นที่ สน.วังทองหลาง ก่อนไปเสียชีวิตที่กระต๊อบหน้าบ้านของภรรยา ในพื้นที่ สภ.ยางสีสุราช จ.มหาสารคาม เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2567 โดยญาติเชื่อว่าเป็นการฆาตกรรม ตามที่มีการนำแสนอข่าวไปก่อนหน้านี้


ส่วนความคืบหน้าทางคดี หลังจากตำรวจรู้เบาะแสของกลุ่มผู้ก่อเหตุที่มีอย่างน้อย 4 ราย แบ่งเป็นกลุ่มมือปืน 2 ราย และกลุ่มผู้จ้างวานอย่างน้อย 2 รายแล้ว รวมถึงเมื่อวานนี้ได้สอบปากคำลูกของเสี่ยต้น และคุณมด ภรรยา ไปแล้วทั้ง 3 คน ทำให้ขณะนี้ตำรวจยังอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนขอศาลออกหมายจับกลุ่มคนร้ายทั้งหมด ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าหมายจับจะสามารถออกได้วันนี้หรือไม่ เพราะต้องทำให้พยานหลักฐานมีความรัดกุมมากที่สุด นั้น




ล่าสุดวันนี้ (31 พ.ค. 2567) มีรายงานข่าวว่า ฝ่ายสืบสวนที่เกี่ยวข้องกับคดีการตายของเสี่ยต้น มีการนำกำลังเข้าค้นเป้าหมายในคดีการเสียชีวิตของเสี่ยต้น หลังมีประเด็นคาดการณ์ว่า การเสียชีวิตของเสี่ยต้น อาจจะมีความเชื่อมโยงไปถึงยาพื้นบ้านชนิดหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้าในการเข้าตรวจค้นเป้าหมาย


อีกทั้งยังมีรายงานข่าวอีกว่า มีพืชชนิดหนึ่งในพื้นที่นิยมนำมาใช้ในการกำจัดศัตรูพืช โดยพืชชนิดนี้ ชื่อ "หางไหล" หรือ โล่ติ๊น โดยในส่วนของตัวรากต้นไหลแดง มีสารโรติโนน ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบการหายใจ และระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจอาจทำให้เกิดการชัก และกดการหายใจจนนำไปสู่การเสียชีวิต ซึ่งฤทธิ์ดังกล่าวจะออกผลกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และปลา


ดังนั้น จึงมีการนำมาใช้บางส่วนในการเบื่อปลา หรือ ชาวบ้านมักจะเรียกว่า ยาเบื่อปลา ซึ่งในส่วนของรากไหลแดง หากมีการนำมาบดและผสมน้ำแล้วจะมีสีขาวขุ่น ขณะนี้ยังไม่มีความชัดเจนจากพื้นที่ ว่าการตรวจค้นครั้งนี้เป็นการเข้าตรวจค้นที่ใด และการตรวจค้นในวันนี้เจอหลักฐานที่ตำรวจต้องการหรือไม่




ทีมข่าวเดินทางลงพื้นที่ไปพบกับ นายชัยชิต คนงานในโรงไม้ที่เป็นญาติของเสี่ยต้น เพื่อสอบถามเกี่ยวกับรู้จักหรือเคยพบเห็นรากไหลแดงที่บ้านของภรรยาเสี่ยต้น ในจังหวัดมหาสารคามมาก่อนหรือไม่นั้น นายชัยชิต บอกว่า เวลาไปที่บ้านไม่เคยได้สังเกต แต่ส่วนตัวก็รู้จักพืชชนิดนี้เพราะวิถีชาวบ้านใช้เวลาหาปลา ซึ่งตัวเองก็เคยใช้เช่นกัน


โดยวิธีการใช้จะมีการตัดรากไหลแดงความยาวประมาณ 30-50 เซนติเมตร จากนั้นนำมาทุบให้แตกและนำไปผสมกับน้ำและผงซักฟอกและคนให้เข้ากันให้เกิดฟอง ก่อนจะสาดลงไปในแหล่งน้ำ รอประมาณ 5 ถึง 10 นาที ปลาจะลอยขึ้นมาจากอาการน็อกน้ำด้วยอาการเมา ซึ่งบางตัวก็ตาย ส่วนปริมาณการใช้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของแหล่งน้ำที่จะไปหาปลา โดยรากไหลแดงมีกลิ่นเพียงเล็กน้อยคล้ายกลิ่นยางไม้


ขณะที่ปลาที่มีอาการน็อกและเมาจากการใช้รากไหลแดง คนสามารถนำมาประกอบอาหารรับประทานได้ไม่เป็นพิษ หรืออันตรายต่อร่างกาย ส่วนในแหล่งน้ำที่มีการใช้รากไหลแดงตามความเชื่อของคนโบราณ ก็จะให้ถมน้ำลายหรือปัสสาวะลมไปในแหล่งน้ำเพื่อเป็นการแก้พิษ




ส่วนในพื้นที่ในแถบจังหวัดทางภาคอีสาน หาพืชชนิดนี้ได้ง่ายหรือไม่นั้น นายชัยชิต บอกว่าส่วนใหญ่ตามบ้านก็ต้องปลูกไว้ไม่ได้หาได้ทั่ว ๆ ไป ส่วนในจังหวัดมหาสารคามมีการปลูกพืชชนิดนี้อย่างแพร่หลายหรือไม่นั้น ตัวเองก็ไม่ทราบแต่ในจังหวัดนครราชสีมาบ้านเกิดของตัวเองมีการปลูกไว้ใช้ในการหาปลา


ส่วนพืชชนิดนี้เคยนำมาใช้กับคนหรือไม่ ตัวเองไม่ทราบ หรือจะมาใช้ผสมกับเหล้าก็ไม่ทราบเช่นกัน แต่เท่าที่เคยใช้มาเมื่อคนสัมผัสตัวพืชชนิดนี้ที่ผสมกับน้ำแล้ว ก็ไม่เป็นอันตรายสามารถสัมผัสได้ ขณะเดียวกันตัวเองก็ไม่ทราบว่าพืชชนิดนี้สามารถนำมาสกัดเป็นผงเพื่อใช้เป็นเป็นยาได้หรือไม่ด้วยเช่นกัน เมื่อถามย้ำว่าหากนำไปผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะทำให้เสียชีวิตเมื่อเทียบกับกรณีของเสี่ยต้นได้หรือไม่นั้น นายชัยชิต บอกว่า ไม่แน่ใจ และตัวเองไม่เคยพบเห็นจึงไม่รู้


จากนั้นทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยัง อำเภอยางสีสุราช จังหวัดมหาสารคาม เพื่อสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับรากไหลแดง โดยนายเเสวง อายุ 73 ปี ซึ่งเป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในชุมชน (เป็นสัปเหร่อเผาศพเสี่ยต้น) ได้เปิดเผยว่า เมื่อหลายปีก่อนชาวบ้านในชุมชนมักจะนิยมปลูกรากไหลแดง เนื่องจากชาวบ้านจะใช้รากไหลแดงในการจับปลา แต่เป็นวิธีที่ค่อนข้างผิด เพราะการใช้รากไหลแดงจะส่งผลให้ปลาตายยกบ่อ วิธีการก็คือนำรากไหลแดงยาวประมาณ 1 ช่วงแขนมาตี ๆ ทุบ ๆ ให้แหลก จากนั้นก็นำไปขยำกับน้ำซาวข้าวหรือน้ำที่ละลายกับผงซักฟอก แล้วก็นำไปเทลงแหล่งน้ำ เพียงอึดใจเดียวปลาที่อยู่ในบ่อก็จะตายและลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ




ซึ่งรากไหลแดงนั้นจะไม่มีกลิ่นเลยแม้แต่น้อย ส่วนสีก็จะเป็นสีแดงจาง ๆ ถ้าผสมกับน้ำก็ดูไม่ค่อยออก ถ้าถ้าว่ารากไหลแดงส่งผลอันตรายกับคนไหม ส่วนนี้ตนก็ไม่แน่ใจ แต่วิถีของชาวบ้านคือเมื่อจับปลามาได้แล้ว คนก็จะไม่นำปลามาทำอาหารกินทันที เพราะกลัวสารพิษของรากไหลแดงที่ตกค้างในตัวปลา ชาวบ้านมักจะคายน้ำลายหรือไม่ก็จะปัสสาวะใส่ปลาก่อน เพื่อให้คลายสารพิษที่มาจากรากไหลแดง


แต่เมื่อ 10 ปีก่อน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประกาศสั่งห้ามให้คนในชุมชนปลูก หรือใช้ประโยชน์จากรากไหลแดง หากใครเคยปลูกไว้ก็ต้องทำการถอนทิ้งทั้งหมด หากใครขัดขืนก็จะถือว่าทำผิดกฎหมาย เนื่องจากสารพิษที่มาจากรากไหลแดงทำให้ปลาตายยกบ่อ และยังคงมีสารตกค้างปนเปื้อนอยู่ในน้ำ ซึ่งจะเป็นอันตรายกับชาวบ้านในชุมชน


นายแสวง ยืนยันว่า ตอนนี้ในชุมชนไม่มีใครปลูกรากไหลแดง และก็ไม่พบว่าจะมีการขค้นตามธรรมชาติ เพราะหากมีใครไปเจอรากไหลแดงที่ขึ้นตามธรรมชาติก็จะบอกต่อ ๆ กัน แล้วรากไหลแดงก็จะถูกถอนทิ้งทั้งหมด ส่วนในชุมชนก็ยังไม่เคยเห็นใครถูกพิษจากรากไหลแดง เนื่องจากหลายคนก็รู้กันดีว่าควรระมัดระวังในการใช้ ซึ่งคนที่รู้ก็คงจะเป็นคนรุ่นก่อน ๆ เชื่อว่าเด็กสมัยนี้คงจะไม่เคยได้ยินและไม่รู้จักมาก่อน




ภายหลังจากที่มีกระแสประเด็นถึงรากไม้ที่ชื่อว่า ไหลแดง ที่อาจจะเชื่อมโยงว่าการเสียชีวิตของเสี่ยต้น ทีมข่าวจึงได้เดินทางไปสอบถาม รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ หมอหมู แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวช มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งได้เปิดเผยว่า รากไหลแดงคือ “หางไหล” เป็นพืชเถาวัลย์ที่พบได้ในพื้นที่ชุ่มชื้นตามแม่น้ำ โดยหางไหลในประเทศพบว่ามีทั้งหมด 21 ชนิดด้วยกัน ซึ่งมี 2 ชนิดที่สามารถกำจัดศัตรูพืชได้ นั่นก็คือหางไหลขาว และหางไหลแดง ซึ่งพืชชนิดนี้จะมีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญทางชีวภาพนั่นก็คือ “สารโลติโนน” โดยจะพบที่รากของพืชเป็นส่วนใหญ่ สารชนิดนี้มีฤทธิ์ในการฆ่าแมลง


โดยหากว่ามีคนนำไปกินเข้าสู่ร่างกายก็จะทำให้มีผลอย่างแน่นอน ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีรายงานว่าในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากหางไหล แต่ในต่างประเทศมีการตีพิมพ์ในนิตยาสาร ว่ามีชาวปาปัวนิวกินี อายุ 47 ปี เจตนากินหางไหลจนทำให้เสียชีวิตมาแล้ว โดยในราบงานระบุว่าหญิงสาวรายนี้ทานสารสกัดจากหางไหล ที่มีสารโลติโนน 0.8 เปอร์เซ็น ไปกว่า 240 ซีซี หลังทานเธอมีอาการหมดสติก่อนจะเสียชีวิต ซึ่งผลทางการแพทย์ระบุว่าเสียชีวิตจากภาวะหัวใจเหลว


ส่วนหากว่าจะมีการนำมาใช้ผสมเป็นรูปแบบต่าง ๆ ให้คนกินก็เป็นไปได้เพราะสารที่อยู่ในตัวหางไหลไม่มีกลิ่นและมีรสที่รุนแรง และเมื่อถูกนำไปอยู่ในแก้วเหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้นำไปดื่มจะไม่รู้ตัว และเมื่อผสมกับแอลกอฮอล์จะทำมีการกระตุ้นให้ฤทธิ์ของสารออกมาเพิ่มมากขึ้น ยืนยันว่าสารที่อยู่ในหางไหลมีพิษ




ขณะที่หากผู้เสียชีวิตได้รับสารชนิดนี้ไปแล้ว จะทำให้สภาพศพดำผิดปกติหรือไม่นั้น ก็อาจจะมีปัจจัยบางอย่างที่อาจจะมีของสารเคมีหรือสารพิษเกี่ยวข้องเข้าไปด้วย จึงทำให้สภาพศพดำผิดปกติก็เป็นไปได้ แต่สำหรับหางไหลเมื่อกินเข้าไปแล้วจะทำให้ศพดำหรือไม่นั้น ตรงนี้ยังไม่มีข้อมูล แต่ถ้าตั้งสมมุติฐานทางการแพทย์ ก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่หางไหลจะทำให้เกิดปฏิกิริยากันเน่าเร็วกว่าปกติ


ส่วนที่มีคนนำหางไหลไปผสมและจับปลานำไปกินแล้วไม่เกิดปฏิกิริยา ทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายนั้นเชื่อว่า ในการใช้ไปจับปลานั้นใช้ปริมาณพิษของหางไหลเป็นจำนวนน้อย และเมื่อผ่านกระบวนการทางอาหารที่มีการหุงหรือต้มผ่านความร้อนก็ทำให้สารพิษเจือจางไปได้


ทั้งนี้ หากจะมีการตรวจสอบ ว่าเสี่ยต้นถูกสารพิษตัวนี้หรือไม่นั้น ยอมรับว่าค่อนข้างจะยากเพราะหากรับประทานเข้าไปและเสียชีวิตในทันที สารพิษจะอยู่ได้เพียงแค่กระเพาะอาหารยังไม่กระจายไปทั่วร่างกาย และเมื่อมีการเผาศพผ่านความร้อนแล้วเพราะอาจจะทำให้ไม่พบสารพิษในเถ้ากระดูก

 

"ต้นไหลแดง" ส่อพลิกคดี "เสี่ยต้น" ตำรวจเผยคดีนี้มีคนร้าย 4 คน