ความคืบหน้าคดีฆาตกรรมนายไพศาล อายุ 54 ปี หมกศพในห้องพักคอนโด ย่านงามวงศ์วาน จ.นนทบุรี เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่ผ่านมา ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัว นายภูริณัฐ หรือโฟโต้ หรือ โฟ 2 แว่น อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาก่อเหตุฆ่าชิงทรัพย์ได้ที่บ้านพักในจังหวัดชุมพร นั้น
ล่าสุดวันนี้ (1 มิ.ย. 2567) หลังจากที่โฟ 2 แว่น กำลังสอบสวนอยู่กับทางเจ้าหน้าที่ร้อยเวรอยู่ ได้มีการขอเข้าห้องน้ำอีกรอบ ซึ่งวันนี้โฟ 2 แว่น เข้าห้องน้ำบ่อยมาก และรอบนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็ได้นำตัวไอ้โฟ 2 แว่น มาเข้าห้องน้ำอีกรอบ และหลังจากที่เข้าห้องน้ำเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางไอ้โฟ 2 แว่น ก็ได้เอ่ยปากพูดออกมาแล้ว โดยทางไอ้โฟ 2 แว่น กล่าวว่า
“ทางตนเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และหลังจากที่เกิดเหตุไปแล้วก็รู้สึกตกใจ เพราะว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก็คงไม่อยากให้มีใครอยากให้เกิด ดังนั้นอยากจะขอโทษ กับผู้เสียชีวิต ญาติของผู้เสียชีวิต และที่สำคัญคือคนรอบ ๆ ตัวต้องขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง” และเมื่อพูดประโยคนี้จบทางไอ้โฟ 2 แว่น ก็ได้เข้าห้องสอบสวนไปทันที โดยที่ไม่ได้เล่าให้ฟังว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในห้องเป็นอย่างไร และมีความสัมพันธ์กับทางผู้ตายอย่างไรบ้าง
ทั้งนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ได้หลักฐานจากทางตำรวจเป็นคลิป ในช่วงที่เจ้าหน้าชุดสืบสวนเดินทางเข้าไปคุมตัวผู้ต้องหาถึงห้องพักภายในบ้านที่ จ.ชุมพร โดยระหว่างเข้าคุมตัวในห้องพักนั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้พูดขึ้นว่า “ระวังคอ คอหักอยู่ เขาเจ็บ ๆ” คาดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะทราบข้อมูลมาว่าตัวของนายโฟบาดเจ็บที่คออยู่หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีของกลางเป็นบัตรประชาชนของบุคคลอื่นรวม 4 ใบ และทองคำ 28 บาท มูลค่า 1,238,200 บาท รวมถึงบัตรเครดิต บัตรเดบิตของผู้ตาย ซิมโทรศัพท์มือถือ และโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น
ขณะเดียวกันจะมีภาพในช่วงที่ทางเจ้าหน้าที่จุดสืบสวนพาผู้ต้องหาไปชี้จุดที่ตัวเองทำลายหลักฐาน ด้วยการนำเสื้อผ้าที่สวมใส่ในวันก่อเหตุมาเผาภายในสวนหลังบ้านของผู้ต้องหาเอง ซึ่งห่างแค่ 5 เมตร ซึ่งทางผู้ต้องหาได้พาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมไปชี้จุด และเก็บซากเสื้อผ้าบางส่วนมาเป็นพยานหลักฐานสำคัญในคดีนี้
นอกจากนี้ กรณีที่โซเชียลมีการโพสต์ภาพของนายโฟ คนก่อเหตุ หลังจากที่เดินทางกลับมาบ้านในจังหวัดชุมพร และมีภาพปรากฏวันที่ 29 พ.ค. ได้ไปนั่งทานข้าวอยู่กับครอบครัว หลังเกิดเหตุทำนองว่ากินหรู อยู่สบาย และมีภาพอาหารบนโต๊ะ อาทิ กุ้งตัวใหญ่ ปูผัดผงกะหรี่ และเมนูระดับภัตตาคาร นั้น
วันเดียวกันนี้ ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่ร้านอาหารดังกล่าว ซึ่งเป็นร้านอาหารดังบรรยากาศบ้านสวน อยู่ในพื้นที่อำเภอเมืองจังหวัดชุมพร โดยร้านดังกล่าวเป็นร้านประจำที่คนก่อเหตุและคนในครอบครัวมักจะเดินทางมาบ่อยครั้ง โดยทันทีที่ทีมข่าวเดินทางไปถึง ก็พบว่ามีโต๊ะชุดเดียวกันกับที่ตัวของนายโฟ มานั่งทานข้าวอยู่กับครอบครัว เป็นโต๊ะคลุมด้วยผ้าคลุมสีแดงอยู่กลางร้าน ซึ่งเป็นร้านและพิกัดเดียวกันตามที่มีการโพสต์ภาพเอาไว้ในโซเชียล โดยทีมข่าวได้มีการนำภาพไปเปรียบเทียบกับโต๊ะ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ตัวของนายโฟนั่งทานข้าวอยู่ และอีกตำแหน่งคือ ที่ถ่ายจากด้านข้างเห็นบรรยากาศด้านข้าง ซึ่งเป็นลักษณะต้นไม้และคลอง โดยทั้งสองภาพที่มีการถ่ายและโพสต์ในโซเชียล ก็ยืนยันว่าเป็นร้านแห่งนี้จริง
ทีมข่าวได้พูดคุยกับนางสาวปาน (นามสมมติ) เจ้าของร้าน เผยว่า ในวันนั้นตนเองกำลังจะปิดร้านในช่วงเย็น เพราะเนื่องจากมีภารกิจเดินทางไปกรุงเทพฯ แต่ตัวของนายโฟได้มีการโทรศัพท์เข้ามาด้วยตนเอง พร้อมกับสั่งเมนูโปรด อาทิ กุ้งทอดซอสมะขาม ใบเลี้ยงผัดไข่ ปูผัดผงกะหรี่ และเมนูอื่น ๆ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่ากำลังเดินทางมาและขอให้ทำอาหารให้กินหน่อย เนื่องจากเพิ่งเดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยหลังจากที่ตนเองได้รับสายและรับออร์เดอร์จึงได้มีการทำกับข้าวและเสิร์ฟที่โต๊ะดังกล่าว โดยเมนูในวันดังกล่าวมีการเช็กบิลราคาอยู่ที่ 4,400 บาท
ยืนยันว่าในวันที่ตัวของนายโฟมาที่ร้านพร้อมกับลุงซึ่งเป็นกำนัน และรวมถึงแม่ไม่มีอะไรผิดสังเกตและไม่มีอะไรผิดปกติ เข้าใจว่าเป็นเหมือนลูกค้าทั่วไป ที่เข้ามาทานอาหารตามปกติ แต่ตนเองมาทราบอีกทีก็คือหลังจากที่ปรากฏเป็นข่าวว่าภาพในร้านของตนเองถูกแชร์ออกไป และเป็นสถานที่ที่ให้บริการสำหรับฆาตกรฆ่าคน ตนเองจึงบอกว่าสำหรับตนเองในฐานะที่เป็นร้านค้า ร้านอาหาร ก็ให้บริการลูกค้าตามปกติ เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าคนที่มานั่งจะเกี่ยวข้องกับการตายของนายไพศาล
และหากย้อนกลับไปในวันนั้นก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติ ไม่ได้สังเกตว่าคนที่มานั่งทานข้าวอยู่นั้นจะเป็นผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจกำลังตามหา เป็นชายใส่เสื้อฮู้ดหรือสวมแว่นหลายชั้น เพราะวันที่มานั้นมีการใส่เสื้อกล้าม เปิดเผยใบหน้า ใส่แค่เพียงแว่นตาสายตา ซึ่งก็ไม่ได้มีลักษณะคล้ายหรือตรงกับตามที่มีการประกาศลงในโซเชียล ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าคนที่มานั่งสั่งข้าวนั้นจะเป็นฆาตกร
ส่วนกรณีที่โซเชียลตั้งข้อสังเกตว่าการที่นายโฟ มีการสวมใส่เสื้อกล้ามและมีการโชว์แขนลักษณะเห็นรอยช้ำคาดว่าเกิดจากการต่อสู้กับคนตาย ตนเองไม่ทันได้สังเกต เพิ่งจะมาดูภาพหลังจากที่ปรากฏเป็นข่าว ก็เห็นว่าแขนซ้ายมีลักษณะรอยช้ำเขียวจริง
อีกทั้งทีมข่าวช่อง 8 ยังเดินทางไปที่บ้านของแม่นายโฟ พบว่า ยังคงมีรถของคนในบ้านรวมถึงญาติจอดอยู่ที่บ้าน หลายคัน แต่มีลักษณะปิดเงียบ ซึ่งได้ฝากให้ข้อมูลกับทางแม่บ้านเอาไว้ว่า “ไม่สะดวกให้สัมภาษณ์และให้ข้อมูลอีกแล้ว เนื่องจากมีการชี้แจงไปทั้งหมดอย่างละเอียดไปเมื่อวาน วันนี้จึงเป็นหน้าที่ของขั้นตอนตามกฎหมาย และมอบให้พ่อเป็นผู้ดำเนินการแทนที่กรุงเทพฯ”
จากนั้นทีมข่าวเก็บภาพกว้างของบ้าน จะเห็นว่ามีต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง ซึ่งอยู่บริเวณหลังบ้านห่างจากตัวบ้านไม่ถึง 5 เมตร เป็นลักษณะร่องสวน ซึ่งเป็นจุดที่ทราบว่าตัวของนายโฟมีการนำเสื้อผ้าซึ่งเป็นของกลาง โดยเฉพาะเสื้อฮู้ด สีดำ สีน้ำตาล และสีขาว ไปทำการเผาทิ้งอำพรางบริเวณจุดดังกล่าว โดยทีมข่าวเก็บภาพกว้างจุดที่เผา แต่ไม่สามารถเข้าไปภายในพื้นที่ได้เนื่องจากทางบ้านไม่อนุญาต เบื้องต้นแม่บ้านให้ข้อมูลยืนยันว่า วันที่มีการเผาสิ่งของหลังบ้านไม่มีใครสังเกตเพราะเข้าใจว่าเป็นพื้นที่สวนและเป็นช่วงกลางคืน
ทั้งนี้ หลังจากเมื่อเวลา 00.00 น. วันที่ 1 มิ.ย. 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัว นายภูริณัฐ หรือนายโฟโต้ ผู้ต้องหาฆาตกรรมนายไพศาล โดยใช้เวลาเดินทางจากจ.ชุมพร มาถึง สภ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี กว่า 6 ชั่วโมง หลังจากมาถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายโฟ ผู้ต้องหา เข้าไปสวบสวนในห้องสืบสวนของ สภ.เมืองนนทบุรี โดยหลบสื่อมวลชนเข้าบริเวณประตูด้านข้าง และไม่ให้สัมภาษณ์ใด ๆ ต่อมา เวลา 00.20 น. นายพิสิษฐ์ ทนายความของนายโฟได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน รวมถึงพ่อของนายโฟ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี และร่วมปรึกษากับทนายความ ก่อนจะนำตัวเข้าห้องขังอีกด้วย
จากนั้นเวลา 01.40 น. พ่อของนายโฟ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี พร้อมเปิดใจกับสื่อมวลชน โดยมีการยกมือไหว้ขอโทษครอบครัวผู้ตาย ระบุว่า “ผมขอโทษครับ ขอโทษแทนลูกชาย ขอโทษทุกคน ขอโทษพ่อ ขอโทษแม่ ขอโทษครอบครัวคุณไพศาล สิ่งที่น้องโฟโต้ได้ทำไป ทำให้คุณไพศาลเสียชีวิตก็ต้องได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม พ่อขอเป็นตัวแทนครอบครัว ขอโทษทุกคน”
ต่อมาช่วงเช้าเวลา 08.30 น. ที่ผ่านมา ทางเจ้าหน้าที่ได้มีการเข้าไปในห้องขังเพื่อเข้าไปปั๊มบันทึกลายนิ้วมือของนายโฟ 2 แว่น ซึ่งจากการสังเกตผ่านกล้องวงจรปิดภายในห้องขัง พบว่า เจ้าหน้าที่ต้องปั๊มลายนิ้วมืออยู่หลายรอบ คาดว่าไม่สามารถปั๊มลายนิ้วมือได้ ซึ่งไม่ทราบสาเหตุเช่นกัน ก่อนที่ต่อมานายโฟจะเห็นมุมกล้องวงจรปิด จึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่เดินไปที่ห้องขังอีกห้องหนึ่ง ที่ไม่สามารถจับภาพตัวเองได้ และเมื่อเดินไปในห้องขังอีกห้องก็ไม่สามารถเห็นตัวของนายโฟแล้ว
จากนั้นเวลา 10.30 น. ที่ผ่านมา นายพรชัย พ่อของนายโฟ เดินทางมายัง สภ.เมืองนนทบุรี อีกครั้งเพื่อมาติดต่อขอเข้าเยี่ยมลูกชายในช่วงเช้า และทางสื่อมวลชนได้เข้าไปสอบถาม ซึ่งนายพรชัย เผยกับสื่อมวลชนว่า ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ทางตนยังไม่ได้มีการเข้าเยี่ยมไปพูดคุยกับลูกชายเลยแม้แต่น้อย แต่เท่าที่เห็นหน้าลูกชายอยู่กับทนายเมื่อคืน ก็เห็นว่ามีสีหน้าแววตาที่เศร้าหมองและมีความเครียดอยู่พอสมควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะต้องให้ลูกรับผลกรรมของตัวเองที่ก่อไว้ และต้องตอบตามตรงว่ารายละเอียดลึก ๆ เรื่องของลูกชาย ทางตนไม่ทราบมากเท่าไรนัก จะมีแต่แม่เท่านั้นที่จะทราบเรื่องของลูกชาย เพราะลูกชายจะสนิทกับแม่มากกว่า
และเรื่องแรกที่อยากจะบอกกับสื่อ คือ เรื่องที่ลูกชายอ้างว่าถูกนายไพศาล โกงเงินไปจำนวน 5 ล้านบาท ก็ต้องพิสูจน์ต่อไปว่าจริงไหมเพราะตนไม่ทราบ แต่เรื่องของการมายืมแม่ไป 2 ล้านนั้นคือเรื่องจริง และก็จะยืมเรื่อย ๆ ไม่รู้ว่าเอาไปเท่าไรแล้ว เพราะเท่าที่ทราบลูกชายมีการเปิดบริษัทส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศ ธุรกิจก็ไปได้สวยไม่เห็นว่าจะมีปัญหาหรือติดขัดตรงไหน หรืออาจมีปัญหาอย่างไรแล้วลูกไม่เคยบอกตนก็ไม่อาจทราบได้ และที่สำคัญก็ขอยืนยันว่าทางลูกชายก็ยังอยู่ที่บ้านกับพ่อและแม่ แต่เวลาที่จะออกไปไหน ก็ออกไปค่อนข้างนานประมาณ 15 วันกลับมาที หรือบางครั้งไปเป็นเดือน ซึ่งครอบครัวก็จะให้อิสระกับลูกไม่ค่อยถามอะไร
ต่อมาคือเรื่องของการเป็นคู่ขาของนายไพศาล ตนไม่ทราบถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ เนื่องจากทราบแต่เพียงว่าลูกชายตนมีแฟนเป็นผู้หญิง และทางตนไม่รู้จักกับนายไพศาลเป็นการส่วนตัว และหลังจากนี้ไม่อยากจะกล่าวถึงนายไพศาลอีกแล้ว เพราะไม่อยากอ้างอิงบุคคลอื่นอีก ส่วนเรื่องที่ลูกชาย หลังจากก่อเหตุเสร็จมีการอำพรางตัวจากจ.นนทบุรี แล้วเดินทางไปที่ จ.ชลบุรี จากนั้นจึงมีการเดินทางลงใต้เพื่อไปกบดานที่บ้านญาติ เรื่องนี้ตนก็ไม่ทราบความคิดลูกชายเหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ก็ต้องฝากทางตำรวจสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุของการกระทำดังกล่าวด้วย
อีกทั้ง เรื่องที่อยากจะเผยต่อสื่อก็คือ ตั้งแต่มีการปรากฏภาพชายใส่ 2 แว่น อยู่ในลิฟต์ ซึ่งเป็นฆาตรกรฆ่าหมกศพในคอนโด ทางตนเมื่อเห็นภาพชายคนดังกล่าว ก็จำได้ทันทีว่าลักษณะท่าทางรูปร่างต่าง ๆ ยังไงก็คือลูกชายของตนแน่ ๆ เพราะคนเป็นพ่อเป็นแม่ยังไงก็จำลูกตัวเองได้แน่นอน แต่ไม่อยากยืนยันว่าลูกชายเป็นก่อเหตุ เนื่องจากเชื่อว่าลูกชายคงจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้ จึงได้มีการโทรศัพท์สอบถามไปหาลูกชายว่าเป็นตนในลิฟต์หรือไม่ ถ้าทำต้องไปมอบตัวเพราะพ่อจำได้ แต่ทางลูกชายยังยืนกรานเสียงแข็งว่าตนจำผิดคน ตัวเองไม่ใช่คนฆ่าหมกศพ และไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น ดังนั้นส่วนหนึ่งจากที่ตนเลี้ยงลูกมา ก็ต้องเชื่อตามที่ลูกบอกแต่สุดท้ายเรื่องมาถึงขนาดนี้ ก็จะไม่เข้าข้างลูกและให้ลูกเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแน่นอน
สำหรับเรื่องของการขายที่ดินต่าง ๆ เท่าที่ตนทราบไม่ใช่ที่ดินของทางครอบครัว แต่เป็นที่ดินของเพื่อนแม่ที่สนิทกัน จึงวานให้ลูกชายโพสต์ช่วยประกาศขายอีกแรง และอาจจะได้ค่านายหน้าด้วยจำนวน 3% ซึ่งที่ดินดังกล่าวก็ขายไปแล้วแต่เป็นคนอื่นที่มีการช่วยโพสต์ประกาศขาย มีคนติดต่อเข้ามาซื้อแล้ว ทางลูกชายจึงไม่ได้ค่านายหน้าอะไรเลย และตอนนี้ที่ทางลูกชายยังมีการปฏิเสธและไม่ยอมรับสารภาพ ตนก็อยากให้ลูกชายรับผิดไปตามกระบวนการกฎหมาย
อีกทั้งการที่ลูกก่อเหตุเช่นนี้ แต่ตอนอยู่กับครอบครัวก็เป็นอีกคน ตนก็คงตอบอะไรให้ไม่ได้ ตอบแค่ว่าเรื่องนี้ก็คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น และหากจะพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต ลูกชายตนก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องนี้ แต่อาจจะมีปัญหาสุขภาพที่ต้องใส่เหล็กที่ขา และมีปัญหาที่คอ ที่ไม่สามารถหันไปหันมาเหมือนคนทั่วไปได้แล้ว เพราะเมื่อช่วงเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา เพิ่งเกิดอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนมา อาการปางตายแต่รอดมาได้แบบปาฏิหาริย์
จากนั้นนายพรชัย ได้มีการโชว์ถุงที่ใส่ขนมมาให้ลูกชาย ซึ่งจะมีขนมปังไส้สังขยา โยเกิร์ตรสวุ้นมะพร้าวและน้ำชามะนาว ซึ่งนายพรชัย เผยว่า เป็นขนมที่ลูกชายชอบทาน แต่มาเยี่ยมก่อนเวลาจึงยังเอาไปให้ไม่ได้ ก่อนที่จะเดินออกจากโรงพักไปขึ้นรถและออกไป เพื่อรอเวลามาเยี่ยมลูกชายในช่วงเที่ยง
และเมื่อเวลา 12.00 น. นายพรชัย พ่อของโฟ 2 แว่น ก็เดินมาเข้าเยี่ยมลูกชาย แต่ขึ้นไปยังชั้น 2 ซึ่งเป็นห้องสอบสวน และไม่นานนักทางเจ้าหน้าที่ก็นำตัวนายโฟออกมาจากห้องขัง เพื่อขึ้นไปสอบสวนต่อไป โดยทางทีมข่าวช่อง 8 ได้มีโอกาสสอบถามนายโฟถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรืออยากจะขอใครหรือไม่ แต่ทางนายโฟยังคงมีสีหน้าแววตาที่นิ่งเฉย และยังไม่ยอมตอบคำถามสื่อแต่อย่างใด ก่อนที่จะขึ้นไปยังชั้น 2 ที่เป็นห้องสอบสวน จึงคาดว่านายโฟจะขึ้นไปพบกับพ่อก่อนมีที่การสอบสวนจะเริ่มขึ้น
เวลาประมาณ 13.10 น. ทางเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายโฟออกจากห้องประชุมใหญ่ เพื่อเข้าห้องน้ำ ที่ห่างจากห้องประชุมใหญ่เพียง 3-4 เมตร โดยเจ้าตัวมีการใส่แมสก์สีขาว สวมเสื้อฮู้ดสีดำ และรีบวิ่งเข้าห้องน้ำโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยประกบอยู่ ซึ่งเหตุการณ์เป็นไปอย่างชุลมุนมาก และหลังจากออกจากห้องน้ำ ขณะที่ตำรวจคุมตัวนายโฟพาไปสอบสวนเพิ่มเติม จะเห็นว่านายโฟได้ส่งยิ้มและขยิบตาให้กับสื่อมวลชน แต่ไม่ตอบคำถามอย่างใด ก่อนจะเดินเข้าห้องประชุมใหญ่ไป
ต่อมา พล.ต.ท.จิรสันต์ แก้วแสงเอก ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้มีการแถลงรายละเอียดคดีดังกล่าว โดย พล.ต.ท.จิรสันต์ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพในทุกข้อกล่าวหา ยอมรับว่า ก่อเหตุฆ่านายไพศาลจริง ส่วนมูลเหตุจูงใจและสาเหตุที่ก่อเหตุในครั้งนี้นั้น อยู่ในระหว่างการสอบปากคำอย่างละเอียด แต่จากคำให้การของผู้ต้องหาเบื้องต้น อ้างว่าเป็นปัญหาเรื่องของการประกอบธุรกิจด้านสินค้านำเข้าร่วมกัน ระหว่างผู้ต้องหาและผู้ตาย ส่วนสาเหตุเงินจำนวนหลักล้านบาท ที่มีรายงานข่าวก่อนหน้านี้ว่า ผู้ตายติดเงินผู้ต้องหานั้น พล.ต.ท.จิรสันต์ อ้างว่าอยู่ในสำนวนคดี ยังเปิดเผยไม่ได้
และที่ผู้ต้องหาได้เดินทางหลบหนีไปยังพื้นที่ต่าง ๆ มากมาย ก่อนสุดท้ายจะมาถูกจับกุมที่จังหวัดชุมพรนั้น พล.ต.ท.จิรสันต์ กล่าวว่า เป็นการหลบหนีเพื่อประวิงเวลาให้ถูกจับกุมได้ช้าที่สุด โดยเป้าหมายสุดท้ายที่ผู้ต้องหาหลบหนี คือการกลับบ้านที่ จ.ชุมพร ทั้งนี้มีรายงานข่าวว่าผู้ต้องหาเองรู้ตัวอยู่แล้วว่า ยังไงต้องถูกจับ เลยพยายามหลบหนีไปหลายพื้นที่เพื่อเป็นการประวิงเวลา
สำหรับของกลางที่สามารถตรวจยึดจากผู้ต้องหาได้นั้น ได้แก่ ทองคำแท่งน้ำหนักรวม 28 บาท ซึ่งเป็นทองคำที่ผู้ต้องหาใช้เงินของผู้ตายซื้อ โดยสามารถยึดมาได้ทั้งหมด รวมทั้งบัตรเครดิตและบัตรประชาชนของผู้ตาย อย่างไรก็ตาม ในส่วนบัตรเครดิตและบัตรประชาชนของบุคคลอื่นที่ตรวจพบนั้นอยู่ในระหว่างการสอบสวน
จากนั้นสื่อมวลชนยังได้สอบถามประเด็นที่ว่า เหตุใดผู้ก่อเหตุถึงนำเงินและทรัพย์สินของผู้ตายไปขายหรือมาใช้ส่วนตัวนั้น พล.ต.ท.จิรสันต์ กล่าวว่า จากคำให้การของผู้ต้องหาอ้างว่า เนื่องจากทำธุรกิจร่วมกันกับผู้ตาย ดังนั้น ทรัพย์สินของผู้ตาย จึงเสมือนว่าตนเองเป็นเจ้าของร่วม เพราะสร้างมาด้วยกัน
ส่วนที่ว่าผู้ต้องหาได้ตระเตรียมการวางแผนเพื่อมาก่อเหตุฆาตกรรมนายไพศาลโดยตรงหรือไม่นั้น พล.ต.ท.จิรสันต์ กล่าวว่า เรื่องนี้อยู่ในสำนวนทางคดี แต่เบื้องต้นอาวุธมีดที่ใช้ก่อเหตุนั้น ผู้ต้องหาเตรียมมาเอง แต่ตอนนี้ยังไม่ได้อาวุธมีด อยู่ในระหว่างการค้นหา ส่วนบาดแผลที่มากถึง 15 แผลนั้น เบื้องต้นทราบว่า เป็นการต่อสู้กันระหว่างผู้ต้องหาและผู้ตายตามที่ปรากฏร่องรอยบาดแผลที่มือของผู้ต้องหา แต่จะเป็นการแทงเพื่อข่มขู่หรือบีบบังคับให้ผู้ตายบอกข้อมูลบางอย่างแก่ผู้ต้องหาหรือไม่นั้น รวมทั้งใครเริ่มต่อสู้ใครก่อน อยู่ในระหว่างการขยายผล
สำหรับข้อสงสัยที่ว่า ทำไมผู้ต้องหาต้องสวมรอยใช้ไลน์ของผู้ตายในการแชตพูดคุยกับหลานสาวของผู้ตายนั้น พล.ต.ท.จิรสันต์ กล่าวว่า ประเด็นนี้อยู่ในสำนวนคดียังไม่สามารถเปิดเผยได้และต้องสอบสวนเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม จากการสอบปากคำผู้ต้องหา สังเกตเห็นได้ว่า ตัวผู้ต้องหามีอาการเครียดและสำนึกผิดในสิ่งที่กระทำลงไปอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งผู้ต้องหาเองก็มีความรู้ด้านกฎหมายอยู่พอสมควร เนื่องจากจบนิติศาสตร์มา โดยทางพนักงานสอบสวนจะดำเนินการสอบปากคำผู้ต้องหาอย่างละเอียด พร้อมดำเนินคดีใน 3 ข้อหา ได้แก่ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธโดยใช้ยานพาหนะ และพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ก่อนจะนำตัวส่งฝากขังต่อศาลจังหวัดนนทบุรี ในวันพรุ่งนี้ก่อนเที่ยง
และถัดมาด้านพ่อของผู้ต้องหา มีการยกมือไหว้กล่าวขอโทษผ่านสื่อมวลชน ไปยังครอบครัวของผู้เสียชีวิตและสังคมในสิ่งที่ลูกชายได้กระทำลงไป โดยตนพร้อมที่จะให้การช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตตามสุดความสามารถ ตอนนี้น้องสำนึกผิดและยอมรับในสิ่งที่ทำลงไป พร้อมเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย
ส่วนตอนนี้ตนยังไม่ได้คุยกับครอบครัวของเสี่ยไพศาลเลย แต่ยืนยันว่า ถึงแม้ลูกชายตนจะไม่มีโอกาสขอขมาและเดินทางเข้าไปกราบศพของเสี่ยไพศาลแล้ว เพราะต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย แต่ทางตนก็จะเป็นตัวแทนของลูกชายเดินทางไปขอขมาครอบครัวของเสี่ยไพศาลด้วยตนเองอย่างแน่นอน และก็ต้องกราบขอโทษครอบครัวของเสี่ยไพศาลอีกครั้งกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะทางตรงไม่อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นเลย อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดขึ้นแล้วทางลูกชายตนก็ต้องเข้าสู่ผลการยุติธรรม ก็ต้องได้รับโทษทางกฎหมายเหมือนคนกระทำผิดทั่วไป
ส่วนประเด็นที่สังคมตั้งข้อสงสัย ถึงลักษณะการแต่งกายของน้องนั้น ทางพ่อกล่าวว่า เนื่องจากเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปีที่แล้ว น้องประสบอุบัติเหตุที่จังหวัดเชียงใหม่ เลยมีปัญหากระดูกหักที่คอและขาเลย ทำให้น้องมีปัญหาด้านการเดินตามที่ปรากฏในภาพ ส่วนที่น้องใส่ฮู้ดตลอดเวลานั้น เนื่องจากน้องดามคอ และการสวมแว่นตาถึง 2 ชั้น เป็นเพราะน้องสายตายาวและน้องชอบใส่แว่นกันแดด บางครั้งเลยมักจะสวมแว่นกันแดด และทับด้วยแว่นสายตา ซึ่งเป็นเรื่องปกติของน้อง
และเวลาประมาณ 16.40 น. ทางเจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายโฟออกมาจากห้องขังเพื่อเข้าในห้องสอบสวน ซึ่งได้มีทางทนาย เดินทางมานั่งรับทราบการสอบสวนภายในห้องสอบสวนด้วย อีกทั้งยังมีนายพรชัย ผู้เป็นพ่อนั่งฟังการสอบสวนอยู่ด้วยเช่นกัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ร้อยเวรก็ได้มีสอบสวน และมีการให้ทางโฟ 2 แว่น ทำการโชว์บาดแผลตามร่างกาย ที่คาดว่าน่าจะเกิดจากการต่อสู้กันก่อนเกิดเหตุแทงนายไพศาล จนถึงแก่ความตาย
ขณะเดียวกันภายในห้องสอบสวน ก็มีทางเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานอยู่ภายในห้องด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ได้เดินทางมาตรวจพยานหลักฐานต่าง ๆ รวมไปถึงดีเอ็นเอของโฟ 2 แว่น อย่างไรก็ตามทางนายโฟขณะที่อยู่ภายในห้องสอบสวน ยังคงมีสีหน้าแววตาที่แจ่มใส และมีการหัวเราะออกมาเป็นระยะ ไร้ความตึงเครียดใด ๆ ทั้งนี้ในช่วงนายพรชัย ผู้เป็นพ่อ อยู่ภายในห้องสอบสวน จากการสังเกตสีหน้าแววตา ดูมีความตึงเครียดกว่าลูกชายเป็นอย่างมาก เพราะนั่งกอดอกหน้าเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา
ต่อมาหลังจากที่จบการแถลงข่าวความคืบหน้าของคดีดังกล่าว นายพรชัย พ่อของนายโฟได้ขอนุญาตเข้าไปเยี่ยมลูกชายในห้องขัง ซึ่งขณะที่เข้าไปก็ได้มีการจับมือลูกชายตลอดเวลาที่เข้าไปพูดคุยกัน โดยมีโอกาสคุยกันประมาณ 5 นาที จากนั้นทางนายพรชัย ก็ได้มีการลูบหัวลูกชาย ก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องขัง
และในขณะที่นายโฟกำลังถูกสอบสวนอยู่กับผู้เป็นพ่อนั้น ทางทนายพิสิษฐ์ ทนายของผู้ต้องหา ได้ออกให้ข้อมูลกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นของลูกความเอาไว้ว่า ขณะที่นั้นการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ และยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลทางคดีได้ ว่าเหตุการณ์ภายในจุดเกิดเหตุทางลูกความได้ทำพฤติการณ์กับทางผู้ตายอย่างไรบ้าง ซึ่งทางลูกความก็ยอมรับสารภาพว่าตัวเองคือคนก่อเหตุ ซึ่งเท่าที่บอกได้คือลูกความ บอกว่าตัวเองมีความเกี่ยวพันทางธุรกิจกับทางผู้ตาย คือมีการทำธุรกิจร่วมกัน แต่ถูกผู้ตายโกงเงินไปกว่า 5 ล้านบาท ด้วยความเป็นเด็ก และมองว่าเงินจำนวนดังกล่าวคือเงินจำนวนมหาศาล ที่ทั้งชีวิตกว่าจะหามาได้ จึงทำการลงมือก่อเหตุดังกล่าวไปด้วยความยั้งคิด ไม่ได้เกิดจากเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างลูกความและผู้ตาย แต่อย่างใดเพราะทางลูกความของตนมีแฟนเป็นหญิงสาว
และเรื่องที่ทางลูกความกระทำความผิดแล้ว มีการเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ คล้ายกับการประวิงเวลาไม่ให้ถูกจับกุม ทางลูกความเผยว่า หลังจากเกิดเหตุทางลูกความเพิ่งเคยกระทำเหตุการณ์แบบนี้ครั้งแรก จึงไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี นึกอะไรได้ว่าจะไปไหนก็ไปก่อนโดยที่คิดแล้วก็ไปเลย โดยที่ไม่มีการไตร่ตรองหรือคิดไว้ว่าจะไปที่ก่อนหลังเลย
ส่วนการที่พิสูจน์หลักฐานได้มีการตรวจสอบร่องรอยของบาดแผลต่าง ๆ ที่เกิดจากการต่อสู้ระหว่างลูกความและผู้ตาย อยู่ในระหว่างการตรวจสอบซึ่งยังไม่แล้วเสร็จ แต่เท่าที่ทราบทางลูกความ เมื่อปลายปีที่แล้วได้เกิดอุบัติเหตุหนัก ทำให้มีร่องรอยของบาดแผลอยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ต้องแยกให้ออกว่าระหว่างแผลเก่ากับแผลใหม่มีตรงจุดไหนบ้าง
สุดท้ายทางครอบครองของลูกความจะมีการยื่นประกันตัวหรือไม่นั้น คิดว่าทางครอบครัวคงไม่มีการยื่นประกันตัวแล้ว เนื่องจากต้องการให้ทางลูกความเข้าไปสงบสติอารมณ์ภายในเรือนจำก่อน หากอยู่ในเรือนจำแล้วสามารถคิดไตร่ตรองกับสิ่งที่เกิดขึ้นและกระทำลงไป และเมื่อได้รับโทษและออกมาใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป ก็จะทำให้ลูกความมีสติและไม่กลับไปก่อเหตุดังกล่าวอีก
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปพบกับทางญาติของนายไพศาล ผู้ตาย ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี โดยนายฉัตรชัย อายุ 55 ปี ซึ่งเป็นพี่ชายของผู้ตาย บอกว่า ตั้งแต่ทราบกับตำรวจว่ามีการจังกุมคนร้ายได้ ส่วนตัวติดตามข่าวทุกช่วงเพราะอยากฟังคำอธิบายของคนร้ายและทางครอบครัวคนร้าย ซึ่งประเด็นที่ติดใจมีหลายเรื่อง ยอมรับว่าตนเองและครอบครัวกังวลเรื่องคดี เนื่องจากตัวคนร้ายเรียนและรู้กฎหมายเป็นอย่างดี ที่สำคัญครอบครัวของตนเอง เป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ไม่มีสิทธิ์จะไปเรียกร้องอะไรนอกจากขอทรัพย์สินของน้องชายคืนมาให้ได้มากที่สุด
ส่วนประเด็นที่เขาแก้ตัวหลาย ๆ เรื่อง โดยอ้างว่าน้องชายตนเองไปติดเงินเขา เรื่องดังกล่าวเขาจะพูดยังไงก็ได้เพราะคนตายไปแล้ว ไม่สามารถพูดได้ ซึ่งเรื่องเงินที่เขาอ้างมาว่าขัดแย้งเรื่องธุรกิจ ยังไงก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากที่ผ่านมา ตัวนายไพศาล ผู้ตาย ทำธุรกิจคนเดียว ไม่เคยให้ใครมาร่วมลงทุนด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยมีเพื่อนของเขามาขอร่วมลงทุน นายไพศาลยังปฏิเสธไป เพราะกลัวจะมีปัญหากับเพื่อนของเขา
ส่วนประเด็นเรื่องที่คนร้ายไปซื้อทองโดยที่ร้านยอมให้คนร้ายซื้อไปเป็นจำนวนมาก ประเด็นดังกล่าว ยืนยันทางครอบครัวจะเอาผิดร้านทองตามที่ให้สัมภาษณ์ไปเมื่อวานนี้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความหละหลวมของร้านทอง ที่ทำไมไม่เช็กประวัติคนร้ายให้ดี และที่ทางร้านเขาอ้างว่า จะไม่ขายให้แค่คนที่ใส่หมวกกันน็อก มันก็ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากความเป็นจริง ยังไงร้านทองก็ต้องขอเปิดหน้าและทำประวัติในการซื้อขายทอง ไม่ใช่เห็นคนร้ายมีเงินก็จะขายให้เขาอย่างเดียว
ส่วนประเด็นเรื่องที่พ่อแม่คนร้ายออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ ตนเองไม่ได้ติดใจคำพูดพ่อของคนร้าย และต้องขอบคุณที่ออกมาขอโทษแทนลูกตัวเอง แต่คำพูดของคนเป็นแม่ เขาพูดออกมาทำนองปกป้องลูก เข้าใจว่าลูกใคร ใครก็รัก เป็นไปได้ก็อยากจะขอให้แม่ ล้มเลิกความคิดที่จะช่วยเหลือลูก และปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินคดีกับคนร้ายอย่างตรงไปตรงมา ที่สำคัญ ตนเองไม่เชื่อว่าแม่ของคนร้ายจะจำหน้าลูกตัวเองไม่ได้ เพราะคนเราแม้กระทั่งสัตว์เลี้ยงยังไงก็ต้องจำได้ และนี่ไอ้คนร้ายคุณเลี้ยงมาขนอายุ 27 ปี เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะจำลูกตัวเองไม่ได้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สมมติว่าลูกสาวของตนเองปิดหน้าปิดตาและถูกเผยแพร่ภาพในข่าว ยังไงตนเองก็จำหน้าลูกสาวตนเองได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันเรื่องของทรัพย์สินของน้องชายที่ถูกชิงทรัพย์ไปหลังเกิดเหตุ ตอนนี้ทางตำรวจยังไม่ได้แจ้งมาว่าได้อะไรคืนมาบ้าง ส่วนเรื่องการทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตนเองไม่ได้ติดใจว่าทำไมตำรวจถึงไม่พาไปทำแผน เนื่องจากตำรวจอาจจะกลัวว่าทางญาติอาจจะโกรธและไปทำร้ายร่างกายคนร้าย ซึ่งประเด็นดังกล่าว อยากจะบอกตรง ๆ ว่า ถ้าตนไปฆ่ามันได้ ตนก็จะทำเพราะชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต ยืนยันทางครอบครัวจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด หากคนร้ายฟังอยู่ ก็อยากจะขอให้พูดความจริงออกมา เพราะสิ่งที่คุณทำลงไป มันเป็นความโหดเหี้ยมภายใต้จิตสำนึกของตัวเอง ส่วนเรื่องศพของน้องชาย ทางโทรพยาบาลแจ้งมาว่าให้ทางญาติไปติดต่อรับศพกลับมาบำเพ็ญกุศลในวันอังคาร ที่ 4 มิถุนายน
ขณะที่ทีมข่าวช่อง 8 ได้ไปสอบถาม น.ส มะปราง อายุ 29 ปี พนักงานร้านขายโทรศัพท์ที่นายโฟ คนร้ายนำโทรศัพท์มือถือจำนวน 2 เครื่อง ของผู้เสียชีวิต ไปขายที่ร้านแห่งนี้ เมื่อช่วงเที่ยงครึ่งของวันที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมา หลังจากพบศพเพียงไม่กี่วัน โดยเปิดเผยว่า ยืนยันว่าร้านตัวเองมีมาตรฐานในการรับซื้อของจากลูกค้า มีการตรวจสอบบัตรประชาชนและยังมีกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้เป็นหลักฐานอยู่แล้ว ซึ่งวันที่คนร้ายนำโทรศัพท์มาขาย ตัวเองก็มีการตรวจสอบทุกอย่างตามขั้นตอน ขอดูบัตรประชาชนและคนร้ายได้มีการหยิบบัตรประชาชนจากกระเป๋าสตางค์ออกมาตัวเองดูแล้วน่าเชื่อถือ และด้วยมารยาทกับลูกค้าตัวเองจริงไม่ได้ให้คนร้ายเปิดหน้าดู และตัวเองก็ยังนำบัตรประชาชนไปถ่ายเอกสารเพื่อเป็นหลักฐานเก็บไว้
โดยหลังจากที่มีการรับซื้อโทรศัพท์แล้วเมื่อรู้ว่าเป็นคนร้าย ตัวเองและเจ้าของร้านก็รีบติดต่อแจ้งเจ้าที่ตำรวจทันทีพร้อมกับนำโทรศัพท์ไปให้กับเจ้าที่ตำรวจเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ นอกจากนี้ยังพบกับญาติของคนตายและได้มีการพูดคุยกัน ซึ่งทางญาติก็ยังขอบคุณว่าที่ให้เบาะแสของคนร้าย และญาติก็ไม่ได้ติดใจว่าที่คนร้ายเอาทรัพย์สินของผู้ตายมาขาย พร้อมกับยังบอกอีกว่าหากคดีสิ้นสุดแล้วให้ทางร้านมารับโทรศัพท์ของคนตายที่คนร้ายนำมาขายคืนไป ซึ่งทางร้านก็ไม่ได้ต้องการที่จะเอาคื