จากกรณีเจ้าหน้าที่อินโดนีเซียส่งตัว นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ แป้ง นาโหนด ผู้ต้องหารายสำคัญส่งกลับประเทศไทย โดยขณะที่เสี่ยแป้งเดินทางด้วยเครื่องบินถึงที่สนามบินนครศรีธรรมราช เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่มีการคุมตัวออกมาที่ด้านหน้าของสนามบิน โดยมีรถของเจ้าหน้าที่มารอรับอยู่ และมีชาวบ้านบางส่วนไปรอรับเสียแป้งที่ด้านหน้า ได้ร้องเฮในช่วงที่แป้งคุมตัวขึ้นรถ และนำส่งที่โรงพัก สภ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเสี่ยแป้งก็ยิ้มตอบรับเสียงเฮของชาวบ้าน นั้น
ขณะที่ล่าสุด (4 มิ.ย. 2567) เวลา 20.00 น. ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 แถลงความคืบหน้าการรับตัวเสี่ยแป้งว่า ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบปากคำร่วมกับทนายอีก 2 คน พร้อมกับพี่ชายของเสี่ยแป้ง โดยนอกจากคดีหลบหนีตามหมายจับของศาลจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว ยังมีคดีเกี่ยวกับอาวุธปืน พื้นที่ตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง
นอกจากนี้ยังมีข้อหาที่เพิ่มมาอีกหนึ่งข้อหา คือ ไม่เดินทางออกราชอาณาจักร ตามเส้นทางที่กำหนดไว้ ซึ่งเป็นกฎหมายของ ตม. ซึ่งคดีทั้งหมดจะมีการโอนไปส่วนกลางหรือไม่ยังไม่มีคำตอบ ส่วนประเด็นที่หลายคนสงสัยว่าทำไมต้องปิดบังใบหน้า หรือเป็นเสี่ยแป้งตัวจริงหรือไม่ ยืนยันว่าเป็นตัวจริงเพราะได้มีการบันทึกภาพและวิดีโอ พร้อมกับเจ้าตัวยืนยันว่าเป็นเสี่ยแป้งตัวจริง
ส่วนประเด็นที่ต้องปิดหน้า เพราะต้องดำเนินการตามกฎหมายไทย ที่ไม่สามารถเปิดเผยผู้กล่าวหาหรือนำมาแถลงข่าวได้ ส่วนทางตำรวจอินโดฯ จะเปิดหน้าก็เป็นกฎหมายของประเทศเขา ซึ่งในระหว่างหนีตำรวจได้มีการรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และตอนนี้ยังไม่มีผู้ถูกดำเนินคดีเพิ่มเติม ส่วนบุคคลที่พาหลบหนีออกนอกประเทศ เบื้องต้น ผบ.ตร. ได้มีการสั่งให้ขยายผลต่อไป
สำหรับค่าใช้จ่ายในการนำตัวเสี่ยแป้งเดินทางกลับจากอินโดนีเซีย เป็นความร่วมมือระหว่างทางการไทยและทางการอินโดฯ จึงไม่จำเป็นต้องมีใครมารับผิดชอบค่าใช้จ่าย ถามว่าการเรียกตัวภรรยาของเสี่ยแป้งสอบปากคำนั้น ถ้าเขาไม่เกี่ยวข้องก็จะยังไม่เรียกสอบปากคำ แต่ถ้าเขาเกี่ยวข้องก็จะมีการเรียกสอบปากคำแน่นอน
ส่วนกรณีที่มีกระแสข่าวว่าแหวนเพชรของเสี่ยแป้งหายไปนั้น ประเด็นนี้ทางตำรวจยังไม่ได้รับข้อมูลโดยตรงกับทางเสี่ยแป้ง และยังไม่มีข้อมูลนี้ ทั้งนี้ ความคืบหน้าในการสอบปากคำเสียแป้งนั้น ตอนนี้เจ้าตัวก็ยังถูกสอบปากคำอยู่ในห้องสอบสวนชั้น 1 คาดว่าน่าจะน่าจะใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง
นอกจากนี้ทีมข่าวได้มีการตรวจสอบเส้นทางต่าง ๆ ภายใน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช พบว่า มีช่องโหว่อยู่หลายจุด อาทิ ภายใน สภ. หากเป็นฝั่งซ้ายของโรงพักพบว่ามีประตูทางออก 2 ประตูหน้าหลัง เป็นเพียงกระจกและมีเพียงแม่กุญแจที่สามารถทำลายได้โดยง่าย ส่วนฝั่งซ้ายก็เช่นกัน ส่วนภายในห้องขังพบว่ามีทั้งหมด 10 ล็อก โดยจากข้อมูลยังไม่ทราบว่าจะนำเสี่ยแป้งเข้าขังภายในห้องขังล็อกไหน สำหรับข้างหลังห้องขัง พบว่า มีกำแพงหน้าซ้อนด้วยตะแกรงเหล็กทับอีกชั้น ส่วนบริเวณโดยรอบ สภ. มีกำแพงสูงประมาณ 2 เมตร ล้อมรอบบริเวณอยู่ และมีประเข้าออก 2 ฝั่ง ที่ไม่มีประตูรั้วปิดขวางไว้
หลังจากนั้นทีมข่าวได้พูดคุยกับ นายโยธิน อายุ 46 ปี ชาวบ้านในพื้นที่ละแวก สภ.เมืองนครศรีธรรมราช โดยนายโยธิน เผยว่า ทางตนรู้สึกชื่นชอบนิสัยส่วนตัวของเสี่ยแป้งที่เป็นคนตรงไปตรงมา กล้าชนกับปัญหาและความยุติธรรมของกฎหมายเมืองไทย ถึงทำให้ตนรู้ว่าปัญหาของสังคมไทยเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายนั้น ก็มีความเหลื่อมล้ำอยู่ คนผิดก็กลายเป็นถูก คนถูกกลายเป็นคนผิด
ซึ่งตนที่เดินทางมาในวันนี้ ต้องบอกว่าไม่ได้เป็นญาติหรือมีอะไรเกี่ยวข้องกับทางเสี่ยแป้งเลย เป็นเพียงแค่คนที่นับถือเสี่ยแป้งและต้องการให้กำลังใจเท่านั้น และสุดท้ายอยากบอกว่า ทางตนพร้อมให้กำลังใจทุกกรณี ขออย่างเดียวไม่ต้องแหกคุกมาอีก ขอให้เข้าสู้กับผลการตรวจและกลับมาใช้ชีวิตดังเดิม แล้วอย่าบอกความเจ็บไปว่า "คุณคือฮีโร่ของผม สู้ ๆ ครับเสี่ยแป้ง"
ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้พูดคุยกับนายกษิดิ์ชาติ ลูกพี่ลูกน้องของเสี่ยแป้ง หลังจากเดินทางมาถึง สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เป็นที่เรียบร้อย โดยนายกษิดิ์ชาติ เผยว่า วันนี้ตนเองรู้สึกตื่นเต้นจนบอกไม่ถูกที่จะได้เจอน้องชายแล้ว ซึ่งทางตนได้มารอน้องที่โรงพัก เพราะไม่อยากไปที่สนามบิน และเมื่อน้องชายมาถึงที่โรงพัก ก็อยากจะขอโอกาสจากทางเจ้าหน้าที่ในการพบกับน้องชายสักครั้ง ก่อนที่จะถูกนำตัวไปสอบสวนและอยากจะคุยกับน้องสักคำสองคำ ได้ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบ เป็นไงบ้างสบายดีไหม และน้องจะมีการตอบกลับตนมาอย่างไรนั้น ตนก็ไม่ทราบเช่นกัน ว่าน้องจะตอบกลับมาแบบไหน
และสำหรับภรรยาของน้องชาย จะเดินทางมาหามาพบกับน้องชายไหมนั้น ทางตนไม่ทราบเลย เนื่องจากตั้งแต่น้องชายหนีไปจากโรงพยาบาลมหาราช ก็ไม่ได้การพูดคุยหรือติดต่ออะไรกันเลย จึงไม่รู้ความเคลื่อนไหวของภรรยาน้องเลย ว่าอยู่ที่ไหนหรือความเป็นอยู่อย่างไร
ส่วนหลังจากที่น้องชาย หนีไปก่อนถูกจับที่อินโดนีเซีย ก็ขอยืนยันเลยว่าไม่ได้ติดต่อกับน้องชายอย่างแน่นอนและน้องชายก็ไม่เคยติดต่อกลับมา หรือทางตนมีส่วนในการช่วยหรือให้น้องหลบหนีไป สุดท้ายหลังจากที่ทราบข่าวว่าทางน้องตนถูกจับแล้วที่อินโดนีเซีย ก็รู้สึกหวั่น ๆ เช่นกันว่าน้องตนจะเป็นอยู่อย่างไร จะโดนซ้อมบ้างหรือไม่ แต่พอเห็นว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมฯ เดินทางมาพร้อมกับคณะเพื่อเข้าไปพบปะกับน้องตน ก็รู้สึกเบาใจว่าคงจะได้การดูและอย่างดีแน่นอน
สุดท้ายในวันนี้ ทางตนคิดว่าก็คงไม่มีใครกล้าที่จะมาชิงตัวน้องชายเพื่อหลบหนีไปอีกแล้ว เพราะถ้ายังคงกล้าอีกก็ต้องให้ทางเจ้าหน้าที่ตัดสินใจได้เลยว่าจะทำอย่างไรกับน้องตนแบบไหน ตนเคารพสิทธิ์ของเจ้าหน้าที่ ส่วนหลังจากนี้ก็อยากฝากกระบวนการยุติธรรมของไทย ช่วยรื้อฟื้นและทบทวนเรื่องราวก็เรียกร้องขอความเป็นธรรมให้น้องชายด้วย เพราะเชื่อว่าที่น้องตนต้องหนีไปเช่นนี้ ก็เพราะไม่เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรมที่ลำเอียงไปบ้าง
ทั้งนี้ทีมข่าวช่อง 8 ย้อนรอยคดีเก่าเสี่ยแป้ง นาโหนด ซึ่งก่อเหตุอุกอาจในพื้นที่ จ.พัทลุง เหตุการณ์แรกเกิดขึ้นวันที่ 19 มกราคม 2562 เสี่ยแป้งได้ไปเที่ยวผับแห่งหนึ่งกับเพื่อนใน จ.พัทลุง จากนั้นเสี่ยแป้งพยายามจะขอเบอร์ผู้หญิงซึ่งผู้หญิงคนดังกล่าวมากับแฟน แต่ปรากฏว่าผู้หญิงไม่เล่นด้วย จากภาพวงจรปิดจะเห็นนาทีที่เสี่ยแป้งใช้เท้าถีบด้านหลังผู้หญิง แล้วเข้าไปตบหน้าผู้หญิงสองครั้ง ก่อนใช้เท้าถีบเข้าไปที่ท้องผู้หญิงซ้ำ และกล้องวงจรปิดอีกมุมจะเห็นผู้หญิงถูกเสี่ยแป้งทำร้ายจนล้มลงกองพื้น
จากนั้นเหตุการณ์ที่สองวันที่ 9 กันยายน 2562 เกิดขึ้นที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.ปรางหมู่ อ.เมืองพัทลุง เป็นเหตุการณ์ที่เสี่ยแป้งพยายามฆ่าตำรวจทางหลวง ภาพจากกล้องวงจรปิดในร้านจะเห็นว่า เสี่ยแป้งเป็นคนไปเคลียร์กลุ่มที่ทะเลาะวิวาทกันในร้านอาหาร แต่ปรากฏว่ากล้องวงจรปิดด้านนอกร้านอาหารจับภาพกลุ่มชายฉกรรจ์ไล่ยิงคู่อริ และมีเสี่ยแป้งร่วมด้วยอีก คดีนี้เสี่ยแป้งเป็นจำเลยที่ 5 ในคดีพยายามฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง
ส่วนเหตุการณ์ที่สาม 29 กรกฎาคม 2563 เกิดขึ้นหน้าหน้าธนาคารแห่งหนึ่ง ในเขตเทศบาลเมืองพัทลุง เสี่ยแป้งและกลุ่มเพื่อนรุมยิงถล่มคู่อริ เสียชีวิต 3 ศพ ซึ่งภาพช่วงหนึ่งปรากฏภาพเสี่ยแป้งอยู่ร่วมในเหตุการณ์ และถึงแม้แนวทางการสืบสวนพบว่า เสี่ยแป้งร่วมก่อเหตุด้วย แต่กลับไม่ถูกดำเนินคดี