จากกรณีการเสียชีวิตของ นายพิชิต หรือ เสี่ยต้น ที่ศพกลายเป็นสีดำ จนทางครอบครัวเชื่อว่าเป็นการวางยาฆ่า หลังก่อนหน้านี้ 8 เม.ย. เสี่ยต้นถูกลอบยิงแต่รอดมาได้ ก่อนจะถูกพบเป็นศพหน้าบ้านภรรยา ที่ จ.มหาสารคาม ในวันที่ 16 เม.ย. ซึ่งต่อมาตำรวจจับกุม มด ภรรยาของเสี่ยต้น ถูกตั้งข้อหาจ้างวานฆ่า รวมถึงแก๊งมือปืนที่ถูกจับได้ 2 ราย และยังหลบหนีอีก 1 ราย




ทั้งนี้ มีรายงานว่า คืนก่อนที่จะเสี่ยต้นจะถูกพบเป็นศพนั้น ได้ตั้งวงกินข้าวและดื่มเหล้ากับ มด ภรรยา และชาวบ้านที่รู้จัก ซึ่งแก้วเหล้าที่เสี่ยต้นดื่ม พบว่า ลูกสาวเป็นคนยื่นแก้วเหล้าให้เสี่ยต้นกิน ขณะที่ภาพศพของเสี่ยต้นที่ทาง มด ภรรยา ส่งให้นักข่าวดูปรากฏว่า เจ้าตัวตัดภาพนิ้วของเสี่ยต้นออกไป แต่เมื่อทางญาติได้ส่งรูปเดียวกันซึ่งเป็นภาพเต็มของสภาพศพเสี่ยต้น พบว่า บริเวณนิ้วมือของเสี่ยต้น มีสีม่วงคล้ำทั้งที่เพิ่งเสียชีวิต คล้ายการโดนวางยา ประกอบกับภาพศพในโลงก่อนเผา สภาพศพเสี่ยต้นนั้นเป็นสีดำ รวมถึงกระดูกหลังเผาแล้วก็ยังเป็นสีดำอีกด้วย ทำให้ทางเจ้าหน้าที่พุ่งเป้าไปที่คดีนี้น่าจะเป็นการวางยา




ล่าสุด (7 มิ.ย. 2567) ที่สำนักงานอัยการจังหวัดมหาสารคาม เจ้าหน้าที่ได้นัดหมายคนในครอบครัวของนางสาวมด ให้เข้ามาสอบปากคำเพื่อหาข้อมูลเชื่อมโยงการตายของเสี่ยต้น โดยมีทั้งนางสาวส้ม (น้องสาวเจ๊มด) และยังมีการเชิญลูกทั้ง 3 คน ของนางสาวมด มาสอบปากคำต่อหน้าสหวิชาชีพด้วย


ทีมข่าวช่อง 8 ได้เข้าไปพูดคุยกับนายถนอม อายุ 56 ปี เกี่ยวกับเรื่องราวในคืนวันที่ 15 เมษายน 2567 โดยนายถนอมเล่าว่า ทันทีที่นายพิชิต หรือเสี่ยต้น เดินทางกลับมาถึงบ้านก็มีเรื่องให้เสียน้ำตา เนื่องจากเสี่ยต้นยังไม่ทันจะได้นั่งก้นถึงพื้น ลูกสาวคนโตวัย 16 ปี อย่างน้องมิ้นท์ (นามสมมติ) ก็เข้ามาด่าพ่อฉอด ๆ โดยที่มีการด่าว่า “ถ้าป๊าชอบกะ-รี่ ป๊าก็ออกไปอยู่กับกะ-รี่เลย” ซึ่งน้องมิ้นท์ก็ด่าพ่อซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้เสี่ยต้นนั้นร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ




อีกทั้ง นางสาวมด ผู้เป็นแม่ ก็ไม่คิดจะปริปากห้ามลูกสาว นายถนอมจึงทนไม่ไหวและมองว่าพฤติกรรมของน้องมิ้นท์นั้นค่อนข้างก้าวร้าว นายถนอมจึงเอ่ยปากเตือนว่า “เป็นลูกไปด่าพ่อได้ยังไง หยุดเลยนะ เดี๋ยวจะเป็นบาป” แต่ทางด้านน้องมิ้นท์ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา พร้อมกับมีสีหน้าที่เรียบเฉย หลังจากนั้นอีกประมาณ 2 ชั่วโมง น้องมิ้นท์ก็ได้หยิบรูปของบรรพบุรุษ (รูปพ่อของนางสาวมด) ออกมาตั้งที่พื้นหญ้าหน้าบ้าน แล้วก็นำแก้วเป๊กของเสี่ยต้นออกไปนอกวงเหล้า ก่อนจะนำไปรินเหล้าใส่และทำการจุดธูปไหว้บรรพบุรุษ




ในตอนนั้นตนก็เห็นว่าน้องมิ้นท์ทำเพียงคนเดียว ตนยังคิดอยู่เลยว่าเด็กอายุแค่นี้ ทำไมถึงเก่งจัง รู้พิธีของคนเฒ่าคนแก่ได้ยังไง สงสัยยายกับแม่น่าจะสอนให้ทำ ผ่านไปไม่นานธูปยังไม่ทันจะหมดดอก ลูกสาวคนเดิมก็นำเหล้าแก้วนั้นมาให้เสี่ยต้นกินพร้อมกับบอกว่า “ป๊าต้องกินเหล้าแก้วนี้ ป๊าทำผิดก็ต้องกินกับตา ขอขมาตา” เสี่ยต้นก็กระดกเหล้าเข้าไปในรวดเดียว




แต่ตอนที่เสี่ยต้นกินเหล้าแก้วนั้น ตนก็ไม่ทันได้สังเกตว่าสีหน้าของแต่ละคนเป็นยังไงบ้าง หลังจากเสี่ยต้นกินเหล้าแก้วนั้นไปได้ไม่นาน ก็มีอาการเปลี่ยนไปคือเริ่มง่วง เริ่มซึม ขณะที่ตนประคองเสี่ยต้นไปนอนที่ศาลาไม้ หัวของเสี่ยต้นยังไม่ทันจะแตะหมอน เสี่ยต้นก็กรนออกมาแล้ว ในตอนนั้นตนยังคิดอยู่เลยว่าเสี่ยต้นแกล้งกรนหรือเปล่า ส่วนข้อมูลที่ตนให้ตำรวจไป ตนก็ยืนยันว่าเป็นความจริงที่เห็นกับตาตัวเอง ตอนนี้ตนก็ไม่ได้กังวลใจอะไร ว่าใครจะโกรธหรือไม่พอใจ ตนเพียงแค่ต้องพูดความจริงตามที่เห็นก็เท่านั้น




ทั้งนี้ จากข้อมูลของทางตำรวจ ระบุว่า ได้นำโทรศัพท์ของนางสาวมด ภรรยาเสี่ยต้นไปตรวจสอบ พบว่า นางสาวมดได้มีการสั่งยาชนิดหนึ่งผ่านทางออนไลน์ โดยทีมข่าวได้สอบถามไปยัง รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ หมอหมู ได้ระบุว่า ตัวยาซาแน็กซ์โซแลม คือ ยาอัลปราโซแลมที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ในทางการแพทย์ใช้เพื่อบรรเทาหรือรักษาอาการวิตกกังวล อาการตื่นตระหนก โรคซึมเศร้าและภาวะนอนไม่หลับ แต่การใช้ยาอัลปราโซแลมต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ ซึ่งทั้งหมดจะต้องใช้ไม่เกิด 10 มิลลิกรัมต่อวัน




ตามข้อมูลทางการแพทย์ หากพบว่า มีการรับอัลปราโซแลมมากกว่า 2 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม จะทำให้เกิดภาวะเป็นพิษเฉียบพลันได้ แต่หากใช้ร่วมกับยาเสพติดชนิดอื่น ๆ หรือใช้ร่วมกับการดื่มแอลกอฮอล์ก็จะทำให้เสริมฤทธิ์การกดประสาท กดการหายใจ และอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ แต่อย่างไรก็ตาม จากการสืบค้นรายงานทางการแพทย์ก็ไม่พบว่า การเสียชีวิตจากยาอัลปราโซแลมจะทำให้ศพมีสีดำคล้ำได้

 

ปริศนา "เสี่ยต้น" ถูกวางยา สอบ "ลูก" เอาอะไรให้พ่อกิน? พยานปากเอกเฉลยเกิดอะไรขึ้นคืนตาย