ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ร่วมกันจับกุมนายบรรณสิทธิ์ อายุ 26 ปี ,นายกริชชัย อายุ 26 ปี และเยาวชนชาย อายุ 16 ปี หลังได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ ว่ามีผู้เสียหายเข้าแจ้งความระบุว่า ญาติชื่อ นายตระการฯ ถูกชายฉกรรจ์ จำนวน 3 คน มีลักษณะคล้ายเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน ลักพาตัวผู้นายตระการ ฯ ขึ้นรถกระบะอีซูซุสีดำ ทะเบียนจังหวัดฉะเชิงเทรา ขับหลบหนีเข้ามาในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา
ภายหลังรับแจ้งข้อมูล ตามนโยบายของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. เน้นย้ำให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจ ทางหลวงป้องกันปราบปรามอาชญากรรมบนทางหลวงอย่างต่อเนื่อง จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.คงกฤช เลิศสิทธิกุล ผบก.ทล. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น รอง ผบก.ป. ปฏิบัติราชการ รอง ผบก.บก.ทล. พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สิทธิใหญ่ ผกก.6 บก.ทล. พ.ต.ท.จิระพันธุ์ รุจิระกุล พ.ต.ท.วิษณุ คำโนนม่วง รอง ผกก.6 บก.ทล. สั่งการให้ พ.ต.ท.ศราวุธ ทองน้อย สว.ส.ทล.1 กก.6 พร้อมกำลัง เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงนครราชสีมา รีบออกติดตามรถคันดังกล่าวทันที กระทั่งเมื่อติดตามมาถึงบริเวณถนนมิตรภาพ ทล.2 กม.50 ขาเข้า กทม. ก่อนจะพบรถกระบะอีซูซุ ดีแม็ค สีดำ ตรงตามที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลางจึงเรียกให้หยุดเพื่อทำการสอบถาม แต่รถคันดังกล่าวกลับรีบขับรถหลบหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งเครื่องขับติดตาม ก่อนจะสามารถหยุดรถคันดังกล่าวไว้ได้
ตรวจสอบเบื้องต้นพบ นายตระการ ฯ อายุ 23 ปี ผู้ถูกลักพาตัว ทราบภายหลังว่ามาจาก จ.สุรินทร์ และผู้ก่อเหตุทั้ง 3 คน ได้แก่ นายบรรณสิทธิ์ ฯ (อ้างตัวว่า เป็นกรรมาธิการตรวจสอบเรื่องของผิดกฎหมาย ) ,นายกริชชัย ฯ (คนขับรถ) และเยาวชนชาย อายุ 16 ปี (ผู้นั่งโดยสารมาด้วย)
จากการสอบถาม นายตระการฯ (ผู้ถูกลักพาตัว) เล่าเหตุการณ์ว่าเมื่อเวลาประมาณ 23.20 น. วันที่ 10 มิ.ย.67 ผู้ก่อเหตุทั้ง 3 คน อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง มาขอตรวจสอบเรื่องผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ จ.สุรินทร์ และอ้างว่ามีข้อมูลว่า ตนเองลักลอบขายใบกระท่อม จึงมาหาที่หน้าร้าน พร้อมกับข่มขู่ว่าหากไม่อยากถูกดำเนินคดี จะต้องจ่ายเงินจำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งตัวเองมีเงินเพียง 5 แสนบาท หากจะเอา ตนต้องไปเอาเงินสดที่แฟนสาว แต่กลุ่มชายดังกล่าวไม่ยอม พร้อมทั้งกระชากแขนตัวเองขึ้นรถกระบะ ขับลักพาตัวไปที่กรุงเทพมหานครทันที
นอกจากนี้ กลุ่มคนร้ายยังใช้โทรศัพท์มือถือของตน ส่งข้อความไปหาแฟนสาวนายตระการฯ พร้อมข่มขู่ว่าจะทำร้ายนายตระการฯ หากไม่ส่งเงินให้ โดยมีการส่งเลขบัญชีให้ ต่อมาแฟนสาวของนายตระการฯ ได้เข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ ก่อนจะมีการประสานมายังตำรวจทางหลวงนครราชสีมา จนสามารถติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ทั้งหมด และสามารถช่วยเหลือตัวผู้ถูกลักพาตัวไว้ได้สำเร็จ เบื้องต้นนำตัวผู้ก่อเหตุทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุรินทร์ ดำเนินคดีต่อไป
จากการตรวจสอบเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจพบข้อมูลว่า กลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้ได้เคยก่อเหตุในลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง ซึ่งหลังจากนี้ก็จะรวบรวมพยานหลักฐาน สอบปากคำ ก่อนขยายผลจับกุมบุคคลที่ร่วมขบวนการต่อไป
ล่าสุดเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา ทีมข่าวได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้าทางคดีที่ สภ.เมืองสุรินทร์ ซึ่งบรรยากาศที่หน้าห้องสืบสวน ตำรวจได้นำรถกระบะอีซุซุสีดำ ของกลุ่มผู้ก่อเหตุมาจอดเอาไว้ ซึ่งตามข้อมูลหลังที่ตำรวจทางหลวงส่งตัวผู้ก่อเหตุมาที่โรงพัก วงจรปิดที่เกิดเหตุจะเห็นว่าในเวลา 15.59 น. ตำรวจได้มีการนำตัวผู้ก่อเหตุไปชี้จุดทำแผนประกอบคำรับสารภาพในที่เกิดเหตุภายในซอยตาทิพย์ 2 อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยขณะนี้ผู้ก่อเหตุทั้งสามคน ตำรวจได้คุมตัวเอาไว้ในห้องขังเพื่อรอการสอบปากคำอย่างละเอียดถึงพฤติกรรมในการก่อเหตุ ซึ่งตามข้อมูล ทางผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ จะเป็นคนมาแถลงข่าวด้วยตัวเองในวันพรุ่งนี้
ส่วนภาพวงจรปิดในวันเกิดเหตุ คือวันที่ 10 มิถุนายน เวลา 23.21 น. จะเห็นว่าก่อนที่จะมีการพาตัวนายตระการ ผู้เสียหายไปขึ้นรถ หนึ่งในผู้ก่อเหตุก็คือนายบรรณสิทธิ์ ที่ใส่เสื้อสีเขียวมีการเข้ามาจอดรถและก็เจอกับผู้เสียหายก่อนที่หน้าร้าน ซึ่งตอนที่เจอกันภาพไม่สามารถบันทึกได้ แต่มันจะมีภาพที่เห็นนายบรรณสิทธิ์ ผู้ก่อเหตุ เดินประคองตัวผู้เสียหายเข้ามาในร้าน ซึ่งข้อมูลตามภาพเป็นเหตุการณ์ที่คนก่อเหตุพาผู้เสียหายเดินย้อนกลับเข้ามาเอาโทรศัพท์มือถือ
จากนั้นไม่ถึงนาที จะเห็นว่าหลังจากผู้ก่อเหตุเดินเข้าไปกับผู้เสียหาย ผู้ก่อเหตุได้เดินออกมาจากร้านขายกระท่อม จากนั้นก็จะเห็นว่านายบรรณสิทธิ์ มีการเดินออกมารอที่หน้าร้าน และจังหวะที่ผู้เสียหายเดินออกไปก็จะเห็นว่านายบรรณสิทธิ์ ผู้ก่อเหตุมีการโอบคอผู้เสียหายเดินไปตรงรถที่จอดอยู่
จากนั้นวงจรปิดคลิปที่ 3 จะเห็นว่าเมื่อคนก่อเหตุพาผู้เสียหายไปที่รถ ก็จะมีการยืนคุยกันอยู่ประมาณ 1 นาที และเมื่ออุ้มตัวผู้เสียหายขึ้นรถ ก็จะเห็นกลุ่มคนก่อเหตุขับรถพาผู้เสียหายออกไปจากร้าน
นายตระการ อายุ 24 ปี ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เปิดใจกับทีมข่าวว่า ก่อนที่จะโดนอุ้ม ตนเองนั่งเล่นอยู่ที่หน้าร้าน จากนั้น 5 ทุ่มกว่าๆ ผู้ก่อเหตุก็มีการขับรถมาจอดและมีการเดินลงรถมาถามว่า "มาคุยกันหน่อย มึงจำกูได้ไหม" จากนั้นคนก่อเหตุก็เท้าความให้ตนเองฟังว่า มึงจำได้ไหม เมื่อ 3 วันก่อนกูเคยทักแชตมาคุยกับมึง แต่มึงบล็อกเฟซบุ๊กกู กูก็เลยตามมาหามึงที่ร้าน เพราะมึงไม่อยากคุยกับกู ซึ่งตนเองก็บอกว่าจำไม่ได้ เพราะเฟซบุ๊กที่ทักมามันเป็นเฟซปลอม
จากนั้นเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง คนก่อเหตุก็เริ่มบอกให้ตนเองไปคุยในรถ แต่ก่อนที่จะพาไปคุยในรถ ตามภาพวงจรปิดจะเห็นว่าเขาพยายามพาตนเองเข้าไปเอาโทรศัพท์ในร้าน และพอได้โทรศัพท์กับไอแพดออกมาเขาก็พาเดินไปคุยหน้ารถก่อนที่จะพาขึ้นรถออกไปจากร้าน ซึ่งระหว่างทาง กลุ่มคนก่อเหตุมีการยึดโทรศัพท์และไอแพดไป และระหว่างทางตนเองก็ได้ยินเสียงลักษณะการขึ้นลำปืนในรถ
จากนั้นพอคนก่อเหตุพาเข้าเขตจังหวัดบุรีรัมย์ คนก่อเหตุมีการถามว่า มึงคุยกับแฟนมึงยังไง ซึ่งตนเองก็ออกอุบายไปว่า ผมคุยกันโดยใช้คำว่า ตัวเอง,เธอ และคำว่าเค้า ซึ่งคนก่อเหตุมันก็เชื่อ และมันก็ทักไปหาแฟนตนเอง โดยใช้คำว่าตัวเองโอนเงินมาให้หน่อย ซึ่งความเป็นจริงแล้ว ตนเองพูดคำว่ามึงกับกูกับแฟน ทำให้ตอนที่มันทักไปหาแฟน แฟนตนเองถึงรู้ว่าคนที่คุยคือคนก่อเหตุ จากนั้นแฟนก็เลยเดินทางไปแจ้งตำรวจ ซึ่งตอนที่อยู่บนรถ กลุ่มคนก่อเหตุพยายามรีดเงินตนเองจำนวน 1 ล้านบาท ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดีใจมากที่ตำรวจตามไปจับกุมคนก่อเหตุได้ ขอบคุณสืบจังหวัดสุรินทร์ และตำรวจทางหลวงที่ช่วยเหลือกลับมา โดยหลังที่ตำรวจคุมตัวคนก่อเหตุกลับมา คนก่อเหตุมีการยกมือไหว้ขอโทษ แต่ตนเองยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เนื่องจากคนก่อเหตุ มีการขู่แฟนที่กำลังตั้งท้องอยู่
ด้าน นางสาวกาญจนา (นามสมมติ) อายุ 22 ปี เป็นแฟนของผู้เสียหาย เปิดเผยว่า วันเกิดเหตุยอมรับว่าตนเองอยู่ที่ร้าน แต่ไม่รู้ว่าแฟนถูกอุ้มไป และกลับคิดว่าคนที่มาเอาตัวแฟนออกไปคือตำรวจพื้นที่เรียกไปคุยที่โรงพัก แต่พอโทรศัพท์ไป แฟนดันไม่รับสาย ก็เลยเปิดวงจรปิดดู และก็เห็นว่ามีผู้ชายคล้ายชุดสืบเอาตัวแฟนไปจริงๆ ซึ่งตอนแรกยอมรับว่ายังไม่ได้เอะใจ เพราะคิดว่าถ้าแฟนถูกจับก็จะไปประกันตัวที่โรงพัก กระทั่งผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง จู่ๆไลน์ของแฟนก็ทักมาว่า เขาทำร้ายตำรวจนะ ตัวเองโอนเงินมาให้หน่อย ซึ่งคำว่าตนเอง แฟนไม่เคยพูด จึงเชื่อว่าคนที่แชตมาคือคนร้าย ก็เลยรีบไปแจ้งตำรวจ ซึ่งตอนที่ไปแจ้งตำรวจ สภ.เมืองสุรินทร์ ได้มีการสะกดรอยตามแฟนโดยการจับ GPS บนไอแพดที่แฟนเอาขึ้นรถไปด้วย จากนั้นเมื่อตำรวจรู้พิกัดจึงแจ้งให้ตำรวจทางหลวงตามไปจับกุมคนร้าย
ยอมรับว่าดีใจมากที่ตำรวจตามไปเจอแฟน ซึ่งเรื่องที่แฟนให้ข้อมูลกับช่อง8 ว่าคนก่อเหตุมีการขู่ เป็นเรื่องจริง จึงอยากให้ตำรวจดำเนินคดีกับกลุ่มคนก่อเหตุให้ถึงที่สุดเพราะตนเองกังวลว่าหากเขาได้ประกันตัวออกมาพวกเขาจะย้อนกลับมาทำร้ายตนเองกับแฟน
12 มิ.ย. 2567 นายเชตวัน เตือประโคน สส.ปทุมธานี พรรคก้าวไกล โพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงกรณีมีผู้อ้างตัวเป็นผู้ช่วย สส. ลักพาตัวและรีดไถทรัพย์บุคคลอื่นตามข่าว ว่า กรณี นายบรรณสิทธิ์ อ้างเป็นผู้ช่วย สส. ของผม กระทำความผิด ถูกจับกุมข้อหา “ร่วมกันกรรโชกทรัพย์ ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง” ตามที่ปรากฏทางออนไลน์นั้น
ผมต้องขอโทษผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำของนายบรรณสิทธิ์ รวมถึงขอโทษผู้สนับสนุนพรรคก้าวไกลทุกคนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในแง่ข้อเท็จจริง ขอชี้แจงว่าบุคคลคนนี้ไม่ได้เป็นผู้ช่วย สส. ของผม ไม่ได้มีตำแหน่งในกรรมาธิการใดๆ เป็นเพียงคนทำงานในพื้นที่ปทุมธานี ซึ่งอยู่ในช่วงการทดลองงานด้วย ซึ่งการมีพฤติกรรมตามที่ถูกจับกุม ไม่ได้เป็นการสั่งการของผม และผมไม่เคยรับรู้มาก่อนแต่อย่างใด
ผมได้พูดคุยกับรองสารวัตรทางหลวงนครราชสีมา ซึ่งเป็นผู้สกัดจับ รวมถึงพูดคุยกับรองผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองสุรินทร์ ผู้เป็นเจ้าของคดี เพื่อให้ความร่วมมือในการสืบสวน ทำให้ทราบถึงพฤติกรรมของบุคคลดังกล่าว โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 ยืนยันว่า จากการสืบสวนการกระทำของนายบรรณสิทธิ์ เป็นพฤติกรรมส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผม และไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องเรียกผมไปให้ปากคำ
ทั้งนี้ ผมได้สั่งให้บุคคลคนนี้ออกจากทีมทันทีหลังจากทราบข่าว กรณีที่เอาชื่อผมไปแอบอ้าง คงไม่ติดใจอะไร แต่ในส่วนของพรรค ก็เป็นการพิจารณาของพรรคว่าจะดำเนินการอย่างไรหรือไม่ต่อกรณีที่ทำให้พรรคเสียหาย เรื่องที่เกิดขึ้น ถือเป็นบทเรียนของผมและพรรคก้าวไกลในการรับคนมาเป็นทีมงานต่างๆ ในอนาคต
นายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยถึงกรณี ตำรวจสอบสวนกลาง โดยกองบังคับการตำรวจทางหลวง (บก.ทล.) ร่วมกันจับกุมนายบรรณสิทธิ์ ผู้ช่วย สส.ของนายเชตวัน เตือประโคน ส.ส. ปทุมธานี พรรคก้าวไกล โดยมีพฤติกรรม " ตั้งแก๊ง รีดทรัพย์ อุ้มประชาชนเรียกค่าไถ่โดยการอ้างตัวว่าเป็นกรรมาธิการ (กมธ.) ของสภาผู้แทนราษฎร ว่า ตนเพิ่งเห็นข่าวเมื่อสักครู่นี้ เดี๋ยวคงต้องให้นายเชตวัน รวมถึงคนที่อ้างว่าเป็นผู้ช่วย สส. มาชี้แจง ถ้าเป็นผู้ช่วย สส.จริง ก็ต้องมาชี้แจง หากมีข้อมูลหลักฐานที่มีการกระทำความผิดจริง
โดยเท่าที่ทราบมีการไปแอบอ้างเป็นทีมงานในกรรมาธิการ ซึ่งหากผิดจริงต้องดำเนินการทางวินัย โดยโทษสูงสุดคือการขับออกจากการเป็นผู้ช่วย สส. และตำแหน่งในกรรมาธิการ รวมถึงการเป็นสมาชิกพรรค และหากมีความผิดทางกฎหมายด้วยก็จะไม่เอาไว้ ต้องจัดการดำเนินคดีทางกฎหมายอย่างเต็มที่ตรงไปตรงมา
เมื่อถามการถึงอำนาจของพรรคในการสอบสวนเรื่องนี้ นายชัยธวัช ระบุว่า พรรคมีอำนาจในการสอบสวนวินัย แต่ถ้าผิดจริงและมีการกระทำเช่นนั้น ไปแอบอ้างตำแหน่ง ว่าเป็นผู้ช่วย สส.หรือเป็นทีมงานในกรรมาธิการ โทษสูงสุดคือการขับออกในทุกตำแหน่ง แต่ถ้ากระทำผิดกฎหมายเราก็จะดำเนินคดีตามกฎหมายด้วย ต้องไปดูรายละเอียดพฤติการณ์เป็นอย่างไร และใครเป็นผู้เสียหาย แต่ยืนยันว่า ถ้ามีการไปฉวยโอกาส เอาตำแหน่งในฐานะผู้ช่วย สส.และตำแหน่งในกรรมาธิการไปกระทำผิดกฎหมาย เราจะไม่ปกป้องและสนับสนุนให้มีการดำเนินคดีทางอาญา
ส่วนจะมีการเตือนลูกพรรคที่กระทำการเช่นนี้อย่างไรบ้าง นายชัยธวัช กล่าวว่า เราไม่รู้หรอกว่าคนที่อาสามาช่วยงาน หรือมาเป็นทีมงาน สส.สุดท้ายเขาจะฉวยโอกาส มีพฤติกรรมไปใช้ตำแหน่ง หาประโยชน์ให้ตนเองหรือไม่ แต่ถ้าเราพบ โดยหลักการเราจะไม่ปกปิด และต้องดำเนินการอย่างเปิดเผย เพื่อเป็นตัวอย่าง ว่าห้ามมีพฤติกรรมอย่างนี้