ความคืบหน้าการเสียชีวิตของน้องครีมอายุ 22 ปีซึ่ง ตำรวจสามารถตรวจยึดรถคันที่ใช้ก่อเหตุ ในเหตุการณ์และควบคุมตัวชายที่รับซื้อรถคันนี้มาสอบปากคำ

 

วันนี้ความ เคลื่อนไหวที่ สภ.เขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี หลังจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ใช้เวลาสอบปากคำนายจิรวัฒน์ หรือ "เจ" อายุ 30 ปี เจ้าของอู่รถ โดยใช้เวลาสอบปากคำในห้องสืบสวนกว่า 13 ชั่วโมง จนกระทั่งเวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่ได้นำตัวนายเจ ออกจากห้องสืบสวน เพื่อไปชี้รถของกลาง ที่จอดอยู่ด้านหน้าโรงพัก เพื่อประกอบคำให้การตอนที่รับซื้อรถจากนายนุ โดยเริ่มจากชี้บริเวณท้ายรถ เปิดประตูรถ ดูตรงแคปจุดวางศพ ซึ่งวันนี้กลายเป็นจุดวางทะเบียนรถ ที่นายเจได้ถอดแผ่นป้ายทะเบียนทั้ง 2 แผ่น วางไว้

 

ร้อมชี้ป้ายทะเบียน จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ปิดประตูรถ แล้วให้นายเจ ชี้จุดบริเวณหน้ารถ ทำเหมือนวันที่รับซื้อรถ ใช้เวลาชี้รถของกลาง ประมาณ 5 นาที ก่อนนำตัวเข้าไปสอบปากคำต่อ

 

โดยระหว่างที่ตำรวจกำลังควบคุมตัว นายเจ กลับเข้าห้องสืบสวนเพื่อสอบปากคำต่อนั้น ผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามข้อเท็จจริงเรื่องการซื้อรถ ทั้งเรื่องเอกสารที่ชื่อผู้ครอบครองไม่ตรงกับนายนุ แล้วเหตุใดจึงรับซื้อ นายเจไม่ได้ตอบคำถาม ผู้สื่อข่าวยังถามต่อว่า รู้หรือไม่ว่ารถคันนี้เป็นของคนตาย นายเจ ตอบเพียงสั้นๆว่า "ไม่รู้ครับ"

เมื่อถามว่าทำไมต้องถอดป้ายทะเบียนรถออกส่อถึงการทำผิดกฎหมายหรือไม่ นายเจก็ไม่ตอบคำถาม

 

ในเวลาต่อมาตำรวจได้ตัว นายสุลักษณ์ หรือนายแจ๊ค นายหน้าขายรถอีกคนหนึ่งที่ รับเงินส่วนแบ่งจาก ขบวนการ ขายรถของน้องครีม มาสอบปากคำที่โรงพัก โดยตำรวจพยายามเค้นสอบนานหลายชั่วโมง

 

และคุมตัวนายแจ๊ค นายหน้าขายรถ ที่ได้เงินส่วนแบ่ง 30,000 บาท ออกมาชี้รถของกลาง ว่า เป็นคันเดียวกับที่มีการติดต่อซื้อขายหรือไม่ แต่ปรากฏว่า นายแจ๊ค กลับไม่ยินยอมชี้รถ เพื่อยืนยันคำให้การ พร้อมกับแย้งกับตำรวจว่า “ตนถูกหลอกมาอีกที ถ้าหากชี้รถของกลาง เกรงว่าจะเป็นการยอมรับผิด”

 

ตำรวจ จึงแจ้งว่า ไม่ต้องชี้ก็ได้ แต่ขอให้ช่วยยืนยันว่าเป็นรถคันนี้จริง ซึ่งเจ้าตัวก็ตอบกลับไปว่า ผมไม่ได้เห็นรถของจริง แต่คาดว่าน่าจะเป็นคันนี้ เพราะตรงกับรูปถ่าย“

 

ระหว่างนั้นผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามข้อเท็จจริงกับนายแจ๊ค แต่เจ้าตัวปฏิเสธที่จะตอบคำถาม

 

ล่าสุดทีมข่าวตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดบริเวณปากซอยฉลองกรุง 54 ซึ่งเป็นปากทางเข้าอู่รถของนายจิรวัฒน์ หรือ เจ เจ้าของอู่

 

พบภาพเมื่อช่วงเวลา 20.46.53 น. ของวันที่ 4 มิถุนายน หลังจากมีการตกลงซื้อขายรถกันเสร็จ พบว่า กระบะคันดังกล่าวถูกขับเข้ามาภายในซอย ปากทางเข้าอู่ ก่อนที่นายจิรวัฒน์จะมีการนำไปซุกซ่อนไว้ในอู่

 

วันนี้ทีมข่าวเกาะติดความเคลื่อนไหวคดีนี้อยู่สภ. เขาย้อยได้พบกับนายนายทัศนัย หรือทนายโจ้ ซึ่งเป็นทนายความของนายจิตปภรณ์ หรือ อ้อและนายจิรวัฒน์ หรือ เจ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ประเด็นแรก ขอชี้แจงว่าการรับซื้อรถเป็นการรับซื้อขายรถมือสองตามปกติไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมน้องครีมต้องแยกออกคนละส่วนอย่าเหมารวมกัน

 

ส่วนเส้นทางของรถยนต์น้องครีมมาหานายอ้อและนายเจได้อย่างไรขณะนั้นนายอ้อ ซึ่งได้โทรศัพท์เข้ามาหาทนายความขณะที่สัมภาษณ์พอดีจึงได้พูดผ่านทางโทรศัพท์ว่า

 

มีนายหน้าชื่อนายเสือนำรถมาขายให้ในราคา 140,000 บาท ที่รับซื้อเพราะว่ามีสำเนาคู่มือรถถูกต้องและมีบัตรประชาชนเจ้าของรถตรงกัน โดยพบว่าข้อมูลทั้งสองอย่างตรงกันแต่ นายเสือนายทุนบอกว่าเจ้าของรถรีบไปต่างประเทศจึงฝากรถให้มาขายต่อ ให้ นายอ้อจึงรับซื้อ ไว้ และนำมาขายต่อให้กับนายเจในราคา 160,000 บาท

 

โดยยอมรับว่าการซื้อขายระหว่าง ตนเองกับนายเจถือว่าสำเร็จแล้วส่วนที่รับซื้อรถคันนี้ไว้นายอ้อให้ ข้อมูลว่ารับซื้อเพราะเอกสารและบัตรประชาชน ชื่อเจ้าของรถตรงกันแม้จะเป็นรถที่ติดไฟแนนซ์อยู่แต่ก็ รับซื้อเพราะปัจจุบันมีหลายคนที่มาขายรถลักษณะแบบนี้จึงรับซื้อไว้โดยไม่ได้คิดว่าจะเป็นรถที่ไปก่อคดีฆ่าคนตายมา

 

ทั้งนี้นายอ้อยืนยันว่าไม่เคยรู้จักกับนาย นุเป็นการส่วนตัวหรือมีการเตรียมการในการขายรถคันนี้มาก่อน

 

นอกจากนี้ทนายความยังตั้งข้อสังเกตถึงการทำงานของตำรวจว่าจากครั้งแรกเข้าไปขอข้อมูลกับนายอ้อบอกเพียงว่าให้ช่วยเหลืองานราชการเป็นพลเมืองดีช่วยตามหารถยนต์ ของน้องครีมว่าตกไปอยู่กับนายหน้ารายใด

 

นายอ้อก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีแต่ปรากฏว่าหลังจากได้ข้อมูลและพบรถแล้วกลับกลายเป็นว่านายอ้อถูกแจ้งข้อหารับซื้อของโจรซึ่งการแจ้งข้อหาหากทำผิดก็ว่ากันไปตามกฎหมายแต่การหลอกว่าจะให้เป็นพยานแล้วมาแจ้งข้อหาทีหลังมันเป็นการทำงานที่ล้าหลังมากของตำรวจที่ทำแบบนี้มาเป็นประจำ

 

นอกจากนี้ หากจะแจ้งข้อหานายอ้อ เขามีสิทธิ์ที่จะเจอทนายความแต่กลับไม่ได้เจอและแจ้งข้อหาทันที ตนเองเป็นทนายความ เพิ่งมาทราบทีหลังก็ไม่รู้ว่าตำรวจทำแบบนี้ได้อย่างไร

 

ล่าสุดวันนี้ทีมข่าวได้เดินทางย้อนกลับไปที่อู่รถของนายจิรวัฒน์ หรือ เจ อีกครั้ง เมื่อไปถึงจึงพบว่าหลังจากออกข่าวไปแล้ว ภายในอู่ไม่มีใครอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่ปิดบ้านเงียบ ไม่ได้ออกมาให้ข้อมูลกับทีมข่าวเหมือนเมื่อวานนี้แล้ว

 

ต่อมาทีมข่าวได้ลงพื้นที่สำรวจรอบๆ อู่ของนายจิรวัฒน์ พบว่า มีซากรถจำนวนมากถูกจอดอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกของโกดัง โดยด้านนอกของอู่จะมีรถกระบะจอดรอแยกชิ้นส่วนอยู่ประมาณ 5-6 คัน ส่วนด้านในโกดัง มีรถอีกหลาย 10 คัน ที่ถูกแยกชิ้นส่วนไปแล้ว

 

จากการสังเกตของทีมข่าวพบว่ารถทั้งหมดที่จอดอยู่ด้านนอกอยู่ มีเพียงป้ายทะเบียนด้านหน้า แต่ด้านหลังทุกคนไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน นอกจากนี้ รถทุกคนไม่มีการติดป้ายพรบ.รถยนต์ไว้ด้านหน้ากระจกรถอีกด้วย

 

นอกจากนี้ทีมข่าวได้ตรวจสอบการจดทะเบียนบริษัทของอู่ดังกล่าวพบว่า เพิ่งมีการจดทะเบียนเป็นบริษัท เมื่อ 13 กุมภาพันธ์ 67 หรือ 4 เดือนก่อน ที่ผ่านมานี้ โดยใช้ทุนจดทะเบียน 1 ล้าน โดยมีการระบุธุรกิจการจดทะเบียนคือ ขายส่งยานยนต์เก่า ชนิดรถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถกระบะ รถตู้ และรถขนาดเล็กที่คล้ายกัน สถานะยังอยู่ระหว่างการดำเนินกิจการ

 

นอกจากนี้ทีมข่าวได้สอบถามชาวบ้านในพื้นที่ยังมีข้อมูลว่า นายจิรวัฒน์ เจ้าของอู่ หลังจากมาเปิดธุรกิจตรงนี้ ยังมีการซื้อที่ดินในพื้นที่ใกล้เคียงอีกจำนวนหนึ่ง รวมถึงที่ดินที่มีการนำรถกระบะของน้องครีมไปจอดซุกซ่อนไว้ด้วย

 

ขณะเดียวกันทีมข่าวได้ไล่ภาพจากกล้องวงจรปิดช่วงวันที่ 11 มิถุนายนก่อนที่ตำรวจจะตามไปพบรถกระบะของน้องครีมในช่วงบ่ายของวันที่ 12 มิถุนายนถูกซุกซ่อนอยู่

 

ทีมข่าวช่อง 8 เห็นความผิดปกติของอู่รถแห่งนี้ เนื่องจากพบว่า ภายในช่วงเวลาตั้งแต่ 13.19 - 17.24 น. ของวันที่ 11 มิถุนายน ภาพจากกล้องจรปิด พบนายจิรวัฒน์ได้ร่วมกับคนงานช่วยกันเคลื่อนย้ายซากรถ และรถยนต์กระบะจำนวนมากขับออกจากอู่ บางคันมีการขับออกจากอู่เอง บางคันต้องขนใส่ขึ้นรถสไลด์ โดยวิ่งขนย้ายซากรถ นับได้ทั้งหมด 5 คัน กับ 1 ซากรถ

 

หลังจากที่ข่าวได้ข้อมูลว่าอู่ดังกล่าวมีการขนย้ายรถปริศนาออกจากอู่ในวันที่ 11 มิถุนายนก่อนที่ตำรวจจะบุกจับ ทีมข่าวได้ไล่ดูเส้นทางต่อว่า รถทั้งหมดที่มีการเคลื่อนย้ายออกจากอู่ไปนั้นไปอยู่ที่ไหน

 

จนกระทั่งทีมข่าวไปพบสุสานรถแห่งหนึ่งโดยบังเอิญซึ่งอยู่ห่างจากอู่รถของนายจิรวัฒน์ประมาณ 2 กิโลเมตร และยังเป็นเส้นทางเดียวกับจุดที่นายจิรวัฒน์นำรถกระบะของน้องครีมไปจอดอยู่ที่ลานดินแห่งหนึ่ง โดยห่างออกไปจากสุสานรถแห่งนี้ประมาณ 4 กิโลเมตร

 

จากการสำรวจของทีมข่าวพบว่า สุสานรถแห่งนี้มีซากรถกระบะจำนวนมากถูกชำแหละและอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ จากการเดินสำรวจพบว่า บางจุดโดยรอบสุสานรถมีกำแพงปิดล้อมรอบ คนนอกมองเข้ามาแทบไม่เห็น บางจุดมีการนำสแลนกรองแสงสีเขียวขึงปิดไม่ให้มองเห็นด้านในได้

 

ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้ลงพื้นที่ไปยังฟาร์มหมูแห่งหนึ่ง ตำบลวังงิ้ว อำเภอดงเจริญ จังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของนายเค (อดีตแฟนของน้องครีม) โดยลักษณะโรงงานนั้นเป็นแบบระบบปิดที่ไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปและไม่อนุญาตให้บุคคลภายในออกมา ทีมข่าวจึงได้ตะโกนเรียกพนักงานผ่านทางรั้วด้านข้างโรงงาน จนกระทั่งนางสาวพราว (นามสมมติ) อายุ 20 ปี ได้เดินออกมาคุยกับนักข่าวผ่านทางรั้ว โดยนางสาวพราวก็ได้เล่าว่า ตนนั้นรู้จักทั้งนางสาวครีมและนายเค เนื่องจากนายเคนั้นเป็นคนเลี้ยงหมูอยู่ในฟาร์ม ส่วนนางสาวครีมก็ได้เป็นแม่บ้านอยู่ที่ฟาร์ม ซึ่งทั้งคู่ก็ทำงานด้วยกันและคบหากันมาโดยปกติเหมือนคู่รักทั่วไป จนกระทั่งนางสาวครีมก็ได้ขอลาออกจากโรงงาน โดยให้เหตุผลว่ามีภาระค่าใช้จ่ายเยอะ จึงอยากออกไปหางานทำข้างนอก หลังจากนั้นนางสาวครีมก็ได้ออกไปเพียงลำพัง ส่วนนายเคก็ยังทำงานอยู่ตามเดิม จนกระทั่งก่อนสงกรานต์ไม่กี่วัน นางสาวครีมก็กลับมาที่โรงงานเพื่อจะมายืมรถจากนายเค โดยนางสาวครีมอ้างว่าจะเอารถเพื่อพายายไปหาหมอ ยายไม่สบายหนัก ใช้เสร็จแล้วจะเอามาคืน นายเคจึงให้นางสาวครีมยืมรถไปใช้เพราะว่าตอนนั้นทั้งคู่ก็ยังคบหาเป็นแฟนกันอยู่ จนช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา นายเคก็จับได้ว่าฝ่ายหญิงโกหก โดยนางสาวครีมบอกว่าไปทำงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ชลบุรี แต่ทว่าจริง ๆ แล้วฝ่ายหญิงได้ไปทำงานกลางคืนอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต นายเคจึงได้ตัดสินใจเลิกกับนางสาวครีมและบอกให้นำรถกลับมาคืนที่จังหวัดพิจิตร แต่นางสาวครีมก็ได้ยื่นข้อเสนอบอกให้โอนเงินค่าน้ำมันรถไปให้ก่อนจึงจะขับกลับไปคืนให้ ตอนนั้นเพื่อนร่วมงานก็กลัวว่านางสาวครีมจะหลอกเอาเงินจากนายเค จึงห้ามไม่ให้นายเคโอนเงินไป ซึ่งนายเคก็ไม่ได้โอนเงินไปให้ นางสาวครีมก็ไม่ได้ติดต่อมาอีกเลย โดยนางสาวพราวขอยืนยันว่านายเคไม่ได้นัดรับรถกับนางสาวครีม และคนในฟาร์มก็ไม่มีใครรู้เลยว่านางสาวครีมจะเอารถมาคืนเมื่อไหร่อย่างไร เพราะนางสาวครีมได้ลบทุกคนออกจากเฟซบุ๊กจึงไม่มีใครสามารถติดต่อนางสาวครีมได้เลย จึงขอยืนยันอย่างมั่นใจว่านายเคไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนัดรับรถหรือนัดซื้อขายรถเถื่อนแต่อย่างใด ส่วนประเด็นที่เอกสารสำคัญของนายเคอยู่ภายในรถ ปกตินายเคก็มักจะเก็บเอกสารทุกอย่างไว้ในรถอยู่แล้ว อีกทั้งที่นางสาวครีมซึ่งตอนนั้นยังคบหากับนายเค เป็นคนมาขอยืมรถไปใช้ชั่วคราว นายเคจึงไม่ได้เก็บเอกสารออกมาเพราะคิดว่าแฟนเอาไปใช้เดี๋ยวเดียวก็คงจะเอากลับมาคืน ซึ่งนางสาวพราวยังบอกอีกว่า ล่าสุดนายเคได้ลางานไปตั้งแต่ช่วงเย็นวานนี้ (12 มิ.ย.67) เนื่องจากบอกว่าจะไปเคลียร์ธุระเรื่องรถ โดยบอกว่าจะไปแจ้งความเอาไว้ก่อน แต่ตนก็ไม่ทราบว่านายเคจะไปแจ้งความในพื้นที่จังหวัดอะไร

 

บรรยากาศที่บ้านพักของน้องครีมที่อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย วันนี้ นางพรพรรณ อายุ 42 ปี แม่ของนางสาวเบญจรัตน์ หรือน้องครีม อายุ 22 ปี ที่เสียชีวิตจากการถูกฆาตกรรม ได้เก็บอัฐิของน้องครีมซึ่งเมื่อวานนี้ทางครอบครัวได้ประกอบพิธีฌาปนกิจศพเผาร่างของน้องครีมเมื่อวานนี้ โดยเก็บมาไว้ในห่อผ้าข้าวและโกศที่บ้าน ก่อนจะนำไปลอยอังคารที่แม่น้ำโขง จ.หนองคาย ซึ่งเป็นจังหวัดที่แม่ของน้องครีมพักอยู่และทำงานที่นั่น

 

โดยแม่จุดธูปบอกดวงวิญญาณลูก ขอให้ไปสู่สุคติไม่ต้องห่วงอะไร ซึ่งตอนนี้ทางตำรวจจับคนร้ายได้แล้วอยากให้ลูกไม่ต้องโกรธหรืออาฆาตให้ดวงวิญญาณสู่สุคติ

 

หลังจุดธูปเสร็จแม่ของน้องครีมได้เปิดผ้าห่ออัฐิของน้องครีมให้ทีมข่าวดู เนื่องจากแม่สงสัยว่าทำไมอัฐิของน้องครีมเป็นสีฟ้า โดยจะเห็นสีอัฐิของน้องครีมลักษณะเป็นสีขาวปนฟ้าอยู่ทั่วอัฐิ ซึ่งแม่บอกว่าแตกต่างจากอัฐิของคนทั่วไปที่แม่เคยเจอหรือเคยไปร่วมเก็บอัฐิหลังเผาศพแล้ว

 

นางพรพรรณ อายุ 42 ปี แม่ของครีม บอกว่า โดยหลังเผาศพน้องเมื่อวานนี้ตนไม่ได้มีการฝันถึงน้องครีมว่าน้องมาหาตน แต่ตั้งใจไว้ว่าจะนำอัฐิของน้องครีมไปลอยอังคารที่แม่น้ำโขง จ.หนองคายไม่เกิน 2-3 วันนี้ ส่วนที่เลือกแม่น้ำโขงลอยอังคารเนื่องจากตนพักอยู่ที่นั่น เวลาคิดถึงลูกก็จะได้ไปหาลูกที่ริมแม่น้ำโขง เพราะตอนที่น้องมีชีวิตอยู่ตั้งใจว่าจะเอาน้องครีมไปอยู่กับตนเองที่หนองคายแม้ว่าตอนนี้จะเสียชีวิตไปแล้วก็อยากให้อยู่ใกล้กันกับตน จากนั้นก็รอให้ครบการเสียชีวิต 100 วันถึงจะทำบุญใหญ่ให้น้องครีมอีกครั้ง

 

ส่วนประเด็นที่ครอบครัวตนสงสัยเนื่องจากกระดูกของน้องครีมเป็นของฟ้า ตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงเป็นสีฟ้า แต่ตอนที่เก็บกระดูกก็บอกกับน้องครีมว่า “ตนจะเก็บกระดูกของน้องแล้วเอาไปทำบุญให้น้องนะ” ตนได้ถามสัปเหร่อว่าทำไมกระดูกของน้องครีมเป็นสีฟ้า สัปเหร่อก็ตอบเพียงว่าจากประสบการณ์ที่เคยเผาศพหากตอนมีชีวิตอยู่กินยาเยอะ กระดูกจะเป็นสีชมพู และหากกินยาเกี่ยวกับข้อและเข่ากระดูกก็จะเป็นสีดำ แต่กระดูกสีฟ้าสัปเหร่อก็ไม่เคยเจอเหมือนกันโดยเป็นเคสแรกที่เจอ

 

เมื่อวานนี้ตอนที่ทำพิธีฌาปนกิจศพลูกสาวมีพระทักว่าวิญญาณรูปตนอาฆาตให้ใครและยายกรวดน้ำให้ลูกบ่อยๆ แต่พอวันนี้เก็บอัฐิลูกเสร็จก็มีร่างทรงคนหนึ่งโทรมาบอกว่าให้ตนค้นในตู้และลิ้นชักจะเจอหลักฐานบางอย่าง ตนก็เลยค้นหาก็ไม่เจออะไรก็เลยโทรหาพนักงานร้านนวดที่เป็นเพื่อนร่วมงานของตนให้คนในห้องส่วนตัวลูกสาวคนที่ภูเก็ต ให้ค้นตู้และลิ้นชักว่าลูกสาวได้เก็บอะไรบางอย่างไว้หรือไม่ ก็เชื่อว่าดวงวิญญาณลูกสาวดลใจให้ตำรวจจับคนร้ายตัวจริงได้ในที่สุด และอาจจะดลใจให้เจอหลักฐานบางอย่างอีกก็ได้ที่เกี่ยวข้องกับคดี

 

ประเด็นที่ทีมข่าวถามตนว่ายังสงสัยอีกหรือไม่ว่านายเคเกี่ยวข้องกับขบวนการขายรถที่ลูกสาวขับรถกระบะของนายเคไปที่ภูเก็ต เผยไม่กล้าตอบประเด็นนี้เนื่องจากมีคนขู่ฟ้องขู่จะแจ้งความจับตนและแม่ของตนหลังจากไปพาดพิงอีกฝ่ายแล้วพูดให้สัมภาษณ์เพื่อให้อีกฝ่ายดูแย่ ชี้ตนยังคงคาใจในประเด็นของนายเคอยู่ เนื่องจากนายกานต์เป็นแฟนของน้องครีมก่อนที่ครีมจะคบกับนายเค หลังจากที่พบศพครีม กานต์ก็ทักมาถามว่าใครฆ่าครีม และโอนเงินช่วยจัดงานศพครีม แต่ในส่วนนายเคหายเงียบทั้งเคและแม่เค ทั้งที่ก่อนที่ลูกสาวหายตัวไปมีข้อพิพาททะเลาะกัน

 

แล้วทราบมาอีกว่าวันนี้นายเคลางานในฟาร์มหมูที่จ.พิจิตร โดยเดินทางไปทำธุระต่างจังหวัด ก็คาดว่า น่าจะไปดูเรื่องรถหลังจากที่ตำรวจยึดได้แล้ว เพราะนายนุเอาไปขายต่อ ในส่วนที่นายจิรวัฒน์ที่ถูกจับล่าสุดโดยเป็นเสี่ยอู่รถที่ซื้อรถกระบะต่อจากนายนุ แม้เจ้าตัวจะบอกว่าซื้อรถถูกกฎหมายแต่ตนก็สงสัยว่าจะถอดป้ายทะเบียนรถออกทำไม ส่อมีพิรุธกระทำโดยผิดกฎหมาย อยากให้คดีนี้ไม่เงียบ ให้ตำรวจตามจับทุกคนที่เกี่ยวข้องการตายลูก เชื่อฆ่าชิงรถลูกสาวตนถึงตาย เพราะทางตำรวจแจ้งว่านายนุมีการโพสต์ขายในกลุ่มรถวันที่ 1 มิถุนายน แล้วลูกสาวตนถูกฆ่าทิ้งศพในวันที่ 2 มิถุนายน จึงเชื่อว่าเตรียมการทุกอย่างก่อนหน้านี้

 

เสียใจที่ลูกตนเสียชีวิตที่สุด และเสียใจรองลงมาคือถูกคนที่ลูกรักหักหลังความเชื่อใจ เพราะตอนครีมมีอยู่ ทั้งครีมและครอบครัวช่วยเหลือเคตลอด เอาชื่อเคมาอยู่ในทะเบียนบ้านที่บ้านพักของยายครีมคือหลังนี้จ.สุโขทัย เพราะเคมีปัญหาเรื่องการเกณท์ทหาร ซึ่งเคก็เคยพักอาศัยอยู่ที่นี่กับลูกสาวตน โดยมีหลักฐานที่เคขับรถกระบะคันที่เกิดเหตุมาที่บ้านของตนซึ่งตอนนั้นเคมาพักกับครีมที่บ้านยายครีมที่อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย

 

แถมบางครั้งครีมลูกสาวตนก็ยังดูแลพ่อแม่ของเคอีกด้วย หลังลูกสาวเสียชีวิตเคไม่แม้แต่มาแสดงความเสียใจ ไม่แม้แต่มาสอบถามสารทุกข์สุกดิบคนในบ้านของครีม และไม่แม้แต่ที่จะทำเรื่องคดีครีม จึงรู้สึกว่าถูกหักหลังความเชื่อใจ

 

ต่อมาทีมข่าวเดินทางไปที่วัดมงคลนิมิตร อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นสถานที่จัดพิธีฌาปนกิจศพของน้องครีมเมื่อวานนี้ โดยนายสมจิตร อายุ 69 ปี สัปเหร่อประจำวัด เพื่อเปิดประตูเมรุให้ทีมข่าวดูเตาเผาศพน้องครีม ที่เผาร่างน้องครีมเมื่อวานนี้ โดยพรมน้ำมนต์และทำพิธีเปิดประตูเมรุก่อนที่จะนำเตาเผาศพของน้องพรีมออกมาให้ทีมข่าวดู

 

นายสมจิตรบอกว่า ตนเป็นคนเผาร่างน้องครีมเมื่อวานนี้ โดยร่างของน้องครีมอยู่บนเตาเผา ซึ่งใช้ถ่านในการเผาทั้งหมดสามกระสอบ ก่อนจุดไฟเผาร่าง ใช้เวลาเผาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงกว่า ก็เผาร่างน้องครีมจนมอดไหม้ไม่เหลือเพียงเถ้าถ่านและกระดูก โดยปกติจะเผาร่างของศพอยู่ที่ 2-3 ชั่วโมง แต่เคสน้องครีมเผามอดไหม้เร็วกว่าศพอื่น ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมงกว่าเท่านั้น

 

ตนเองเป็นสัปเหร่อเผาศพมาได้ประมาณ 9 ปี เผาศพมามากกว่า 100 ศพแล้ว ที่ผ่านมาก็จะเจอเพียงกระดูกศพสีชมพูเท่านั้น ซึ่งเกิดจากการกินยาเยอะเพราะคนสมัยนี้มีโรคประจำตัวค่อนข้างมาก และก็จะมีศพของบางคนกระดูกเป็นสีดำเพราะกินยาแก้ปวดข้อเข่าและกระดูก และส่วนบางคนก็จะเป็นกระดูกสีขาว

 

การเผาร่างน้องครีมนั้นไม่ได้มีอุปสรรคเหมือนศพอื่นที่แช่แข็งที่จะใช้เวลาเผานานกว่า แต่ของน้องครีมนั้นใช้เวลาเผาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก็เสร็จสิ้น มีแตกต่างเพียงเรื่องสีของกระดูก โดยกระดูกของน้องครีม มีลักษณะเป็นสีขาวปนฟ้าทั่วร่างกาย แต่พบเป็นสีฟ้าเข้มบริเวณกระดูกสันหลัง

 

ยืนยันว่าตั้งแต่เป็นสัปเหร่อเผาศพมาไม่เคยเจอศพที่มีกระดูกสีฟ้า ศพน้องครีมเป็นเคสแรกที่ตนเองเผาศพแล้วเจอกระดูกสีฟ้า ไม่ทราบเช่นกันว่าเกิดจากอะไร ส่วนตัวก็คิดว่าน้องอาจจะอาฆาตคนที่ฆ่าหรือไม่ ไม่เช่นนั้นก็อาจจะโดนวางยาก่อนถูกฆาตกรรมหรือไม่

 

ในความคิดของตัวเองก็คิดว่าดวงวิญญาณน้องครีมต้องการสื่อสารให้รู้ว่าดวงวิญญาณยังอาฆาตแค้นคนร้ายที่ทำให้น้องครีมเสียชีวิต

 

รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี หรือ “หมอหมู” อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยกรณีเถ้ากระดูกน้องครีมเป็นสีฟ้า ว่า เถ้ากระดูกเป็นสีฟ้าในกรณีนี้ น่าจะเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ 1.เกิดจากการเผาศพที่อุณหภูมิสูงกว่า 600 องศา ซึ่งอุณหภูมิการเผาศพที่สูงมากจะสามารถทำให้แร่ธาตุในกระดูก ทั้งแคลเซียม ฟอสฟอรัส และแมกนีเซียม เกิดการคลายตัวออกจากกระดูก เมื่อกระดูกเย็นลง แร่ธาตุเหล่านี้ควบแน่นเป็นผงสีฟ้าเทาเคลือบอยู่บริเวณกระดูก

 

 ส่วนสาเหตุที่ 2 ที่สามารถเป็นไปได้คือ เกิดจากการที่ศพมีการปนเปื้อนสารเคมีที่มีสีฟ้าจำนวนมาก ซึ่งจากประวัติของผู้เสียชีวิตรายนี้ มีข้อมูลว่าได้ถูกน้ำยาล้างห้องน้ำที่มีฤทธิ์กัดกร่อน เป็นสีฟ้า-น้ำเงินราดบริเวณใบหน้าในปริมาณที่มาก ซึ่งสารดังกล่าวอาจตกค้างอยู่บนกระดูกภายหลังการเผาศพก็เป็นไปได้

 

สำหรับกรณีโลหะหนัก หรือสารพิษบางชนิด อาจทำให้กระดูกเป็นสีฟ้านั้น จากการสืบค้นข้อมูลทางการแพทย์ ยังไม่พบว่าเคยมีการรายงานในกรณีดังกล่าว

สลด! ชีวิต "น้องครีม" มีราคาแค่ 7 หมื่น! ช่อง 8 เปิดหลักฐานลับแก๊งซื้อขายรถ