จากกรณีที่มีผู้พบศพสาวนิรนาม นอนเสียชีวิตอยู่ในพงหญ้าริมถนนเพชรเกษม ในพื้นที่ อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี  ซึ่งต่อมาทราบว่าคือ น.ส.เบญจรัตน์ หรือ น้องครีม อายุ 21 ปี ก่อนตำรวจจะติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุได้ คือนายอนุวัฒน์ หรือ นุ อายุ 20 ปี เมื่อ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา และจากการสืบสวนพบว่ามีการเชื่อมโยงขบวนการซื้อ-ขายรถกระบะของน้องครีม ซึ่งตำรวจสืบจนทราบว่า หลังจากที่นายนุฆ่าน้องครีมเสร็จและนำศพไปโยนทิ้ง จากนั้นนายนุได้ติดต่อไปหานายสุลักษณ์ ซึ่งเป็นนายหน้าซื้อขายรถผ่านกลุ่มเฟซบุ๊กซื้อขายรถยนต์ในตลาดมืด โดยขายในราคา 70,000 บาท จากนั้นมีการขายต่อทอด ๆ มาจนถึง นายจิรวัฒน์ หรือ เจ เจ้าของอู่ ย่านลาดกระบัง ที่ตำรวจไปจับได้เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.




กระทั่งทีมข่าวช่อง 8 ไปพบสุสานรถแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ ซึ่งอยู่ห่างจากอู่รถของนายจิรวัฒน์ หรือ นายเจ ประมาณ 2 กิโลเมตร และยังเป็นเส้นทางเดียวกับจุดที่นายจิรวัฒน์นำรถกระบะของน้องครีมไปซุกซ่อนอยู่ที่ลานดินแห่งหนึ่ง โดยห่างออกไปจากสุสานรถแห่งนี้ประมาณ 4 กิโลเมตร




จากการสำรวจของทีมข่าวพบว่า สุสานรถแห่งนี้มีซากรถกระบะจำนวนมากถูกชำแหละและซุกซ่อนอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่ จากการเดินสำรวจพบว่า บางจุดโดยรอบสุสานรถมีกำแพงปิดล้อมรอบ คนนอกมองเข้ามาแทบไม่เห็น บางจุดมีการนำสแลนกรองแสงสีเขียวขึงปิดไม่ให้มองเห็นด้านในได้ โดยทีมข่าวช่อง 8 ได้บินโดรนสำรวจจากมุมสูง พบว่าภายในสุสานมีซากรถกระบะจำนวนมากกว่า 100 ชิ้นอยู่ภายในสุสาน แต่เท่าที่ดูด้วยตาเปล่าก็ไม่พบกับแผ่นป้ายทะเบียนรถแต่อย่างใด จึงไม่ทราบว่าซากรถแต่ละคันนั้นมาจากจังหวัดใด


ล่าสุด (14 มิ.ย. 2567) เมื่อเวลา 17.00 น. ทีมข่าวช่อง 8 ได้ย้อนกลับไปที่สุสานรถของนายจิรวัฒน์ หรือนายเจ พบว่าเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนของ สน.จรเข้น้อย ได้ลงพื้นที่เข้าไปตรวจสอบซากรถภายในสุสานรถ โดยที่มีกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนประมาณ 7 คน แล้วก็ได้มีนายเหลือง (นามสมมติ) ซึ่งเป็นลูกจ้างของนายจิรวัฒน์เป็นตัวแทนในการนำเอกสารหลักฐานต่าง ๆ มามอบให้กับตำรวจ




ต่อมาทีมข่าวช่อง 8 ได้ติดต่อทางโทรศัพท์ไปพูดคุยกับนายสัญญา อายุ 88 ปี ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าว ตั้งอยู่ในพื้นที่ซอยทับยาว 1 แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร ซึ่งได้ปล่อยให้นายจิรวัฒน์ หรือนายเจ เช่าสำหรับทำเป็นสุสานรถยนต์ โดยทีมข่าวก็ได้สอบถามว่า นายสัญญาปล่อยให้ใครเป็นผู้เช่าแปลงที่ดินในพื้นที่ทับยาว ผู้เช่าได้ติดต่อมาช่องทางไหน ติดต่อมาอย่างไร ซึ่งทางด้านนายสัญญาเจ้าของที่ดินก็ยืนยันว่าตัวเองนั้นจำไม่ได้ พร้อมกับบอกว่าตัวเองมีที่ดินหลายแปลงทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด จึงจำไม่ได้ว่าปล่อยให้ใครเช่าไปบ้าง แต่ที่จำได้คือที่ดินทุกแปลงจะเป็นการปล่อยให้เช่าชั่วคราว ไม่ได้มีการซื้อขายแน่นอน ส่วนค่าเช่าที่ก็จะเป็นในส่วนของลูกชายที่เข้าไปดูแลรับผิดชอบ โดยลูกชายของตนนั้นมีหน้าที่การงานเป็นตำรวจ แต่เจ้าตัวก็ไม่ค่อยได้พูดคุยสุงสิงกับลูกชายสักเท่าไร


ทั้งนี้ ในการลงพื้นที่สุสานรถของนายจิรวัฒน์ ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ การตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนมีการเดินตรวจสอบซากรถทีละคัน แล้วก็มีการนำป้ายกระดาษมาติดเอาไว้บริเวณกระจกหน้ารถ ซึ่งข้อความบนกระดาษนั้นมองเห็นได้ไม่ชัด เนื่องจากทีมข่าวไม่สามารถเข้าไปภายในได้จึงมองเห็นไม่ชัดเจน แต่คาดว่าน่าจะเป็นการติดเพื่อระบุเอาไว้ว่าซากรถคันไหน จะต้องถูกตรวจสอบอย่างละเอียด หลังจากที่นายเหลืองและเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนเดินตรวจสอบซากรถนานกว่า 1 ชั่วโมง ตำรวจก็ได้นำ Police line ออกมากั้นพื้นที่ภายในสุสานรถบางส่วนไว้




ซึ่งระหว่างนั้นทีมข่าวก็พยายามสอดส่องหานายจิรวัฒน์ หรือนายเจ แต่ก็ไม่ปรากฏตัว จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนกำลังจะเดินทางกลับออกจากสุสาน ทางด้านนายเหลืองก็ได้เดินออกมาเปิดประตูรั้ว นักข่าวก็เดินเข้าไปถามว่าวันนี้มาทำอะไร ทางนายเหลือง (นามสมมติ) ก็ตอบว่า ตนเป็นตัวแทนของนายเจที่ได้พาตำรวจเข้ามาตรวจสอบซากรถในสุสาน วันนี้ก็มีการนำเอกสารต่าง ๆ มามอบให้กับตำรวจเพื่อชี้ที่มาที่ไปของซากรถแต่ละชิ้น




จากนั้นทีมข่าวก็ถามต่อว่า ตอนนี้นายเจอยู่ที่ไหน มาด้วยกันหรือเปล่า นายเหลืองก็ตอบว่า “ไม่ครับ” นักข่าวก็ถามต่อว่า “ไม่อะไร ไม่รู้หรือไม่แน่ใจ” นายเหลืองก็ตอบว่า “ไม่แน่ใจครับ” ซึ่งขณะนั้นรถคันสุดท้ายที่จอดอยู่ก็ได้ถอยออกมาจากสุสาน ทำให้เห็นว่าคนที่ขับรถคันดังกล่าวคือนายจิรวัฒน์ หรือนายเจ นั่นเอง ซึ่งก็ได้มีผู้หญิงวัยกลางคนได้นั่งหมอบอยู่บริเวณเบาะที่นั่งหลังคนขับด้วยเช่นกัน ทันใดนั้นนายเหลืองก็ได้รีบวิ่งขึ้นรถ นักข่าวก็พยายามจะเรียกนายเจที่เป็นคนขับรถ แต่ทว่านายเจก็ไม่หยุดรถและรีบขับออกไปในทันที




ล่าสุด นายจิตปกรณ์ หรือ นายอ้อ หนึ่งในผู้รับซื้อรถมือสองจากนายอนุวัฒน์ หรือ นุ และขายต่อให้กับนายจิรวัฒน์ หรือ เจ ได้เดินทางมาพบ ทนายทัศนัย เหล่าพูนพิทยา หรือทนายโจ้ พร้อม เจ้าของตัวจริงรถเก๋ง 4 ประตู รุ่น Honda Accord ที่ถูกตำรวจยึดตรวจสอบในคดี อีกทั้งวันนี้เดินทางมาเพื่อที่จะเดินทางไปยัง สภ.เขาย้อย ชี้แจงประเด็นรถเก๋ง 4 ประตู ของกลางที่ถูกยึดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดี และยืนยันความบริสุทธิ์ใจไม่มีความเกี่ยวข้องกับ นายอนุวัฒน์ หรือ นุ


นายจิตปกรณ์ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ตนไม่รู้จักกับนายอนุวัฒน์ หรือ นุ มาก่อน โดยซื้อรถผ่านนายหน้าที่ติดต่อมาเสนอขายรถคันก่อเหตุให้กับตน โดยได้ให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อน้องอีกคนคุย เพื่อคุยรายละเอียดกันเบื้องต้น ต่อมาตนจึงจำชื่อ ได้เลื่อนหาในเฟซฯ ได้ไปเจอกับโพสต์ที่ประกาศขายรถคันดังกล่าวจริง ๆ ตนจึงได้ทักแชตเฟซบุ๊กไปในวันที่ 4 มิ.ย. ในช่วงเวลา 8.00 น. และวันนั้นเองก็ตกลงซื้อขายกัน เนื่องจากตนได้เห็นว่า มีรูปถ่ายเจ้าของว่าอยู่กับรถจริง และยืนยันว่าเจ้าของรถจะเป็นคนมาขายด้วยตนเอง พร้อมมีรูปสำเนาทะเบียนรถ บัตรประชาชนตัวจริงมาแสดง ตนจึงเชื่อใจว่าเจ้าของมาเองและมีเอกสารครบจึงตกลงซื้อมัดจำกัน




ส่วนความสัมพันธ์ ตนและนายจิรวัฒน์ หรือ เจ เป็นเพียงแค่คนรู้จักกัน ซึ่งตนเป็นเพียงนายหน้าที่หาซื้อรถขายทั่วไป แบบถูกกฎหมาย ปกติตนจะตรวจสอบที่มาที่ไปของรถอย่างละเอียด ซึ่งรถคันดังกล่าวที่ตนรับซื้อมาหรือของกลางไม่พบประวัติ ตนจึงตัดสินใจซื้อ และเดินทางไปดูในเย็นวัน 4 มิ.ย. ที่หมู่บ้านเอื้ออาทรแห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี


ขณะเดียวกัน เจ้าของรถในตอนแรกยืนยันว่าจะมาซื้อขายด้วยตนเองเพื่อที่จะถ่ายรูปกับรถและเซ็นเอกสารแต่ก็ไม่มา ซึ่งมีน้องคนหนึ่งมาจัดการแทน เบื้องต้นตนเห็นมีบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนรถตัวจริงมาด้วย ตนเลยไม่ได้เอะใจอะไร แต่รู้สึกแปลกใจทำไมผู้ที่นัดซื้อรถ กำชับตนต้องให้ไปในช่วงมืด ๆ เท่านั้น แต่ก็ไม่พูดอะไร แต่กระบวนการซื้อรถทั้งหมด ยืนยันทำด้วยความถูกต้องทั้งหมด และตนก็ไม่พบร่องรอยของรถผิดปกติแต่อย่างใด


ด้านนายทัศนัย หรือทนายโจ้ ซึ่งเป็นทนายความของ นายจิตปกรณ์ หรือ อ้อ และนายจิรวัฒน์ หรือ เจ เปิดเผยกับทีมข่าวว่า ตนได้รับแต่งตั้งมอบหมายให้ดูแลคดีความที่สถานีตำรวจภูธรเขาย้อย จ.เพชรบุรี ในข้อหารับของโจรเพียงเท่านั้น จึงยังไม่ทราบข้อมูล ในเรื่องของสุสานรถเก่า อีกทั้งวันนี้ ในช่วง เวลา 17.00 น. ตนได้นัดหมายกับทางผู้กำกับ สภ.เขาย้อย เพื่อเดินทางไปให้ปากคำเพิ่มเติม พร้อม นายจิตรปกรณ์ หรือ อ้อ ในข้อเท็จจริงที่ไม่เกี่ยวข้องในเรื่องของกระบวนการ ซื้อขายรถ ระหว่าง นายจิตปภรณ์ กับ นายอนุวัฒน์ หรือ นุ เพื่อยืนยันความบริสุทธ์ใจ ว่าได้มีการซื้อรถมาจากนายเสือจริง และได้มีการเตรียมหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้มีการแชตซื้อขาย ระหว่างนายจิตรปกรณ์ กับ นายณัฐพงษ์ หรือ เสือ โดยหลักฐานที่ได้มีการถ่ายภาพบัตรประชาชนส่งมาในแชตและนัดรับรถกันตามข้อมูล




ส่วนเมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ตามที่เป็นข่าวโดรนบินแล้วเห็นสุสานรถเก่า ในส่วนคดีดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่มีการตั้งข้อกล่าวหานายจิรวัฒน์ หรือ เจ และนายจิตปกรณ์ หรือ อ้อ ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตนติดต่อได้เพียงนายจิตปกรณ์ที่จะเดินทางมาในวันนี้ ส่วนนายจิรวัฒน์ หรือ เจ ตนเข้าใจว่า ในการสอบสวนที่ใช้เวลากว่า 10 ชม. อาจจะอ่อนเพลีย ซึ่งล่าสุดทางนายจิรวัฒน์ได้ขอเวลาในการพักผ่อนยังไม่ให้ข้อมูลอะไร และล่าสุดยังติดต่อไม่ได้


อีกทั้งวันนี้ได้นัดหมาย นายจิตรปกรณ์ ที่จะเดินทางมาพร้อม กับหญิงเจ้าของรถเก๋ง 4 ประตู รุ่น Honda Accord คันดังกล่าว ที่นายจิตรปกรณ์ได้ขับไป สภ.เขาย้อย ในวันที่ตำรวจนัดสอบปากคำ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไว้ในคดี เพื่อตรวจสอบ เบื้องต้นจึงได้ประสานเจ้าของรถตัวจริงมารับรถคืน และยืนยันว่ารถดังกล่าวไม่ใช่รถที่ผิดกฎหมาย




ทนายโจ กล่าวต่ออีกว่า ในเรื่องของสุสานรถนายจิรวัฒน์ หรือเจ ให้ข้อมูลว่าสุสานรถเก่าเป็นที่จอดรถ ที่รับซื้อซากรถจากลานประมูล บางส่วนก็เป็นรถที่มาจอดทิ้งไว้ ซึ่งนายจิรวัฒน์ยังให้ข้อมูลกับทนายที่ยังไม่แน่ชัด โดยตนคาดว่าชิ้นส่วนของรถบางคันเป็นของนายจิรวัฒน์ที่มีการเช่าพื้นที่บุคคลอื่น และต้องมีการตรวจสอบอีกภายหลังว่ารถคันใดบ้างที่จอดในพื้นที่สุสานเป็นของเจ้าตัว เบื้องต้นได้ให้นายจิรวัฒน์ หรือ เจ จัดหานำเอกสารที่เกี่ยวข้องในการประมูลรถ ใบซื้อขายต่าง ๆ มายืนยันการครอบครอง


ต่อมา เวลา 18.30 น. ทนายโจ้ ได้เดินทางมา สภ.เขาย้อย พร้อมนายจิตปกรณณ์ และเจ้าของรถเก๋งที่โดนยึด โดยเข้าพบเจ้าหน้าตำรวจ เพื่อชี้แจงประเด็นความเป็นมาของ รถเก๋ง 4 ประตูรุ่น Honda Accord และข้อเท็จจริงความเกี่ยวข้องกระบวนการซื้อขายรถของนายจิตปภรณ์

 

ส่อบานปลาย! สำรวจสุสานรถโยงขบวนการซื้อรถ "น้องครีม"