คืบหน้ากรณีเรือน้ำมันของกลาง 5 ลำ มีการตรวจยึดบริเวณทะเลฝั่งชลบุรี และปรากฏว่าวันที่ 8-9 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีคลื่นลมลมแรง จนเป็นเหตุทำให้ต้องนำเรือของกลางขยับห่างจากท่าเทียบเรือ เพราะป้องกันเรือเสียหาย โดยมีการขยับเรือ 3 ลำ มีน้ำมันเถื่อนบรรจุอยู่ในเรือรวมกว่า 3.3 แสนลิตร และหลังจากที่ขยับเรือออกวันที่ 9 มิ.ย. ปรากฏว่าวันที่ 11 มิ.ย. ช่วงกลางคืน เรือหายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นั้น
ล่าสุดวันนี้ (15 มิ.ย. 2567) ทีมข่าวช่อง 8 ได้เดินทางไปที่ถ้าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบอีกครั้ง ซึ่งหลังจากเมื่อวานนี้ช่อง 8 เราได้เปิดเผยภาพจากกล้องวงจรปิด ที่มีรถกระบะดำคาดว่าเป็นตำรวจน้ำได้ขับรถเข้า-ออกบริเวณถ้าเทียบเรือจำนวนหลายรอบ และพบว่าบริเวณท้ายรถกระบะของตำรวจน้ำ ยังบรรทุกถังใส่อะไรบางอย่างวิ่งเข้า-ออกรอบในวันที่ 10 มิถุนายน ก่อนที่เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนจะหายไปอย่างปริศนาในวันที่ 11 มิถุนายน ซึ่งมีข้อสงสัยทั้งว่า ตำรวจน้ำได้ร่วมขบวนการขนถ่ายน้ำมันเถื่อนด้วยหรือไม่ หรือ หน่วยงานได้นำน้ำมันเถื่อนเหล่านี้ที่จับได้ไปใช้เองหรือไม่
ต่อมาเจ้าหน้าที่ยังได้พาทีมข่าวไปดูโรงเก็บน้ำมันสำรอง และโรงเก็บถังน้ำดิบ ซึ่งอยู่บริเวณด้านหลังแฟลตของตำรวจน้ำอีกด้วย จุดแรก คือ บริเวณด้านข้างโรงพักของตำรวจน้ำ ซึ่งจะมีถังเก็บน้ำมันขนาดใหญ่ 2 ถังวางตั้งอยู่ โดยเจ้าหน้าที่ ได้อธิบายกับทีมข่าวว่า หลังจากตู้จ่ายน้ำมันที่ท่าเทียบเรือเสีย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องนำถังใส่รถกระบะมาดูดน้ำมันจากจุดนี้แทน ซึ่งทุกครั้งเวลาน้ำมันจะมาส่ง รถขนส่งน้ำมันจากบริษัท ปตท. จะนำน้ำมาใส่เก็บไว้ที่ถัง 2 ถังนี้ก่อน
เวลาต้องการใช้น้ำมัน เจ้าหน้าที่ถึงขับน้ำถังเล็กใส่ท้ายกระบะ และดูดน้ำมันออกไปใช้ ซึ่งจะมีการใช้ถังใส่น้ำ หรือ เรียกว่า เบ้าท์ ในการบรรจุและขนลำเลียงน้ำมัน โดย 1 เบ้าท์ จะสามารถจุน้ำได้ทั้งหมด 1,000 ลิตร
ส่วนจุดที่ 2 เป็นโรงเก็บถังน้ำมันดิบ ซึ่งถังที่บรรจุน้ำมันที่เห็น ไม่ใช่ถังน้ำมันที่ลักลอบดูดมาจากเรือที่หนีหายไปแต่อย่างใด แต่เป็นถังเก็บน้ำมัน ที่เจ้าหน้าที่ได้ดูดมาจากเรือของเจ้าหน้าที่เอง ซึ่งบางลำ น้ำมันในถังถูกน้ำดิบเจือปน ซึ่งจะดูดมาเก็บพักไว้ในโรงนี้ เพื่อรอให้น้ำมันกับน้ำดิบแยกจากกันเท่านั้น โดยมีข้อสังเกต คือ ถังใส่น้ำมัน จะมีสีเข้มกว่า ถังใส่น้ำดิบ
และจุดที่ 3 คือ โรงเก็บถังน้ำดิบ ซึ่งจากการสำรวจมีอยู่ 2 ถัง ลักษณะถังจะสีขาวใส่ตากจากถังเก็บน้ำมัน แต่จากการสำรวจถังน้ำดิบ ทีมข่าวได้ดมกลิ่นในถังก็ยังมีกลิ่นน้ำมันโชยออกมาอย่างชัดเจน จึงถามเจ้าหน้าที่ว่า ทำไมถึงใส่น้ำดิบถึงมีกลิ่นน้ำมัน โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่า บางทีงบประมาณไม่พอซื้อสายดูดย้ายน้ำ ก็จำเป็นต้องใช้สายดูดที่ใช้ดูดน้ำมันอันเดียวกันมาใช้ ซึ่งน้ำดิบที่นำไปใช้ ใช้เเค่อุปโภคเท่านั้น ไม่ได้ใช้บริโภคแต่อย่างใด
ล่าสุดวันนี้ ว่าที่ พ.ต.อ.ขจรยศ ทรงประดิษฐ์ ผบ.เรือ (4) กลุ่มงานเรือตรวจการ กองบังคับการตำรวจน้ำ รักษาราชการแทน พ.ต.อ.อินทรัตน์ ปัญญา ผกก.5 บก.รน. ซึ่งถูกสั่งเด้งไปก่อนหน้านี้ ได้เดินทางมาชี้แจงกับผู้สื่อข่าวแล้ว หลังจากเมื่อวานนี้สื่อหลายสำนักได้ตั้งคำถามถึงภาพกล้องวงจรปิดกระบะดำที่ถูกเผยแพร่ออกไป
พ.ต.อ.ขจรยศ ได้พาทีมข่าวเข้าไปตรวจสอบบริเวณด้านในของท่าเทียบเรือ พร้อมกับพาไปดูตู้จ่ายน้ำมันของ ปตท. ซึ่งก่อนหน้านี้ทุกครั้งเวลาเรือของเจ้าหน้าที่จะต้องเติมน้ำมัน จะต้องเติมจากตู้ดังกล่าวเท่านั้น ซึ่งอยู่ด้านในสุดของท่าเทียบเรือ แต่ปัจจุบันตู้จ่ายน้ำมันดังกล่าวได้ชำรุดเสียหาย ระยะเวลานานกว่า 10 ปีแล้ว และอยู่ระหว่างการทำเรื่องของบประมาณเพื่อซ่อมบำรุง รวมไปถึงท่อลำเลียงน้ำมัน (ท่อใหญ่) และท่อลำเลียงน้ำดิบด้วย (ท่อเล็ก) ก็เสียใช้งานไม่ได้เช่นกัน ทำให้ตำรวจน้ำจำเป็นต้องใช้รถกระบะขนถ่ายน้ำมันและน้ำดิบแทนการใช้ท่อลำเลียงทั้งหมดเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งการจะเปลี่ยนท่อและตู้จ่ายน้ำมันอะไรก็ตามต้องให้เจ้าหน้าที่จาก ปตท. มาเปลี่ยนเท่านั้น เนื่องจากเป็นหลักเกณฑ์ด้านความปลอดภัย
ประเด็นที่ 1 ซึ่งเมื่อวานนี้ที่ช่อง 8 ได้ไปสังเกตว่า ในเมื่อมีท่อลำเลียงทั้งน้ำมันและน้ำดิบจะใช้รถกระบะขนให้เปลืองงบประมาณทำไม จึงยืนยันได้ว่า ท่อทั้งหมดรวมถึงตู้จ่ายใช้งานไม่ได้จริง
ส่วนประเด็นที่ 2 ช่อง 8 ได้ตั้งคำถามตามภาพกล้องวงจรปิดว่าอีกว่า รถกระบะดำของตำรวจน้ำช่วงเวลา 10.50 น. ของวันที่ 10 มิถุนายน เห็นรถกระบะดำวิ่งเข้าไปที่ท่าเรือด้วยความเร็ว และขากลับเวลา 11.20 น. ได้ขับออกมาอย่างช้าๆ ทำให้สงสัยว่า แอบไปดูน้ำมันเถื่อนจากเรือที่ไปจับได้ออกมาหรือเปล่า ?
พ.ต.อ.ขจรยศ ยืนยันว่า ตำรวจน้ำไม่เคยลักลอบดูดน้ำมันเถื่อนมาใช้เองแน่นอน เนื่องจากตำรวจบุคคลใดที่ทำจะถูกสั่งลงโทษสถานหนักทันที รวมถึงท่าเทียบเรือมีภาพจากกล้องวงจรปิดบันทึกไว้ชัดเจน คงไม่มีใครกล้า และตำรวจได้ตรวจสอบดูแล้วว่า ไม่มีการดูดน้ำมันจากเรือที่หายไปแน่นอน
ส่วนภาพวงจรปิดที่เห็นรถกระบะดำของตำรวจน้ำวิ่งนำถังเข้าออกอยู่ระหว่างการตรวจสอบ ซึ่งเป็นไปได้ 2 กรณี คือ 1. เจ้าหน้าที่เป็นการนำถังน้ำเปล่า ๆ บรรทุกมาเพื่อดูดจากถังน้ำมันเรือตำรวจเอง ซึ่งกรณีนี้ เกิดจากเวลาเรือเจ้าหน้าที่จอดทิ้งไว้ที่ท่า บางทีมีพายุฝน ลมมรสุมอาจจะทำให้น้ำเข้าไปผสมกับถังน้ำมันเรือได้ ซึ่งตำรวจต้องดูดออก และนำถังไปพักไว้ที่ด้านหลังแฟลชตำรวจน้ำ เพื่อรอเวลาให้น้ำกับน้ำมันแยกตัวกันเป็นชั้นก่อน แล้วก็ดูดกลับไปใช้ต่อ
หรือหากเป็นกรณีที่ 2 คือ กระบะดำที่เห็นในกล้อง คือ ตำรวจน้ำกำลังบรรทุกถังที่ใส่น้ำดิบเพื่อลำเลียงดูดถ่ายไปยังถังน้ำดิบอีกถังซึ่งอยู่ในเรือ ซึ่งน้ำไว้ใช้อุปโภค ก็เป็นไปได้ ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
และสุดท้ายประเด็นที่ 3 ที่ช่อง 8 สงสัยว่า กล้องวงจรปิดที่ตำรวจนำมาเปิดเผยกับนักข่าว เวลาในกล้องคือ 17.05 น. ของวันที่ 10 มิถุนายน ซึ่งเห็นตำรวจน้ำได้บรรทุกถังหมายเลข 815 ขับเข้าไปในท่าเทียบเรือ แต่กล้องอีกมุมกลับเห็นว่า กระบะของตำรวจน้ำ ไม่ได้นำรถไปจอดถ่ายน้ำดิบที่เรือหมายเลข 815 ตามเลขตัวถังที่กระบะดำบรรทุก แต่กลับไปจอดแถวเรือหมายเลข 633 ซึ่งกำลังสงสัยว่า ในถังเป็นน้ำดิบหรือน้ำมันเถื่อนกันแน่
พ.ต.อ.ขจรยศ ยืนยันว่า กระบะดำได้บรรทุกน้ำดิบเพื่อโอนถ่ายให้เรือของตำรวจน้ำหมายเลข 633 จริง ส่วนถังน้ำที่มีผ้าคลุมถังหมายเลข 815 ทำไมไปใช้กับเรือหมายเลข 633 อยู่ระหว่างการตรวจสอบ ว่า เกิดปัญหาอะไรขึ้น ซึ่งปกติ เลขผ้าคลุมถังกับเรือจะใช้ลำใครลำมัน แต่ก็จะเกิดขึ้นได้ ถ้าหากถังใส่น้ำไม่พอใช้ ก็จะหยิบยืมกันได้เป็นเรื่องปกติ
หลังจากที่วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำได้ชี้แจงกับทีมข่าวว่า เหตุผลที่ตำรวจน้ำต้องใช้รถรถกระบะในการขนส่งน้ำดิบนั้น เนื่องจากท่อน้ำมันและท่อน้ำดิบ ซึ่งส่งตรงไปถึงท่าเทียบเรือใช้งานไม่ได้ พร้อมกับอ้างว่า ท่อน้ำดังกล่าว ชำรุดเสียหายมากกว่า 10 ปีแล้ว รวมไปถึงพาทีมข่าวไปดูถังเก็บน้ำดิบ แต่ทีมข่าวกลับพบพิรุธเพราะได้ทดสอบดมกลิ่นในถังน้ำดับ แต่กลับได้กลิ่นน้ำมันโชยอย่างชัดเจน ซึ่งตำรวจอ้างว่า ใช่ท่อดูดน้ำ ท่อเดียวกับที่ใช้ดูดถังน้ำมัน
ล่าสุดทีมข่าวช่อง 8 ได้ย้อนกลับไปดูมิเตอร์น้ำมันวานนี้ที่ทีมข่าวได้บันทึกเลขมิเตอร์ไว้ ซึ่งเมื่อวานนี้ ตัวเลขไม่มีการขยับ แต่วันนี้เมื่อเราย้อนกลับไปดูมิเตอร์น้ำตัวเดิม ซึ่งเป็นมิเตอร์ของท่อลำเลียงน้ำดิบ เพื่อส่งไปยังท่าเทียบเรือ ผลปรากฏว่า ตัวเลขมิเตอร์จะเป็นอย่างไร
จากการตรวจสอบตัวเลขมิเตอร์เมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.) ที่ทีมข่าวช่อง 8 บันทึกได้คือ 4615699 แต่วันนี้ 15 มิ.ย. ตัวเลขมิเตอร์น้ำกลับขยับไปเป็น 4616141 ซึ่งมิเตอร์น้ำกลับทำงาน ทั้งที่ตำรวจน้ำชี้แจงว่า ท่อน้ำดิบใช้ไม่ได้จึงใช้การบรรจุใส่ถังขนรถกระบะ
เพื่อให้แน่ชัดว่าท่อน้ำสามารถใช้น้ำได้จริง ทีมข่าวได้ไปพบกับแหล่งข่าวลับคนหนึ่ง ชื่อว่า นายแสนดี (นามสมมติ) ได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ตนเองเป็นชาวบ้านอยู่แถวถ้าเทียบเรือนี้มานานแล้ว ที่ผ่านมามักจะเห็นตำรวจน้ำได้ขับรถเข้า-ออกท่าเทียบเรือ โดยขนถังอะไรบางอย่างขับเข้า-ออกอยู่เป็นประจำ วันละประมาณ 5-6 รอบ ซึ่งเมื่อวานนี้ได้ดูข่าวจากช่อง 8 แล้วตัวเองไม่เชื่ออย่างยิ่งว่า ตำรวจอ้างว่าได้นำรถกระบะบรรทุกน้ำดิบไปใช้ในเรือตำรวจ เพราะท่อน้ำดิบใช้ไม่ได้ เพราะหากเป็นถังน้ำดิบจริง ทำไมตำรวจจะต้องคลุมผ้าเพื่อปิดบัง ทำไมไม่เปิดเผยให้ชาวบ้านเห็นไปเลย มันก็แค่น้ำเปล่า และตนเองเชื่อว่าต้องเป็นน้ำมันเถื่อนแน่นอน
นอกจากนี้ทีมข่าวยังได้รับคลิปที่มีบุคคลหนึ่ง ได้พูดคุยกับคนงานเรือรายหนึ่งเมื่อวานนี้ ว่า ที่ข่าวมันไปออกว่า ท่อน้ำดิบเสีย ใช้งานไม่ได้จริงไหม ? ในคลิปจะได้ยินคนงานเรือ ยืนยันว่า “ไม่อยากให้ข้อเท็จจริงมันบิดเบือน ตำรวจพูดไม่จริง เพราะเมื่อวานนี้ตนเองซึ่งถูกจับและให้เฝ้าอยู่ในเรือ 2 ลำ ก็ยังเปิดก๊อกน้ำที่ท่าเทียบเรือใช้อาบน้ำ ใช้หุงข้าวได้ปกติ ท่อน้ำก็ไม่ได้เสียอย่างที่ตำรวจบอก
ล่าสุดเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา นางสาวนิชนันท์ วังคะฮาต ว่าที่ผู้สมัคร สส.พรรคก้าวไกล เขต อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พร้อม สส.ในพื้นที่ จ.ชลบุรี และพัทยา ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น พร้อมกับตั้งคำถามถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจน้ำ รวมถึงกองทัพเรือ ว่า ปล่อยให้เรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนกว่า 3 แสนลิตร หายออกจากน่านน้ำประเทศไทยไปได้อย่างไร
เรือพวกนี้ไม่ใช่เรือของเล่น เรือมีมูลค่า มีน้ำมันเถื่อนมูลหลายแสนลิตร และเรือก็อยู่ห่างจากสถานีตำรวจน้ำและสถานีตำรวจสัตหีบ ห่างกันแค่เดินข้ามฝั่งถนนเท่านั้น จึงสงสัยว่า ตำรวจได้รู้เห็นและปล่อยให้เรือทั้ง 3 ลำหนีหรือไม่ เพื่อตัดเตือนขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน
ขณะที่ พล.ต.ท.เรวัช กลิ่นเกษร อดีต ผบช.ปส. ไลฟ์ผ่านยูทูป ถึงกรณีเรือของกลางหายที่สัตหีบ โดยระบุว่า เรื่องเรือน้ำมันหายนั้นชุดที่ไปจับคือชุดของเจ้าหน้าที่กองปราบฯ ที่ประกอบกำลังตำรวจทุกหน่วยในชื่อ ศปนม. คือชุดปราบปรามน้ำมันเถื่อน โดยเรือที่ไปจับเป็นเรือที่นำน้ำมันเข้าประเทศโดยไม่เสียภาษีสรรพสามิตอย่างถูกต้อง ซึ่งตามหลักแล้วผู้ต้องหาต้องทำการชำระค่าปรับ
เรือของกลางไปจอดที่ท่าเรือสัตหีบ และวันเกิดเหตุเกิดพายุทำให้ตำรวจน้ำเกิดกลัวว่าเรือของกลางจะไปกระแทกขอบสะพานทำให้เสียหาย จึงอาจจะขออนุญาตผู้บังคับบัญชาว่าขอเอาเรือทิ้งสมอในจุดที่ห่างจากท่าเรือเพื่อหลบพายุ แต่ก็ต้องให้คนขึ้นไปอยู่บนเรือเพื่อคอยสูบน้ำออก หรือคอยดูคนที่จะลักลอบมาเจาะน้ำมัน เพราะถ้าเกิดความเสียหายขึ้นมาตำรวจต้องถูกฟ้องทางแพ่ง ก็เลยให้เจ้าของเรือลงเรือไปเคลื่อนย้ายไปทิ้งสมอในจุดที่ห่างจากฝั่ง หลังจากนั้นตำรวจก็น่าจะบกพร่องเพราะเจ้าของเรือไม่ได้ทิ้งสมอแต่ขับหนีไปเลย ทำให้เกิดปัญหาใหญ่โตตามมา
ซึ่งงานนี้คนที่บกพร่องก็คือ สารวัตรตำรวจน้ำที่โดนเต็ม ๆ ร้อยเวรวันนั้นและสิบเวรยาม ส่วน พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช และผู้กำกับก็จะต้องรับผิดชอบไปอีก 2 ชั้น ซึ่งผู้ที่จะต้องถูกลงโทษหนักก็น่าจะเป็นร้อยเวรและสิบเวรวันนั้น จึงมีคำสั่งย้าย 5 เสือตำรวจน้ำมาสอบสวนว่าบกพร่องหรือรับสินบน
ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ มือปราบหูดำ หรือผู้การแต้ม ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีเรือน้ำมันเถื่อนของกลาง 3 ลำ พร้อมน้ำมัน 3.3 แสนลิตร หายไปจากท่าเทียบเรือตำรวจน้ำสัตหีบ จ.ชลบุรี โดยกล่าวว่า ถ้ามองด้วยตรรกะและมองในความรู้สึกของพี่น้องประชาชน ซึ่งตำรวจเองก็ต้องมองในมุมเดียวกันเลยคือ เรือบรรทุกน้ำมันสามลำไม่ใช่สิ่งของเล็ก ๆ เหมือนเข็มหรือเหรียญบาท การที่เรือทั้งสามลำหายไปนั้นต้องมีพิรุธอย่างแน่นอน แต่จะเป็นข้อพิรุธในมุมไหนอย่างไร ใครเกี่ยวข้องบ้างก็ต้องไปตรวจสอบกันอีกครั้ง
ซึ่งทั้งนี้ก็อาจจะเป็นการประมาทเลินเล่อของเจ้าหน้าที่ผู้ดูแล ตอนนี้รองต่ายก็ได้สอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เชื่อว่าอีกไม่นานก็คงจะทราบสาเหตุของการหายไป โดยเท่าที่ทราบเบื้องต้นคือคดีนี้กองปราบเป็นผู้ตรวจจับมาและได้ส่งไม้ต่อให้กับกองเศรษฐกิจ เพื่อทำการสอบสวนและพิจารณาข้อหาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษีสรรพสามิต ศุลกากร ซึ่งก่อนหน้านี้ก็อยู่ระหว่างที่พนักงานสอบสวนกำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อส่งฟ้องอัยการ
ตอนนี้จึงต้องยอมรับว่าผู้ที่ดูแลของกลางจะต้องเป็นตำรวจอย่างแน่นอน ทีนี้จึงต้องมาดูว่าตำรวจนั้นดูแลอย่างไร เพราะหากเป็นของเล็ก ๆ อย่างรถจักรยานยนต์ตำรวจก็สามารถถอดกุญแจออกมาได้ แต่เหตุการณ์นี้เป็นเรือลำใหญ่ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตำรวจมีวิธีการดูแลของกลางอย่างไร แต่เชื่อว่าที่ผ่านมาคงมีการจัดเจ้าหน้าที่ดูแลเวรยาม 24 ชั่วโมง เพราะของภายในเรือนั้นถือว่าเป็นของที่มีมูลค่า อีกทั้งยังเป็นพยานหลักฐานที่ใช้ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด
พล.ต.ต.วิชัย ยังบอกอีกว่า กรณีนี้ผู้บัญชาการสอบสวนกลางคงจะไม่พอใจอย่างแรง เพราะถือว่าเป็นการตบหน้าตำรวจอย่างแรง เชื่อว่าบิ๊กก้องต้องตั้งกรรมการสอบสวนอย่างละเอียดทุกเม็ด ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมโยงกับขบวนการผู้ค้าน้ำมันเถื่อน และเชื่อมั่นอย่างแน่นอนว่าท้ายที่สุดจะสามารถจับตัวผู้กระทำผิดได้
ล่าสุดทีมข่าวได้รับภาพวงจรปิด หน้าสถานีตำรวจน้ำสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พบว่าเรือซึ่งเป็นของกลางที่บรรทุกน้ำมัน ยังคงจอดลอยลำอยู่จนถึงเวลา 19.00 น. ของวันที่ 11 มิ.ย. แต่เวลา 20.10 น. ของวันที่ 11 มิ.ย. กลับตรวจพบว่า ไฟจากลำเรือทั้ง 3 ลำ หมุนเปลี่ยนทิศทาง และถอยห่างออกไปกลางทะเลเรื่อย ๆ จนหายไป โดยใช้เวลาประมาณ 1 นาที กระทั่งเวลา 20.11 น. จับภาพแสงไฟเรือชัดขึ้น จะเห็นแสงไฟเรือขยับก่อนออกทะเล